“เฟิร์ส-จิรัชญา ศรีสุวรรณ” สาวผู้รักงานปัก ต่อยอดอาชีพเสริมจากวัยเรียน สู่เจ้าของแบรนด์ Summer Freaks

ย้อนกลับไปในช่วงเวลา ที่หลายคนจำต้องขาดรายได้ เพราะพิษโควิด แต่ เฟิร์ส-จิรัชญา ศรีสุวรรณ เฟรชชี่สาวอักษรฯ ในช่วงเวลานั้น กลับพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ใช้เวลาว่างจากการเรียนออนไลน์ ต่อยอดความรักในการค้าขาย สร้างรายได้เสริมให้กับตัวเอง…อะไรคือแรงบันดาลใจสำคัญ และเส้นทางการลองผิดลองถูกของเธอ ต้องพบเจอกับอะไรบ้าง วันนี้สาวเก่งเจ้าของแบรนด์ Summer Freaks พร้อมแล้วที่แชร์ประสบการณ์ให้เราฟัง

ย้อนกลับไปในช่วงเวลา ที่หลายคนจำต้องขาดรายได้ เพราะพิษโควิด แต่ เฟิร์ส-จิรัชญา ศรีสุวรรณ เฟรชชี่สาวอักษรฯ ในช่วงเวลานั้น กลับพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ใช้เวลาว่างจากการเรียนออนไลน์ ต่อยอดความรักในการค้าขาย สร้างรายได้เสริมให้กับตัวเอง…อะไรคือแรงบันดาลใจสำคัญ และเส้นทางการลองผิดลองถูกของเธอ ต้องพบเจอกับอะไรบ้าง วันนี้สาวเก่งเจ้าของแบรนด์ Summer Freaks พร้อมแล้วที่แชร์ประสบการณ์ให้เราฟัง

“Summer Freaks เป็นร้านเสื้อยืดที่ปักมือค่ะ เฟิร์สจะปักมือเองทุกตัว เพราะเป็นคนชอบปักผ้าอยู่แล้ว ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม เพราะที่โรงเรียนราชินีจะมีคลาสสอนปักผ้าค่ะ แล้วพอปักดี ครูก็พาไปแข่งนอกโรงเรียน ไปโชว์ในวัง ก็รู้สึกว่าเป็น Hobby ที่ชอบมากๆ ไม่ว่าจะทำอะไรมา เบื่อแค่ไหน พอได้กลับมาปักผ้า จะรู้สึกดีเสมอ คือรักการปักไปเลยค่ะ คิดว่าสิ่งนี้น่าจะเอามาทำเป็นธุรกิจได้ เลยลองทำดูตั้งแต่ตอนปี 1 ค่ะ เริ่มจากปักลายเอง แล้วก็เย็บเป็นกระเป๋าขาย แล้วก็ขายเพื่อน รุ่นพี่ในมหาลัย หลังๆ ก็เริ่มเปิดร้านในไอจี แล้วก็เริ่มมีคนมาสั่งเรื่อยๆ ทำมาประมาณเกือบปี ก่อนที่จะหยุดไป เพราะเรียนหนัก”

แม้แบรนด์นี้จะเกิดขึ้นในช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย แต่ความจริงแล้วจุดสตาร์ทการเป็นแม่ค้าของเธอ เริ่มต้นตั้งแต่ช่วงมัธยมศึกษาปีที่ 4

“ตอนนั้นทำร้านเสื้อผ้ากับเพื่อน 2 คน เป็นร้านตัวแทนจำหน่าย เราเปิดหน้าร้านในไอจี ฟอลโลเวอร์เกือบหมื่น พอมีออเดอร์ เจ้าของร้านที่เราเป็นตัวแทนอยู่จะจัดส่งให้ เราแค่เก็บส่วนต่าง ถือเป็นการหาเงินครั้งแรก ก็ทำมาเรื่อยๆ จนจบ ม.6 เลยค่ะ อยากลองหาเงินเอง เพิ่มจากค่าขนมที่พ่อแม่ให้ค่ะ”

ทุกการค้าขายย่อมมีอุปสรรค เฟิร์สเองก็เจอกับบททดสอบเช่นกัน

“เฟิร์สรับปักผ้า ตลอดช่วงเรียนปี 1 แต่พอขึ้นปี 2 ก็ต้องหยุดไปค่ะ เพราะตอนนั้นเรียนหนักมาก รู้สึกว่าทำร้านไม่ไหว เลยพักไปก่อน เราต้องเน้นเรียนก่อน เพราะเฟิร์สเรียนแบบมีทุน ที่จะต้องรักษาเกรด เลยกลัวว่าร้านจะไปกระทบการเรียน จนมาถึงช่วงโควิดที่ต้องเรียนออนไลน์อยู่บ้าน แล้วคุณแม่ก็ลดค่าขนม (หัวเราะ) เพราะว่าไม่ต้องออกไปข้างนอก ก็เลยลองหาอะไรทำเพิ่มดู แต่คราวนี้ไม่ได้รับปักเสื้อแล้ว เปลี่ยนไปขายคุกกี้ออนไลน์กับน้องสาว คิดสูตร คิดแพ็กเกจกันเอง ตอนนั้นมีรายได้เข้ามาประมาณหมื่นได้ค่ะ ก็เลยขายจนเรียนจบปี 4 เลย พอเรียนจบก็เป็นช่วงโควิดซาพอดี”

แต่ด้วยใจที่รัก “การปักผ้า” วันนี้เธอจึงกลับมาต่อยอดแบรนด์ Summer Freaks อีกครั้ง

“ความจริงเฟิร์สอยากกลับมาปักผ้าตั้งแต่หลังเรียนจบมหาลัยแล้วค่ะ แต่พอเริ่มทำงานประจำ (เป็น Content Creator ให้กับบริษัท Agency ) หลายๆ อย่างก็ไม่อำนวย แต่ก็ยังอยากทำอยู่เรื่อยๆ คือรอบนี้เรารู้สึกว่า ถ้าจะทำ เราจะจริงจังแล้ว จะไม่เหมือนตอนเด็กๆ ที่ทำเพราะแค่อยากทำ แต่ตั้งใจให้มันดีไปเลย เลยวางแพลนไว้นานมาก คิดเองหมด ตั้งแต่ชื่อร้าน คอนเซ็ปต์ร้าน ลายเสื้อ ชื่อรุ่น ทำคนเดียวเลยค่ะ จนเพิ่งได้เริ่มทำจริงๆ เมื่อต้นปีนี้ (พ.ศ.2567) ลูกค้าก็ตอบรับดีเลย คือเฟิร์สเปิดแบบออร์แกนิค ไม่ได้ยิง Ad. พยายามคุมงบมาร์เกตติ้งไว้ก่อน เอาแค่ทุนที่เป็นทุนเสื้อผ้า แล้วโชคดีที่มี Influencer มาเห็น เขาช่วยโปรโมทให้ เราเลยได้ฟรีมาร์เกตติ้งจากตรงนี้ไปด้วย ทำให้มีคนมาซื้อเรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้ก็ปักเรื่อยๆ ทำคู่กับงานประจำไปค่ะ”

จากความชอบที่อยากทำใส่เอง กลายมาเป็นซิกเนเจอร์ของแบรนด์

“เฟิร์สอยากให้เวลาที่คนคิดถึงร้านปักเสื้อรูปหัวใจที่มีตัวอักษร เลยเลือกรูปแบบนี้ให้เป็นซิกเนเจอร์ประจำร้าน เพราะร้านรับปักในปัจจุบันมีเยอะมาก แล้วรูปแบบนี้คือเกิดจากที่เฟิร์สอยากใส่เองด้วย พอทำแล้วคนชอบ เขาก็เริ่มสั่งทำเป็น custom เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนตัวอักษร ปักเป็นประโยคก็มีค่ะ บางทีสิ่งที่ลูกค้าต้องการ ยังช่วยสะท้อนกลับมาว่าเราควรทำอะไรเพิ่มบ้าง ตอนนี้ก็เลยมีแบบ made to order ด้วย คือลูกค้าสามารถส่งลายมาให้เรา แล้วเราปัก แต่ราคาก็จะขึ้นอยู่กับลาย ความยาก ระยะเวลา ถ้าดูแล้วเรามั่นใจว่าเราทำได้ เราจะปักให้ แต่ถ้าสมมุติว่ามันยากไป หรือกลัวจะไม่ตรงปก เราก็จะบอกตรงๆ บางคนเอารูปสัตว์เลี้ยง รูปแมวมาให้ปัก เฟิร์สก็ปักให้เขา อาจจะไม่ได้เหมือนเป๊ะ แต่ก็ฟิวส์แบบแฮนด์เมด มีชิ้นเดียวในโลก เฟิร์สรู้สึกว่าตรงนี้มันทำให้เขารู้สึกพิเศษ เขาสามารถมีแค่คนเดียว หรือแม้บางทีจะปักลายเดียวกันก็ตาม แต่ก็จะไม่เหมือนกันอยู่ดี เพราะเราทำมือ จะมีความดีเทลของแต่ละอันที่แตกต่างกันออกไป”

 อีกหนึ่งความยูนิคที่เกิดจากความใส่ใจสิ่งแวดล้อม คือเสื้อที่นำมาปัก จะเป็นผ้าทอจากพลาสติกรีไซเคิล

“เฟิร์สไม่ได้ฟิกซ์ว่าเสื้อที่ปัก จะต้องเป็นเสื้อของทางร้านเท่านั้น ลูกค้าสามารถส่งเสื้อของตัวเองมาให้เราปักได้ แต่ว่าเสื้อที่ร้านเฟิร์สเลือกใช้ จะเป็นเสื้อรีไซเคิลค่ะ ที่โรงงานทำเสื้อเขามีเป็นเหมือนเสื้อที่เอาขวดพลาสติก ฝาขวดน้ำ มาย่อยสลายเป็นผง แล้วเอามาทอใหม่กับเส้นด้ายเหลือใช้ ออกมาเป็นผ้ารีไซเคิล เฟิร์สก็เลยซื้อผ้าตรงนี้มาทำค่ะ หนึ่งคือเวลาที่ลูกค้าซื้อไป เขาจะได้รู้สึกว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของ การช่วยลดขยะในสังคม สองคือผ้าชนิดนี้แข็งแรง ทนทาน ไม่ใช่ผ้าคอตตอนทั่วไป ที่ใส่แป๊บเดียวแล้วพัง สามารถหย่อนใส่ในเครื่องซักได้เลย ถึงแม้จะปักมือ แต่ไม่ต้องซักมือ เป็นผ้าที่ทนมาก”  

รายได้ที่เข้ามาอาจจะไม่สูงมากนัก แต่เธอเล่าว่าสามารถนำไปต่อยอดได้ในหลายๆ ด้าน

“ณ ตอนนี้ เงินไม่ได้เยอะเท่างานประจำค่ะ แต่ว่าเป็นอีกก้อนหนึ่ง ที่เราเอาไปต่อยอดได้หลายอย่าง เช่นเอาไปท่องเที่ยว ไปเปิดประสบการณ์ให้กับตัวเอง เป็นรายได้เสริม และเป็นเงินเก็บ เพราะเฟิร์สมีแพลนอยากไปเรียนต่อปริญญาโทเกี่ยวกับระบบการจัดการธุรกิจ เพื่อมาเสริมความรู้ตัวเอง และต่อยอดธุรกิจของเรา”

ท้ายสุด…เฟิร์สได้ฝากแง่คิดให้กับน้องๆ ที่กำลังมองหาอาชีพเสริม หรือคิดที่จะเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองว่าให้มองจากสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเป็นอันดับแรก

“อยากให้น้องๆ ลองถามตัวเองว่าอยากทำไปเพื่ออะไร ถ้าอยากทำเพื่อหาเงินเพิ่ม Goal ของเราก็จะประมาณว่าทำยังไงให้ธุรกิจได้กำไร หรือทำเพื่อ Passion ก็จะดูจากสิ่งที่เราชอบว่าคืออะไร อะไรที่เราทำแล้วเราทำได้ดี อาจจะเริ่มจากสิ่งใกล้ๆ ตัว เราถนัดอะไร ทำแล้วมีความสุข ไม่จำเป็นที่จะต้องทำแล้ว เจอเลย ว่านี่แหละเราจะทำสิ่งนี้ มันสามารถลองก่อนได้ ถ้ามันไม่ใช่ ก็เปลี่ยน ค่อยๆ ลองผิดลองถูกค่ะ เพราะเฟิร์สก็ทำหลายอย่างเหมือนกันกว่าจะมาเจอสิ่งที่รู้สึกว่าอยากทำไปตลอด แต่บางอย่างมันก็ต้องใช้ทุน ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะทำได้ฟรี อยากให้ลองแพลนกับตัวเองก่อน ยังไม่ต้องเสียเงินลงทุนกับสิ่งที่เรายังไม่รู้ว่าจะเวิร์กหรือเปล่า ลองจด ลองรีเสิร์จก่อน ว่าวงการนั้นเขาทำกันยังไง ศึกษาความเป็นไปได้ให้รอบด้านค่ะ”

 สิ่งสำคัญที่สุด…คือการที่เราได้ลงมือทำ! เช่นเดียวกับเส้นทางของ “เฟิร์ส-จิรัชญา ศรีสุวรรณ” ที่แม้จะต้องลองผิดลองถูก แต่เธอกล้าที่จะลงมือทำ เพื่อนำประสบกาณ์จริงที่ได้รับ มาเป็นบทเรียนชีวิตให้กับตนเอง

เจ้าของนามปากกา “หนูแดง” แนะ “นักเขียน” อาชีพขายฝัน ที่มัวแต่นั่งฝันไม่ได้ อยากรู้ต้องลุย อยากเก่งต้องพัฒนา

เมื่อนวัตกรรมก้าวหน้า เทคโนโลยีก้าวไกล ทำให้อะไรๆ ก็ง่ายจริงหรือ?

ในยุคที่ทุกวินาที่จะเกิดการเปลี่ยนผ่านจากอะนาล็อกไปสู่ดิจิทัลทุกขณะ หลากหลาย ‘อาชีพออนไลน์’ ถูกเอ่ยชื่อขึ้นมาบ่อยๆ เมื่อพูดถึงสิ่งที่สร้างรายได้ได้โดยไม่ต้องออกจากบ้าน หรืออาชีพที่ทำเงินจากที่ไหนก็ได้ ง่ายนิดเดียว?

‘นักเขียน’ ก็เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่ถูกกล่าวถึงแบบร้อยเปอร์เซ็นต์เมื่อถูกพูดถึง passive income หรือความง่ายที่จะสร้างงานสร้างรายได้ เพราะถูกปูทางด้วยคำว่า ebook มานานหลายปีแล้ว ทำให้กลายเป็นอาชีพที่หลายคนตั้งแต่นักเรียน นักศึกษา และคนทั่วไปหันมามองหมายจะยึดเป็นอาชีพหลัก

แต่ข้อมูลเหล่านั้นมันถูกต้องจริงหรือไม่?

“มันมีทั้งโอกาสและข้อจำกัดค่ะ” บุญญานี จงทวีพรมงคล เจ้าของนามปากกา ‘หนูแดง’ ‘หนูแดงตัวน้อย’ และ ‘บุญญานี จงทวีพรมงคล’ นักเขียนอาชีพที่มีนิยายตีพิมพ์มากกว่าร้อยเรื่อง ทั้งยังเป็นวิทยากรและอาจารย์พิเศษเกี่ยวกับการเขียนนิยายทุกแขนงให้ทัศนะกับเราไว้

บุญญานีเข้าวงการตั้งแต่เมื่อ 15 ปีก่อน ตอนที่ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 และจากประสบการณ์ที่คร่ำหวอดนี้เองทำให้เห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในแวดวงวรรณศิลป์แห่งนี้ว่า แม้จะถูกเอ่ยถึงบ่อยครั้ง แต่อาชีพเขียนนิยายนั้น ต้อนรับเฉพาะคนที่ ‘อยู่ได้’ ส่วนจะอยู่ได้จริงหรือไม่ คนที่เข้ามาจะเป็นผู้ตัดสินเอง

“ตอนที่หนูแดงเข้ามามันเป็นยุคกลางๆ ของอาชีพนี้ เป็นยุคที่มีเว็บไซต์เอาไว้ลงนิยายเพื่อให้แมวมองให้สำนักพิมพ์ได้มาเจอ แล้วติดต่อขอไปพิมพ์เล่ม ซึ่งก็จะมีกระบวนการหลายขั้นตอน บางครั้งผ่านพิจารณารอบแรกจากบรรณาธิการคัดสรรแล้ว แต่ไม่ผ่านในขั้นตอนสุดท้ายก็มี จนกระทั่งได้ตีพิมพ์หนังสือจึงจะเรียกว่าเป็นนักเขียนได้ ขณะที่สมัยนี้ทุกคนมีแพล็ตฟอร์มที่จะสามารถเดบิวต์เป็นนักเขียนได้ด้วยตัวเองทุกเวลาโดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง อยากจะขายมันทำได้ทันทีและสามารถพัฒนาเป็นอาชีพจริงจังได้ และมีรายได้เป็นกอบเป็นกำได้”

แต่เพราะไอ้ตรงนี้แหละมันก็เลยกลายเป็นแง่ลบว่า พอคนมองว่า มันดูเหมือนมันง่าย แค่คิดว่าก็เขียนออกสบายๆ  คนก็เลยกระโดดเข้ามาทำเยอะ แต่ในความจริงมันก็ไม่ได้ง่ายอย่างนั้นหรอก เพราะพอคนเข้ามาเยอะก็จะเกิดการแย่งเค้ก ต้องทำยังไงก็ได้ให้งานดี และผ่านตาคนคนอ่านมากที่สุด ซึ่งนี่แหละ มันจะเป็นสงครามในด่านแรก ทำให้บางคนเข้ามาแล้วมาเจอระบบ มาเจอขั้นตอนการทำงานของนักเขียนที่เหมือนง่ายแต่จริง ๆ มันยาก ก็ล้มหายตายจากไป”

“บางคนทำงานเขียนมา 2-3 ปี แล้วไม่ปังก็กลับไปทำงานประจำ หรือบางคนเครียดอยู่ไม่ไหว เนื่องจากต้องผลิตผลงานออกมาตลอด เพราะสมัยนี้เป็นช่วงปลาเร็วกินปลาช้า มันก็จะทำให้หมดไฟบ้างอะไรบ้าง ตัวหนูแดงเองก็มีบางช่วงที่ไปทำงานอื่นเสริมเพื่อหนีอาการเบิร์นเอาท์ เราต้องเร่งงาน ต้องออกผลงานใหม่เร็ว ต้องสร้างฐานแฟน ต้องโปรโมต ฯลฯ คือสมัยนี้เป็นนักเขียนอย่างเดียวไม่ได้แล้ว มันเป็นเรื่องผลประโยชน์ ชื่อเสียง มันต้องมีการตลาด ขายงาน ขายตัวเองเป็นด้วย ไม่ใช่เขียนแล้วจบ แล้วมันจะเครียด ทำให้เกิดอาการไรเตอร์บล็อก ซึ่งส่งผลต่อการเจ็บป่วยทั้งกายและใจ หนูเชื่อว่าคนเราจะทำงานเขียน งานสร้างสรรค์บนความเครียดได้ยาก บางคนรับมือได้ บางคนไม่ได้ก็หายไปจากวงการ”

แต่ทั้งนี้นักเขียนเจ้าของรางวัลมากมายก็ไม่ได้สนับสนุนให้คนที่ตั้งใจเข้าวงการนักเขียนท้อไปเสียก่อน เพียงแต่ต้องหาวิธีการที่ถูกต้องสำหรับชีวิตการเป็นนักเขียนที่ทั้งมีความสุขและมีรายได้ด้วย

“สำหรับคนที่มองว่ามันง่าย รวมถึงทุกคนด้วย หนูแดงอยากจะให้ลองเข้ามาทำก่อนโดยที่ยังไม่ต้องทิ้งการเรียน หรือการงานที่ทำอยู่ ลองแบ่งเวลาดูก่อน ให้มีรายได้มั่นคงจากตรงนี้ก่อน ความมีวินัยและยืนยาวต่อเนื่องเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นน้องนักเรียน นักศึกษาหรือว่าคนที่ทำงานแล้ว แล้วอยากจะเข้ามาเขียนนิยาย อยากให้แบ่งเวลาทำอย่างต่อเนื่องทุกวัน อย่างของหนูแดงอย่างน้อยต้องได้วันละ 1 ตอน หรือประมาณ 7-10 หน้า เอ4 สำหรับคนอื่นอาจจะกำหนดเป็นช่วงเวลาก็ได้ คือเราต้องหาช่วงเวลาที่เรียกว่า เป็นช่วงไพร์มไทม์ของเรา มนุษย์เราจะมีช่วงหัวไบร์ทที่สุดประมาณ 4 ชั่วโมงต่อวัน บางคนเป็นช่วงเช้า บางคนเป็นช่วงกลางคืน

และเราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า วงการนี้ไม่มีทางลัด ต่อให้อยู่ดีๆ วันหนึ่งมีคนเอานิยายเราไปรีวิวทำให้มีกระแส แต่วันหนึ่งมันก็จะหายไปถ้างานเราไม่ได้คุณภาพ เราตอ้งทำยังไงก็ได้ให้งานมันสนุก มีมาตรฐานมากพอ ให้คนหยิบอ่าน แล้วเราก็พัฒนาต่อไปเรื่อยๆ  ถ้าต่อไปมันถูกยกไปรีวิว ไปบอกต่อ มันจะได้ไม่โดนคำครหาที่ ‘งานแบบนี้เหรอที่คนแนะนำ’ มันจะมีแต่ ‘นี่เรื่องนี้สนุก อ่านแล้วอยากติดตามต่อ’ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเพิ่งเริ่มต้นเขียนหรือเขียนมานานแล้ว ทางเดียวที่ต้องทำคือ เขียนต่อไป มีวินัย อดทน เราเขียนร้อยเรื่อง ไม่มีทางที่จะปังทั้งร้อยเรื่อง มันจะมีน้อยชิ้นมากที่ได้รางวัล น้อยชิ้นมากที่มีคนพูดถึง และบางทีก็ดังแบบเฉพาะกลุ่ม เพราะฉะนั้น เราต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ ฝึกเขียนไปเรื่อยๆ”

“แต่ถ้าหากว่าวันหนึ่งเกิดความเครียดสะสม สิ่งที่หนูแดงทำคือ ไม่ทำงาน นักเขียนส่วนใหญ่ทำงานในห้องคนเดียว แต่ธรรมชาติของมนุษย์ มันต้องออกไปสูดอากาศ เจอแสงแดด ไปเจอผู้คน การไปแบบนี้ ทำให้เกิดไอเดียด้วยนะ บางสถานที่ บางเรื่อง บางอย่าง หรือบางประโยคที่คนอื่นพูดมา มันจะจุดประกายไอเดียของเราด้วย ตรงนี้อาจจะไม่ได้เหมือนกันทุกคน ก็ลองไปหาดูว่า วิธีการผ่อนคลายที่ดีที่สุดสำหรับเราคืออะไร ให้ลุยไปทำสิ่งนั้นจนเบื่อ พอเบื่อแล้วเนี่ย มันจะอยากกลับมาทำงานเขียนเอง”

“จริงๆ รู้สึกยินดีมากเลยที่มีคนสนใจและอยากจะเข้ามาเป็นนักเขียน เพราะว่ามันเป็นหนึ่งในพฤติกรรมที่ส่งเสริมวัฒนธรรมการอ่าน เพราะในไทยเรามักจะมีคนพูดประมาณว่า การอ่านของเราไม่ค่อยเจริญเติบโต แต่ว่าตอนนี้เราเห็นว่าหลายคนสนใจที่จะเขียน อยากมาทำ แม้ว่าในตอนแรกเริ่มอาจจะสนใจเรื่องรายได้ อยากแนะนำว่าใครอยากจะเขียนให้เขียนเลย ให้ลองกระโดดเข้ามา มันอาจจะดี หรือไม่ดี ตัวเราเองก็พูดไม่ได้ สำหรับหนูแดงวงการนี้ดี เพราะเป็นสิ่งที่เรารัก เป็นสิ่งที่เราทุ่มมาก อยู่กับมันทุกวัน ทั้งเขียน ทั้งสอนด้วย เวลาเราเห็นเด็กๆ น้องๆ มาขอคำปรึกษา หรือเติบโตในทางงานเขียนที่เขาชอบ แม้ว่ามันจะเป็นงานเชิงบันเทิงคดี ที่ไม่ได้เป็นวรรณกรรมยากๆ ก็รู้สึกยินดีกับเขา เพราะเรารู้ว่ามันเป็นก้าวที่จะพัฒนาไปสู่งานเขียนรูปแบบอื่นๆ อีก หนูแดงเชื่อว่า สมมุติเขียนงานตอนอายุ18 เขียนต่อเนื่องมาจนอายุ 30 มันไม่มีทางเลยที่งานจะหยุดอยู่กับที่เหมือนตอนที่เราอายุ18 แต่มันจะพัฒนาไปเรื่อยๆ เขียนหลากหลายมากขึ้น มันเป็นก้าวที่ดี ใครสนใจก็อยากให้ลองเข้ามาดู ทำไปก็ไม่เสียหาย ถ้ามันไม่ใช่ หรือไม่ชอบ หยุดทำไปก็ไม่เป็นไร”

“แต่โดยส่วนตัวจะทำงานที่รักนี้ไปตลอดชีวิต  หนูแดงเชื่อว่าการทำงานหนัก ขยัน สักวันมันต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน”

ดูเหมือนว่าการเป็นนักเขียนนวนิยายออนไลน์ในปัจจุบันนี้จะไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินไป และดูจะไม่เสียเปล่าหากเริ่มลงมือทำ ลองใช้ความมุ่งมั่น ความหลงใหล และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์เพื่อเล่าเรื่องราวของคุณทำให้โลกได้รู้จัก ขอให้มีความสุขกับการเขียน

บริหารเงินฉบับวัยรุ่น ช่วงปิดเทอมมาเรียนรู้การบริหารเงินส่วนตัวกันเถอะ !!

ปิดเทอมเเล้ว พ่อแม่ ผู้ปกครองหลายท่าน อยากหากิจกรรม หรือ การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ให้กับลูกๆหลานๆ วันนี้ทางเรามีกิจกรรมดีๆ มาเเนะนำ ซึ่งเป็นการเรียนรู้เรื่องการบริหารการเงินเบื้องต้นสำหรับกลุ่มเด็กและเยาวชนทั่วไป ที่ได้ข้อมูลมาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถืออย่าง “ตลาดหลักทรัพย์แห่งปรเะทศไทย” หรือผู้ที่มีประสบการณ์โดยตรง  สามารถเริ่มจากการเรียนรู้พื้นฐานเพื่อให้ให้น้องๆ ได้หัดบริหารเงินของตนเอง เพื่อให้น้องๆ ได้รับทักษะขั้นพื้นฐานที่มีค่าตลอดชีวิต ในเรื่องของการเงินและการออมเงินในอนาคต เรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์ได้ฟรี!! ผ่านแหล่งการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ เรามาดูกันว่ามีอะไรบ้าง ได้รวบรวม 5 แหล่งเรียนรู้ฟรี มีคุณภาพมาไว้ที่นี่แล้ว

1. 4 ขั้นตอนสู่ความมั่งคั่ง ที่วัยเด็กสามารถเริ่มทำได้

  1. รู้หา : หารายได้เสริม เพิ่มเงินออม
  2. รู้เก็บ : ออมก่อนรวยกว่า
  3. รู้ใช้ : ใช้จ่ายอย่างชาญฉลาด
  4. รู้ขยายดอกผล : ลงทุนเป็น เห็นเงินล้าน

น้องๆ สามารถเรียนรู้การบริหารเงิน การออมเงินขั้นพื้นฐาน สามารอธิบายเเละสอนให้น้องได้รู้จักการวางในการใช้เงิน ในการออมเงินของตนเองได้ง่ายๆ  สามารถเริ่มต้นได้ทันที ที่ลิงค์ https://www.set.or.th/th/education-research/education/happymoney/school-student

2. คู่มือเงินทองต้องวางแผน ตอน วัยรุ่นอย่างเราเอาเรื่องเงินอยู่

เมื่อน้องๆ ได้เรียนรู้การบริหารเงิน การวางแผนออมเงินเบื้องต้นเเล้ว หรือจะเป็นน้องๆที่เริ่มมีประสบการณ์มาบ้างเเล้ว เเต่ยังจับต้นชนปลายไม่ได้ เราสามารถมาหาทางออกหรือหาความรู้เพิ่มได้ที่ “คู่มือเงินทองต้องวางแผน ตอน วัยรุ่นอย่างเราเอาเรื่องเงินอยู่” ที่จะทำให้น้อง ๆ ได้รู้จักตั้งเเต่การค้นหาตัวเอง การวางแผนชีวิต การวางแผนค่าใช้จ่ายในอนาคต หากน้องๆ คนไหนได้เข้ามาเรียนรู้รู้ หรือมาศึกษาเเล้ว การรันตีได้เลยว่าสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปจะเป็นพื้นฐานที่ดีได้แน่นอน เรียนรู้ได้ที่ลิงค์ https://media.setinvestnow.com/setinvestnow/Documents/2020/Nov/02_financial-planning-teenagers.pdf

3. SET e-Learning Money Style 

ค้นหาแรงบันดาลใจในการเปลี่ยนสื่งที่ชอบให้กลายเป็นอาชีพที่ใช่! ให้ใช้ชีวิตได้แบบที่อยากเป็น แถมวางแผนความุขที่ยั่งยืน ชวนพ่อ แม่ ผู้ปกครอง มาเรียนรู้พร้อมกับลูกๆ หลาน เพื่อมารียนรู้การวางแผนการเงิน วางแผนชีวิต เพื่อเป็นพื้นฐานที่มีค่าให้กับตนเอง ที่ได้เรียนรู้จากผู้มีประสบการณ์เเละความรู้ด้านการเงินอย่างอัดเเน่น ที่อธิบายเเล้วเข้าใจง่าย รวมถึง การหารายได้ที่สามรถทำเป็นกิจกรรมร่วมกันได้กับครอบครัว ผ่าน SET e-Learning Money Style ที่สามารถเรียนรู้ได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่มาร่วมเรียรู้พร้อมกันทั้งครอบครัวได้เลย! ที่ลิงค์ https://www.setinvestnow.com/th/elearning-money-style

4. เรียนรู้ผ่าน เกมสุดหรรษาด้านการลงทุนตลอด 24 ชั่วโมงไปกับ INVESTORY  

การเรียนรู้มีหลากหลายรูปแบบ การวางแผนการเงินก็เช่นกัน วันนี้ จะเป็นวิธีการเรียนรู้ผ่านการเล่นเกมส์ที่ให้ความรู้ด้านการลงทุน กับ INVESTORY ที่ให้ความรู้ตลอด 24 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว เช่น

  • เกมเพิ่มพลังตังค์เก็บ พบกับสามพลังมหัศจรรย์ เพิ่มค่าเงินออมนเก็บเงิน การวางแผนลงทุน
  •  เกม JOURNEY TO MY PORT วางแผนการลงทุนของตัวคุณเอง
  • เกม STOCK CITY ฝึกเลือกหุ้นที่ใช่ในสถานการณ์ที่ท้าทาย
  • เกมเก็บตังค์พลัง DCA ทดลองออมหุ้นแบบ DCA

ที่ได้ทั้งความรู้และความสนุกสนานไปพร้อมๆกัน มาสนุกกันได้ที่ https://setga.page.link/1KDJPrynro3D7dp3A

5. “ไม่ต้องเก่งคณิตศาสตร์​ ก็ฉลาดเรื่องเงินได้” By Money Coach กับโค้ชหนุ่ม

การเรียนรู้เรื่องการเงินไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปเมื่อ Money Coach กับโค้ชหนุ่ม ได้เตรียมเนื้อหาที่สำคัญต่อการวางแผนทางการเงินที่มาตั้งเเต่ขั้นพื้นฐานให้ได้มาเรียนรู้มาศึกษากัน โดยจะเป็น

หลักสูตรการเงินพื้นฐานสำหรับผู้เพิ่งเริ่มต้นทำงาน (First Jobbers) หรือเริ่มต้นศึกษาเรื่องการเงิน ความยาว 3 ชั่วโมง ที่เข้าใจง่าย ทำให้การที่เราจะคิดมาบริหารจัดการเงินของตนเองสามารถทำได้ง่ายยิ่งขึ้น
โดยมีเนื้อหาหลัก ได้แก่

  • ทำไมต้องวางแผนการเงิน
  • การจัดการรายได้
  • การจัการเงินออม
  • การใช้สินเชื่อเพื่อประโยชน์ในชีวิต
  • การวางแผนภาษีเงินได้กับบุคคลธรรมดา
  • การวางแผนสู่ความมั่ง

หากน้องๆ สนใจสามารถกดเข้าไปที่ https://bit.ly/3XmhqsZ ได้เลย!!

เป็นอย่างไรกันบ้างคะทุกคน มีเนื้อหาการเรียนรู้ ที่มีทั้งคุณภาพ ความรู้ ความสนุก ไว้ในที่เดียวกัน การเรียนรู้เรื่องวางแผนการเงิน ถือเป็นอีกหนึ่งความรู้พื้นฐานก้าวเเรก ก้าวสำคัญที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จในชีวิตได้ การมีทักษะดีการเงินที่ดี ถือว่าเป็นความรู้พื้นฐานที่มีค่าไปตลอดชีวิตในเรื่องกาารเงินเเละการออมในอนาคต

7 ค่ายอาสา เพิ่มทักษะภายนอก พูนทักษะภายใน

หลายครอบครัวอาจจะคิดว่า ปิดเทอมนี้หรือวันหยุดนี้ควรจะให้ลูกๆ เรียนพิเศษอะไรดี แต่รู้หรือไม่ว่า นอกจากเพิ่มเกรดเฉลี่ยในชีวิตวัยเรียนแล้ว การเตรียมตัวสำหรับการใช้ชีวิตนอกสถานศึกษาก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ควรทำไม่แพ้กัน

“จิตอาสา” คือสิ่งหนึ่งที่สามารถปูทางไปสู่การใช้ชีวิตของเยาวชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะนอกจากจะช่วยให้พวกเขาพัฒนาความรู้สึกเห็นอกเห็นใจและความเห็นอกเห็นใจโดยการมีส่วนร่วมกับชุมชนซึ่งจะทำให้เข้าใจความปัญหาที่ผู้อื่นเผชิญและมีส่วนร่วมในการสร้างความแตกต่างในเชิงบวก สิ่งนี้ส่งเสริมการเติบโตส่วนบุคคลและความเข้าใจที่มากขึ้นเกี่ยวกับโลกรอบตัวพวกเขาแล้ว การเป็นจิตอาสายังช่วยเพิ่มความสามารถในการสื่อสาร การทำงานเป็นทีม และความสามารถในการเป็นผู้นำผ่านการทำงานร่วมกับกลุ่มคนที่หลากหลาย ทักษะเหล่านี้เป็นที่ต้องการอย่างมากจากนายจ้างและสามารถเพิ่มประวัติย่อและโอกาสในการทำงานในอนาคตได้ ซึ่งนับได้ว่าเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาทั้งในชีวิตส่วนตัวและในหน้าที่การงาน พวกเขาสามารถปรับปรุง

นอกจากนี้งานจิตอาสายังทำให้ได้สัมผัสกับประสบการณ์และวัฒนธรรมใหม่ๆ มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลจากภูมิหลังที่แตกต่างกัน ส่งเสริมความเข้าใจทางวัฒนธรรม ช่วยพัฒนามุมมองที่เป็นสากลและกลายเป็นบุคคลที่เปิดใจกว้างมากขึ้น ทำให้เป็นคนที่กระตือรือร้นและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม ด้วยการอุทิศเวลาและแรงกายแรงใจให้กับสิ่งที่พวกเขาหลงใหล พวกเขาจะกลายเป็นตัวแทนของการเปลี่ยนแปลงในวงกว้างได้

สำหรับโครงการหรือค่ายอาสาที่เปิดรับสมัครตลอดทั้งปีและมีการจัดการอย่างเชื่อถือได้นั้น มีดังนี้

1. อาสาทำดี ลุยโคลน ปลูกป่าชายเลน 1 วัน  ช่วยเพิ่มป่าชายเลน  ณ.ป่าชายเลน ปากแม่น้ำสมุทรสงคราม

โครงการนี้จัดทำขึ้นโดย ทีมงานบ้านดินไทย หนึ่งในสมาชิกเครือข่ายจิตอาสา ได้จัดกิจกรรมอาสาสมัครช่วยอนุรักษ์ธรรมชาติในหลายกิจกรรมที่ผ่านมา  เช่น  โครงการปลูกป่าสร้างฝายไทยประจัน ราชบุรี  โครงการปลูกป่าให้ช้าง กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ โครงการอาสาช่วยปลูกปะการัง ตามแนวพ่อหลวง ตลอดจนโครงการที่ช่วยเหลือสังคม  เช่น โครงการอาสาสร้างศูนย์เรียนรู้ดินและปลูกปะการัง 

สำหรับโครงการ อาสาทำดี ลุยโคลน ปลูกป่าชายเลน 1 วัน  ช่วยเพิ่มป่าชายเลน  ณ.ป่าชายเลน ปากแม่น้ำสมุทรสงครามนั้น กำลังจะจัดขึ้นในวันที่ วันอาทิตย์ที่ 10 กันยายนนี้ ติดตามรายละเอียดโครงการได้ที่ https://shorturl.at/nyLPX และติดตามโครงการอื่นๆ ของ ทีมงานบ้านดินไทยซึ่งจัดโครงการที่เป็นประโยชน์ทั่วประเทศได้ที่เพจ https://www.facebook.com/bandinthai


2. กิจกรรมพับดาวประดับเทศกาลแห่ดาว จ.สกลนคร รุ่น 2

เทศกาลแห่ดาวคริสต์มาส จัดขึ้นโดย ONE FINE DAY ณ อาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอลท่าแร่บ้านท่าแร่ อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร ในทุกๆ วันที่ 22-25 ธันวาคม ของทุกปี ชุมชนแห่งนี้จะจัด “ขบวนแห่ดาวคริสต์มาส” ที่ อ.เมือง โดยเชื่อว่า “ดาว” เป็นสัญลักษณ์ของการเสด็จลงมาประสูติบนโลกมนุษย์ของพระเยซู ขบวนรถจะตกแต่ง ด้วยดาวขนาดใหญ่ ประดับประดาด้วยดวงไฟวิทยาศาสตร์หลากสีสันอย่างสวยงาม และจะสื่อถึงเรื่องราวการประสูติของพระเยซู ในทุกปีจะมีรถดาวเข้าร่วมขบวนประมาณ 200 คัน ชาวบ้านก็จะตกแต่งโคมไฟรูปดาวไว้ที่หน้าบ้าน จากนั้นเป็นการเฉลิมฉลองในหมู่ชาวคริสต์ มีการร้องเพลงประสานเสียง การประกวดร้องเพลงคริสต์มาส มีการจำหน่ายสินค้าและมีมหรสพทั้งคืน ทั้งนี้จะไม่มีการเชิญชวนให้เปลี่ยนศาสนา หรือชี้ให้เห็นว่าศาสนาไหนดีกว่า แต่เป็นการเรียนรู้การอยู่ร่วมกัน สามารถเข้าร่วมกิจกรรมนี้ได้ทุกศาสนา ติดตามรายละเอียดโครงการได้ที่ https://www.jitarsabank.com/job/detail/8697 และติดตามโครงการอื่นๆ ของ ONE FINE DAY ได้ที่ https://www.facebook.com/onefinedayclub

3. อาสาสมัครซอยด๊อก

มูลนิธิเพื่อสุนัขในซอย (Soi Dog Foundation) องค์กรไม่แสวงหากำไรเพื่อสวัสดิภาพของสุนัขและแมวจรจัด สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่จังหวัดภูเก็ต ได้รับการโหวตในลำดับต้น ๆ บน Trip Advisor ให้เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมในจังหวัดภูเก็ตเปิดรับการมีส่วนร่วมของคนทั่วไปหลายอย่าง ทั้งบริจาคสิ่งของ บริจาคเงิน รับอุปการะสุนัขและแมวจรจัด รวมถึงอาสาสมัครด้วย อาสาสมัครซอยด๊อก มีหน้าที่ใช้เวลากับหมาและแมวของมูลนิธิในคอก รวมถึงพาสัตว์เลี้ยงเดินเล่นเพื่อให้สุนัขและแมวผ่อนคลาย เสริมสร้างพฤติกรรมด้านบวกให้แก่สัตว์ ทำให้สัตว์เลี้ยงมีสุขภาพความเป็นอยู่ที่ดี ดูรายละเอียดและเงื่อนไขการสมัครเป็นอาสาของซอยด๊อกได้ที่ https://www.soidog.org/th/volunteer


4. มหกรรมจิตอาสาภาคใต้ ครั้งที่ 5

จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีสำหรับ แหล่งรวมพลคนอาสาปักษ์ใต้ กับงานมหกรรมจิตอาสาภาคใต้ ครั้งที่ 5 ซึ่งปีนี้มาในธีม “Youth Volunteer Forum: พลังเยาวชนกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ภายในงานมีกิจกรรมน่าสนใจมากมาย อาทิ ปาฐกถาพิเศษ “พลังเยาวชนกับการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน”, Special talk ประสบการณ์งานอาสาสมัครจากอาสาตัวจริงเสียงจริง, workshop เพิ่มทักษะเพื่อชาวอาสา. แลกเปลี่ยนเรียนรู้ในห้องย่อย ที่อัดแน่นไปด้วยพลังอาสาจากหลากหลายประเด็น. รับฟัง รับชม การแสดงสร้างแรงบันดาลใจ จากคณะละครปู๊นปู๊น พร้อมกันนี้ยังได้ลุ้นรับของที่ระลึกสุดพิเศษเพื่อชาวอาสาตลอดทั้งงาน ลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ https://forms.gle/T6xgTY7AMhm19aL96

สำหรับนักเรียนที่เข้าร่วมงานจะได้รับเกียรติบัตรเข้าร่วมงาน โดยจะต้องเข้าร่วมกิจกรรมในห้องย่อยภายในงาน อย่างน้อย 1 ห้องย่อย

กิจกรรมจัดขึ้นในวันที่ 2 กันยายน 2566 ณ ห้อง Conference Hall ศูนย์ประชุมนานาชาติฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี (ม.อ.หาดใหญ่)


5. Uncommon Volunteer

สำหรับใครที่อยากทำงานอาสา มีใจที่จะช่วยเหลือเพื่อนร่วมสังคมให้มีความสุขร่วมกัน Uncommon Volunteer โครงการเล็ก ๆ ที่มีการลงพื้นที่เพื่อช่วยเหลือและพัฒนาชุมชนในโอกาสต่าง ๆ ผ่านรูปแบบการจัดค่ายหรือจัดกิจกรรมให้เยาวชนได้มีส่วนร่วม ล่าสุดมีการปรับเปลี่ยนให้รองรับโครงการออนไลน์ด้วย ทำให้ผู้เข้าร่วมสามารถเข้าร่วมได้ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านทางมือถือ คอมพิวเตอร์ ฯลฯ ด้วย โดยสามารถเข้าไปเลือกชมโครงการต่างๆ ได้ที่

เว็บไซต์ Uncommonunique.com


6. กิจกรรมทำวีลแชร์เพื่อสัตว์พิการ

วีลแชร์เพื่อสัตว์พิการนี้จัดขึ้นทั่วประเทศ โดยจะทำจากวัสดุที่หาได้ง่ายในท้องตลาด ประกอบด้วย ท่อ PVC ข้อต่อ PVC ซึ่งมีข้อดีที่น้ำหนักเบา ราคาไม่แพง หาได้ง่าย ผ้าหนังรับน้ำหนัก ล้อสำเร็จรูป กาวทาหนัง กาวร้อนเชื่อมท่อ PVC ใช้งบประมาณ 500-600 บาทต่อ 1 คัน และใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงเท่านั้น แบ่งเป็น วีลแชร์ 2 ล้อ, 4 ล้อ และวีลแชร์เพื่อการกายภาพบำบัด หรือ รถพยุง โดยในวันที่ 13 ตุลาคมนี้ จะมีการจัดกิจกรรม ทำวีลแชร์เพื่อสัตว์พิการ สัญจรไปยังจังหวัดนครปฐม สามารถอ่านรายละเอียดและลงทะเบียนได้ที่ https://www.jitarsabank.com/job/detail/9085


7. เทใจดอทคอม

สำหรับใครที่มีใจอาสาแต่เวลาไม่เอื้ออำนวย ปัญหานี้สามารถแก้ไขง่ายๆ ด้วยการคลิกที่เว็บ เทใจ https://taejai.com/th/projects/ongoing/   เทใจเป็นเว็บไซต์ระดมทุนให้โครงการเพื่อสังคม ที่รวบรวมโครงการที่จัดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาบางอย่างให้สังคม ดังนั้นก็สามารถชักชวนเด็กๆ ให้รู้จักการบริจาคในโครงการที่ต้องการผ่านเว็บไซต์นี้ หรือจะเป็นผู้ริเริ่มลงโครงการเพื่อขอระดมทุนด้วยตัวเอง แล้วใช้เทใจเป็นตัวกลางในการสนับสนุนโครงการเหล่านั้นก็ได้ บนเว็บไซต์มีหลากหลายโครงการให้คุณเลือกสนับสนุน ครอบคลุมทุกประเด็นเหตุการณ์สังคม

งานอาสาสมัครเปิดโอกาสให้คนหนุ่มสาวพัฒนาความเห็นอกเห็นใจ ได้รับทักษะที่มีคุณค่า เปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้น และกลายเป็นผู้มีส่วนร่วมที่กระตือรือร้นต่อสังคม เป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าที่ไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์ต่อชุมชนที่พวกเขาให้บริการเท่านั้น แต่ยังช่วยให้พวกเขาเติบโตแบบองค์รวมอีกด้วย ดังนั้นหากมีเวลาว่างแม้เพียงน้อยนิด ก็คุ้มค่าที่จะค่อยๆ ปลูกฝังการทำงานเพื่อสังคมให้พวกเด็กๆ

—–

พลังเยาวชน สื่อสาร – สืบสาน – สร้างสรรค์ “คลิตี้ล่าง…ดีจัง” พลังเยาวชน สื่อสาร-สืบสาน-สร้างสรรค์ “คลิตี้ล่าง…ดีจัง”

แม้การต่อสู้เรื่องผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจะจบลงด้วยชัยชนะ การฟื้นฟูเยียวยาอยู่ในกระบวนการเริ่มต้น แต่บทเรียนจากปัญหาที่เกิดขึ้นมายาวนานกว่า 20 ปีได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นการทำงานของเยาวชนกลุ่มหนึ่ง เพื่อร่วมกันอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมสืบสานวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของชุมชนชาวกะเหรี่ยงแห่งผืนป่าทุ่งใหญ่นเรศวร

จากเดิมที่เมื่อพูดถึง “หมู่บ้านคลิตี้ล่าง” ก็จะหมายถึงชุมชนที่มีปัญหามลพิษจากการทำเหมืองแร่ แต่ในวันนี้เด็กๆ ที่เกิดและเติบโตมาพร้อมกับปัญหาสิ่งแวดล้อมในชุมชน ได้ลุกขึ้นมารวมตัวกัน นำบทเรียนในอดีตมาสร้างกระบวนการเรียนรู้เพื่อสืบสานตำนานการต่อสู้ ควบคู่ไปกับนำภูมิปัญญาของบรรพบุรุษมาต่อยอดเป็น “พื้นที่เรียนรู้” เพื่อสร้างความภาคภูมิใจในชนชาติพันธุ์ให้กับเด็กรุ่นใหม่

ลำห้วยคลิตี้

เพราะหัวใจสำคัญที่จะทำให้เด็กๆ ในชุมชนที่กำลังจะเติบโตขึ้นมานั้นจะสามารถ “อยู่ร่วม” กับคนอื่นๆ ในสังคม และสามารถ “อยู่รอด” ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้นั้นก็คือ “ความมั่นใจ” และ “ความภาคภูมิใจ” ในตัวตนของตนเอง

ชลาลัย นาสวนสุวรรณ

“ที่ผ่านมาเรื่องราวของคลิตี้ล่างที่ถูกนำเสนอออกไปมีแต่เรื่องของปัญหา ทั้งลำห้วยปนเปื้อนสารตะกั่ว ปัญหาคุณภาพชีวิต และเศรษฐกิจของชุมชน พวกเราจึงเกิดคำถามว่า ทำไมเราจึงไม่เคยเห็นภาพชุมชนของเราถูกสื่อสารออกไปในทางที่ดีเลย แล้วเมื่อมันไม่ดี แต่ทำไมชาวคลิตี้ล่างก็ยังอยู่ที่นี่ ทำไมถึงไม่ย้ายออกไปข้างนอก คลิตี้ล่างมันมีดีอะไร”  ชลาลัย นาสวนสุวรรณ หรือ “น้ำ” แกนนำและผู้ประสานงานเครือข่ายเยาวชนคลิตี้ล่างดีจัง เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการทำงาน

พวกเขารวมตัวกันในชื่อ “คลิตี้ล่างดีจัง” ซึ่งเป็นหนึ่งในเครือข่ายพื้นที่ดีจัง ที่ขับเคลื่อนโดย แผนงานสื่อสร้างสุขภาวะเยาวชน(สสย.) โดยการสนับสนุนของ สำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว (สำนัก4) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) เพื่อร่วมกันสื่อสารเรื่องราวดีๆ สิ่งที่มีคุณค่าของชุมชนออกไปสู่ภายนอก โดยนำเสนอผ่านประเพณี วิถีชีวิต ภูมิปัญญาอาหารพื้นบ้าน การทอผ้า การจักสาน และการเรียนรู้ในเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการเปิดพื้นที่ให้เด็กๆ ในชุมชนได้ทำกิจกรรมต่างๆ อย่างสร้างสรรค์

เพื่อร่วมกันลบภาพจำเก่าๆ ให้ “คลิตี้ล่าง” กลายเป็นภาพของชุมชนที่มีวิถีชีวิต วัฒนธรรมประเพณีที่มีเอกลักษณ์ และมีความผูกพันพึ่งพาอาศัยกันระหว่างชุมชนกับผืนป่าพร้อมกับร่วมกันเปลี่ยนชุมชนแห่งนี้ให้เป็น “พื้นที่เรียนรู้” ที่เปิดกว้างสำหรับคนทุกเพศวัย

ของกินมีมากมายในลำห้วย

“เราเชื่อว่าทุกตารางนิ้วของคลิตี้ล่างคือพื้นที่เรียนรู้ บ้านก็เป็นพื้นที่เรียนรู้ เรื่องของความเชื่อและฮวงจุ้ย เตากลางบ้านก็เป็นพื้นที่เรียนรู้ ซึ่งเด็กรุ่นใหม่อาจจะยังไม่เข้าใจ แม้กระทั่งการทำไร่ จะมี 2 แบบทั้งการปลูกพืชเศรษฐกิจ และการทำไร่หมุนเวียน เส้นทางเดินไปไร่ก็เป็นพื้นที่เรียนรู้ได้ เพราะระหว่างทางเราจะชอบเก็บผักเพื่อนำไปทำอาหาร ในชุมชนมีน้ำตก เด็กๆ ก็จะเล่นน้ำ ซึ่งก็เป็นพื้นที่เรียนรู้ของเขา การจับกุ้ง จับปลาในน้ำ ก็ถือว่าเป็นพื้นที่เรียนรู้ของเขาเหมือนกัน เพราะฉะนั้นทุกพื้นที่ของคลิตี้ล่างจึงเป็นพื้นที่เรียนรู้ทั้งของคนในชุมชนและคนภายนอก”  น้ำอธิบาย

เมื่อทุกพื้นของคลิตี้ล่างที่คือพื้นที่เรียนรู้ คำถามต่อมาก็คือ แล้วทำไมเด็กๆ ในชุมชนต้องเรียนรู้ ในเมื่อสิ่งเหล่านั้นคือวิถีชีวิตอยู่แล้ว  ซึ่งในประเด็นนี้มีคำอธิบายจาก “น้ำ” ไว้น่าสนใจว่า

“ก็เพราะว่ามันเป็นวิถีชีวิตของเรา เราจึงไม่ใส่ใจและละเลย ดังนั้นการที่จะเล่าเรื่องของตัวเองได้ จึงต้องทบทวนว่าวิถีชีวิตของเราคืออะไร เพราะไม่ใช่แค่คนนอกที่จะเข้ามาเรียนรู้ เราเองก็ต้องเรียนรู้ตัวเองด้วย เราจึงทำกิจกรรมกับเด็กๆ พยายามให้เขาได้เรียนรู้ทั้งในอดีตและปัจจุบัน เพื่อสร้างให้เกิดการพัฒนาแบบร่วมสมัย ให้คนรุ่นใหม่สนใจรักษาต่อ ส่วนคนรุ่นเก่าก็ยังได้เห็นของดีที่มีอยู่ในชุมชน สิ่งสำคัญคือกระบวนการที่จัดการกับสิ่งที่มีอยู่ให้เกิดเป็นองค์ความรู้ และเกิดกระบวนการเรียนรู้ เช่น เทศกาลช่วงเดือนพฤศจิกายน เป็นฤดูเกี่ยวข้าว  เราก็จะชวนเด็กๆ มาเกี่ยวข้าว มาเรียนรู้ถึงความยากลำบากกว่าที่จะได้ข้าว แล้วให้เขาได้สื่อสารเรื่องราวเหล่านี้ออกไปในโซเซียลต่างๆ ด้วย”

ซึ่งการเปิดและเปลี่ยนชุมชนแห่งนี้ให้เป็นพื้นที่เรียนรู้ในชื่อ “คลิตี้ล่างดีจัง” นั้น ไม่ได้หมายความเพียงแค่ให้คนอื่นๆ ได้เข้ามาเรียนรู้ในวิถีชีวิตของพวกเขาเท่านั้น ในขณะเดียวกันเด็กและเยาวชน รวมไปถึงคนอื่นๆ ในชุมชนยังได้เรียนรู้เรื่องราวมากมายจากผู้คนที่เข้าในพื้นที่ไปพร้อมๆ กัน และยังเป็นช่องทางเชื่อมโยงเปิดรับโอกาสดีๆ จากภายนอกเข้ามาหาเด็กและเยาวชน ช่วยเปิดโลกแห่งการเรียนรู้ให้กับผู้สูงอายุและคนในชุมชน ให้เกิดความรู้และความเข้าใจใหม่ๆ ในการอยู่ร่วมในสังคมที่แตกต่างหลากหลายได้อย่างมีความรู้สึกภาคภูมิใจและเท่าเทียม

“อย่างเช่นเรื่องอาชีพ เด็กๆที่นี่ส่วนใหญ่จะรู้เฉพาะอาชีพครู ทหาร ตำรวจ หมอ พยาบาล แค่นั้น เมื่อมีอาชีพอื่นเข้ามาก็ทำให้เด็กๆ ตื่นเต้นและสนใจอยากรู้ว่านี่คืออาชีพอะไร และเรียนรู้ที่จะถามถึงอาชีพต่างๆ มากกว่าที่เขารู้จัก สำหรับเด็กๆ แต่เดิมเขาจะรู้สึกว่าตัวเองมีปมด้อยในการเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ แต่เมื่อได้ทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับคนภายนอกมากขึ้น เขาก็มีความภาคภูมิใจกล้าที่จะบอกว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน เมื่อมีความมั่นใจ สิ่งที่ตามมาก็คือการมีความคิดนอกกรอบมากขึ้น เด็กๆ เริ่มมีความคิดที่จะต่อยอด เช่นการนำผ้าทอไปผลิตเป็นกระเป๋าสตางค์ กิ๊ปช้อป หรือของใช้เล็กๆ น้อยๆ  แทนที่จะทำแค่เสื้อกับกระเป๋าซึ่งขายได้ยากกว่า รวมไปถึงการต่อยอดภูมิปัญญาด้านสมุนไพร ด้วยการผลิตชาใบเตย ชาตะไคร้ หรือชาดอกกุหลาบ ในแบรนด์ของชุมชนเอง”  น้ำระบุถึงความเปลี่ยนแปลง

วิมลรัตน์ ทองผาภูมิปฐวี กับผักกูดที่เก็บได้

วิมลรัตน์ ทองผาภูมิปฐวี หรือ “วิ” หนึ่งในแกนนำเยาวชนเล่าว่า ถ้าไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมที่จัดขึ้นในปี 2557 ก็คงไม่รู้ว่าปัญหาของหมู่บ้านนั้นมีอะไรบ้าง เพราะเด็กส่วนใหญ่จะถูกส่งออกไปเรียนข้างนอกทั้งหมดจึงแทบไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับบ้านเกิดของตนเอง แต่เมื่อได้ทำกิจกรรมหลายๆ ครั้งเข้า ก็ได้เรียนรู้เรื่องราวของชุมชนในหลายๆ ด้าน รู้ว่าทำไมในไร่ต้องปลูกดอกไม้อย่างดาวเรือง หงอนไก่ บานเย็น ก็เพื่อไล่แมลง ได้เรียนรู้ทำไมผ้าทอจึงได้มีราคาแพงเพราะทำได้ยากทั้งละเอียดและประณีต ใช้เวลากว่าที่จะได้ผ้าแต่ละผืนนานเกือบ 3 เดือน

“คลิตี้ล่างของเรามีวิถีความเป็นอยู่ที่ดี  ดีตรงที่ได้อยู่กับธรรมชาติที่มีความอุดมสมบูรณ์สมบูรณ์ มีวัฒนธรรมและประเพณีต่างๆ ที่มีคุณค่า มีอาหารพื้นบ้านมากมายตามฤดูกาลที่สามารถหาได้จากริมห้วยและในป่าโดยไม่ต้องซื้อ อย่างหน้าหนาวก็มีแกงคั่วแตงเปรี้ยว หน้าฝนก็หน่อไม้ เห็ดโคน หน้าแล้งก็มีเผือก มัน และผักต่างๆ ริมลำห้วย”  วิเล่าถึงบ้านเกิดของเขาอย่างภูมิใจ

จารุวรรณ สุขเจริญประเสริฐ

จารุวรรณ สุขเจริญประเสริฐ หรือ “วรรณ” แกนนำรุ่นใหม่อีกคนเล่าว่า ถึงแม้จะเรียนจบจากข้างนอก แต่ก็ตัดสินใจกลับมาอยู่ที่บ้าน และมีความสุขมากกว่าอยู่ในเมืองที่มีค่าครองชีพสูง

การแสดงรำตงเพื่อต้อนรับผู้มาเยือน

“ที่หมู่บ้านเรามีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน แบ่งปันอาหารซึ่งกันและกัน อาหารต่างๆ สามารถหาได้จากลำห้วยลำคลองโดยไม่ต้องเสียเงินซื้อ จะออกไปทำงานข้างนอกบ้างก็เมื่อที่บ้านไม่มีงาน ซึ่งเราอยากให้คลิตี้ล่างดีจังเป็นสื่อกลางในการรวมตัวกันของเด็กในหมู่บ้าน เพื่อให้เด็กๆ ได้เรียนรู้วัฒนธรรมของตนเอง มีกิจกรรมให้เด็กๆ ได้ทำ จะได้ห่างไกลจากปัญหาการติดเกมและยาเสพติดด้วย”  วรรณกล่าว

“คลิตี้ล่างดีจัง จึงเป็นพื้นที่ที่สร้างโอกาสในการเรียนรู้ทั้งสิ่งใหม่และเก่าไปพร้อมกัน เพื่อให้เด็กๆ ไม่ลืมของเก่า สร้างความมั่นใจ และภูมิใจในความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์  สามารถพัฒนาตัวเอง และอยู่ในสังคมได้ อย่างเท่าเทียมกับคนอื่นๆ”  

น้ำกล่าวสรุป

วันนี้ “คลิตี้ล่าง” ไม่ใช่ชุมชนสารพิษ(ตะกั่ว) แต่คือพื้นที่แห่งการเรียนรู้ในวิถีชีวิตของชาวกะเหรี่ยงแห่งผืนป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ที่ผูกพันกับสายน้ำและธรรมชาติ ที่เยาวชนทุกคนได้ลุกขึ้นมาร่วมกันสืบสานตำนานการต่อสู้ ควบคู่ไปกับการร่วมอนุรักษ์ประเพณีและวัฒนธรรมที่งดงาม เพื่อร่วมกันเปลี่ยนภาพจำในอดีตให้กลายเป็น…“คลิตี้ล่างดีจัง”.

เรียนรู้งานจักสาน

“พื้นที่เรียนรู้คลิตี้ล่าง” สร้างเด็กรุ่นใหม่เกิดความภูมิใจในชาติพันธุ์

  • ลด Generation Gap คนต่างวัยสามารถเกิดความรู้ การเรียนรู้และความเข้าใจซึ่งกันและกัน ระหว่างผู้สูงอายุและคนในชุมชน ในการอยู่ร่วมกับสังคมที่แตกต่างอย่างมีความรู้สึกภาคภูมิใจและเท่าเทียม
  • เยาวชนมีรายได้เพิ่มขึ้น นำผ้าทอของหมู่บ้านไปผลิตเป็นของใช้ในชีวิตประจำวัน เพราะเกิดความภาคภูมิใจในชาติพันธุ์ของตัวเอง กล้าบอกว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน  มีความมั่นใจก็กล้าคิดกล้าทำ
  • สามารถแก้ปัญหาเยาวชนติดเกมและยาเสพติด จากการเรียนรู้วัฒนธรรมของตัวเอง เป็นกิจกรรมที่นำมาซึ่งการแก้ปัญหาเยาวชนติดเกมและยาเสพติดด้วย
  • เกิดการพัฒนาแบบร่วมสมัย จากการเรียนรู้อดีตและปัจจุบัน

ชวนวัยรุ่นมา “เล่น-เรียน-รู้” บูรณาการ STEM Education สร้างทักษะชีวิตในศตวรรษที่ 21 ด้วยของเล่น “Automata”

ปฏิเสธไม่ได้ว่าในวันนี้คำว่า “การเรียนรู้” นั้นมีความสำคัญไม่น้อยกว่า “การศึกษา” และการเรียนรู้ยังถือเป็น ทักษะที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้คนๆ หนึ่งมีศักยภาพพร้อมที่จะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคศตวรรษที่ 21 หรือยุค VOCA World ได้

เพราะเชื่อมั่นว่า “การเล่น” เป็นประตูบานแรกที่นำไปสู่ “การเรียนรู้” ซึ่งเป็นแนวคิดในการขับเคลื่อนงานด้านการพัฒนาเด็กเยาวชนและครอบครัวของ “โรงเล่น พิพิธภัณฑ์เล่นได้” ที่ใช้ของเล่นพื้นบ้านและของเล่นที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ เป็นเครื่องมือในสร้างกระบวนการเรียนรู้ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนพื้นที่สร้างสรรค์ที่ยืดหยุ่นสำหรับคนทุกช่วงวัยในพื้นที่จังหวัดเชียงรายมานานกว่า 20 ปี

“Day Camp 14 – 18 ปี ชวนวัยรุ่นมาเรียนรู้งานไม้ และ Automata” เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ถูกจัดขึ้นเพื่อชักชวนเด็กและเยาวชนในพื้นที่ มาเรียนรู้พื้นฐานวิทยาศาสตร์ผ่านการลงมือทำของเล่นงานไม้ Automata ซึ่งเป็นของเล่นที่ใช้หลักการ STEM Education บูรณาการเชื่อมโยงความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ที่ทำให้ของเล่นเคลื่อนไหวได้ ร่วมไปถึงการมีมิติสัมพันธ์ การจัดการเรียงลำดับ การคำนวณ โดยใช้กลไกลูกเบี้ยวในการขยับชิ้นส่วนต่างๆ และร่วมกันออกแบบและสร้างของเล่นชิ้นใหม่ๆ ให้กับน้องๆ ในชุมชน

วีรวรรณ กังวานนวกุล นักออกแบบกิจกรรมและผู้อำนวยการเรียนรู้ เล่าว่ากิจกรรมวันนี้เป็นการชวนน้องๆ มาทำกิจกรรมงานไม้ Day Camp Automata สำหรับวัยรุ่นอายุ 14-18 ปี ให้ได้มารู้จักวิธีการใช้เครื่องมือสำหรับงานไม้เบื้องต้น ได้เข้าใจเรื่องกลไก เรื่อง STEM ได้ลองประดิษฐ์ ออกแบบ ขัดไม้ ประกอบ วางแผน ได้ลองวัด จัดวาง คำนวณ เพื่อให้เกิดกลไกของเล่นที่เคลื่อนไหวได้

ระหว่างทางเด็กๆ ก็จะได้เปิดโลกของความเข้าใจเรื่องของเครื่องมือ ได้เผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่เคยได้ทำมาก่อน พอเขาได้ลองทำแล้วทำได้ก็จะเกิดความภูมิใจในตัวของตนเอง ในส่วนที่จะต้องออกแบบเอง ก็จะต้องเกิดการคำนวณ ได้ลองใช้การวัดจริงๆ ทำดูแล้วมันประกอบได้ไหม ความผิดพลาดเล็กน้อยๆ เพียง 1 เซนติเมตร ก็ทำให้อุปกรณ์ไม่สามารถต่อกันได้ เกิดกระบวนการการทำงานร่วมกัน ซึ่งตัวเขาเองก็ได้ค้นพบว่าจริงๆ แล้วตัวเขานั้นก็รู้จักไม้บรรทัดมาตั้งแต่อนุบาล แต่พอต้องนำมาใช้จริง ก็ยังใช้ไม่ถูกต้อง แต่เขาก็สามารถเผชิญหน้ากับสิ่งที่เกิดขึ้น เกิดการเรียนรู้มากมาย ทั้งไม่เป็นไร ทั้งค้นพบ และจดจำ ซึ่งบรรยากาศของการทำงานจะมีความยืดหยุ่น ให้กำลังใจ เสริมพลังกันและกัน”

“แปลน” รามิล กังวานนวกุล อายุ 20 ปี นักออกแบบของเล่นและวิทยากรกระบวนการ เล่าว่าได้ชวนน้องๆ ในชุมชนมาเรียนรู้เรื่องของเล่น Automata แล้วชวนกันคิดพัฒนาต่อยอดไปสู่การสร้างของเล่นรางลูกแก้วขนาดใหญ่เพื่อให้เด็กๆ ที่มาใช้พื้นที่ของโรงเล่นฯ ได้สนุกกับของเล่นชิ้นใหม่

“ช่วงเช้าจะชวนน้องๆ มาทำของเล่น Automata ที่ใช้กลไกลูกเบี้ยวฟันเฟือง ปูพื้นฐานแบบง่ายๆ โดยมีแบบอยู่แล้วเพียงแค่ออกแบบตุ๊กตาด้านบนตามจินตนาการของแต่ละคน ส่วนช่วงบ่ายก็จะเป็นลงมือทำของเล่นชิ้นใหญ่ด้วยกัน ซึ่งนอกเหนือจากทักษะที่ได้จากการใช้เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ในงานช่างแล้ว น้องๆ จะเกิดการเรียนรู้แบบบูรณาการ ได้เรียนรู้เรื่องของกลไก เรื่องวัสดุ เรื่องของ STEM การทำงานเป็นทีม มีการจัดแบ่งทีมแบ่งกลุ่ม จัดลำดับความเหมาะสมและความถนัดของและคน”  

 “มิ้ว” ปรียาภรณ์ ดวงชัย อายุ 15 ปี นักเรียนชั้น ม.4 โรงเรียนแม่สรวยวิทยาคม ที่มาเข้าร่วมกิจกรรมทำของเล่น Automata เล่าให้ฟังว่า ผู้หญิงกับงานไม้ ดูเหมือนว่าจะไปด้วยกันไม่ได้ แต่พอได้ลงมือทำจริงๆ แล้วก็ไม่ได้เป็นเรื่องยาก งานพวกนี้ไม่ว่าใครก็ทำได้ ทำแล้วก็รู้สึกว่าสนุก ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคนมากกว่า

“ในระหว่างการทำชิ้นงานเราได้เรียนรู้เกี่ยวกับกลไกการทำงาน และสามารถเชื่อมโยงกับสิ่งต่างๆ ในปัจจุบันได้ เช่นการสร้างรถยนต์ ที่ต้องใช้กลไกและสิ่งต่างๆ หลายอย่างมารวมกัน แต่ละอันก็ต้องมีพื้นฐานมาจากของเล่น Automata และที่กำลังประดิษฐ์รางลูกแก้วเพื่อทำของเล่นให้น้องๆ ก็ต้องใช้กลไก Automata ที่ต้องเพิ่มเฟืองและลูกรอกต่างๆ เข้ามา โดยใช้ความรู้เดิมที่มีเป็นตัวตั้ง ซึ่งต้องใช้ทั้งการชั่งตวงวัดให้ถูกต้องชิ้นส่วนต่างๆ ถึงจะออกมาตรงตามแบบที่กำหนดไว้”

กิจกรรมงานไม้ Day Camp Automata ที่จัดขึ้น ไม่ได้เป็นเพียงการชวนน้องๆ เยาวชนเข้ามาเรียนรู้วิธีทำของเล่นจากไม้เพียงเท่านั้น แต่เป็นการชวนพวกเขาให้เข้ามาเปิดประสบการณ์การเรียนรู้ในเรื่องราวต่างๆ ผ่านการลงมือทำ นำหลักทฤษฏีในห้องเรียนมาสู่ภาคปฏิบัติ เรียนรู้กระบวนการทำงานร่วมกันทั้งบนความสำเร็จ ความล้มเหลว และความผิดพลาดระหว่างการทำงานร่วมกัน

 “การทำงานครั้งนี้พวกเขาได้ความเป็นพวกพ้อง ได้มาทำของเล่นชิ้นใหญ่ด้วยกัน ก่อนที่จะนำไปติดตั้งไว้ให้เด็กๆ ในชุมชนได้เล่น และเมื่อเขาเห็นก็จะเกิดความภาคภูมิใจ ซึ่งทักษะพวกนี้จะอยู่ติดตัวไปตลอด แม้ว่าจุดประสงค์ของเราคือการผลิตชิ้นงานออกมาให้สมบูรณ์เป็นรูปเป็นร่าง แต่นั่นไม่สำคัญเท่าสิ่งที่เขาได้รับในขั้นตอนการปฏิบัติงานซึ่งสำคัญกว่ามาก ช่วงวัยรุ่นถ้าเขาจะสามารถหันหลังให้กับสิ่งรุมเร้าในทางที่ผิดได้ จะต้องมี 4 องค์ประกอบคือ มีความกล้า มีความเชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ต้องมีเพื่อน และต้องได้รับความไว้วางใจ สิ่งต่างๆ เหล่านี้คือสิ่งที่สำคัญที่สุด” วีรวรรณ กังวานวนกุล กล่าว

แม้วันนี้ยังการทำของเล่นทำรางลูกแก้วติดผนังจะยังไม่สำเสร็จ แต่ระหว่างทางเชื่อว่าหลายๆ คนคงได้ค้นพบและเรียนรู้อะไรมากมาย และทุกคนก็พร้อมใจกันนัดหมายในการมาลงมือทำต่อให้เสร็จเพื่อให้น้องๆ ที่มาเล่นที่โรงเล่นฯ ได้มีของเล่นกลไกชิ้นใหม่ให้ได้เล่นสนุกกันต่อไป

วีรวัฒน์ กังวานนวกุล ผู้อำนวยการโรงเล่น พิพิธภัณฑ์เล่นได้ กล่าวว่าได้ออกแบบพื้นที่และกระบวนการต่างๆ ของโรงเล่นฯ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ มีพื้นที่สร้างปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน ความคาดหวังของเราคือพวกเขาได้รอยยิ้ม ความทรงจำ และประสบการณ์ดีๆ กลับออกไป ซึ่งจะส่งผลให้เกิดพลังงานบวกและพลังงานสร้างสรรค์ทำให้พวกเขาเดินหน้าต่อไป พร้อมกับขับเคลื่อนให้สังคมได้เดินต่อไป

การเล่นเป็นพื้นฐานที่นำไปสู่เรื่องราวต่างๆ ทั้งความสนุกสนาน ความคุ้นชินกันระหว่างคนหน้าใหม่กับคนหน้าเก่า นำไปสู่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า นำไปสู่การเผชิญสิ่งต่างๆ สุดท้ายก็จะนำไปสู่การค้นพบทั้งความรู้ใหม่ เป็นประตูบานแรกที่นำไปสู่การเรียนรู้ที่ดีที่สุด

สสส. เชื่อว่าการมี พื้นที่เรียนรู้หรือ “Learning Space” เป็นหนึ่งในกลไกและทางเข้าสำคัญในการสร้าง ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ” เพื่อเติมเต็มรากฐานของเด็กและเยาวชนในทุกแต่ละช่วงวัย ด้วยการเปลี่ยนให้ทุกพื้นที่ทั้งที่บ้าน ที่โรงเรียน และในชุมชน ให้กลายพื้นที่เรียนรู้ ที่จะช่วยเสริมสร้างให้เกิดการพัฒนาเด็กและเยาวชนครบทุกมิติ ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และปัญญา ณัฐยา บุญภักดี ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ระบุ

“เทพลีลา” ชวนคนรุ่นใหม่เปิดพื้นที่สร้างสรรค์บนโลกออนไลน์ ใช้ “ความชอบ” สานฝันสู่อาชีพ “YouTuber / Content Creator”

วันนี้ นักดนตรี นักแสดง YouTuber เชฟ ครู หมอ พยาบาล นักธุรกิจ ฯลฯ ได้กลายเป็นอาชีพในฝันลำดับต้นๆ ของเด็กและเยาวชนไทย เมื่อต้องตอบคำถามว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร? แต่การที่จะไปให้ถึงฝันพวกเขายังต้องการทักษะในด้านต่างๆ อีกเป็นจำนวนมากที่ไม่ใช่ด้านวิชาการและไม่สามารถหาได้ในชั้นเรียน โดยเฉพาะทักษะวิชาชีพต่างๆ

กิจกรรม BKK-เรนเจอร์ x ปิดเทอมสร้างสรรค์ อัศจรรย์วันว่าง” The Miracle Playground @Siam : DREAM & DO จึงเกิดขึ้นโดย สสส. ร่วมกับ กทม. นำเอาข้อค้นพบจากงานวิจัยที่ค้นหาความต้องการเรียนรู้ในวันว่างของเด็กและเยาวชนไทย มาต่อยอดเป็นกิจกรรมสร้างสรรค์ เพื่อชักชวนให้ทุกภาคส่วนในสังคมไทยได้เห็นถึงความสำคัญของของวันว่างที่มีมากกว่า 150 วันในแต่ปี พร้อมชักชวนให้ทุกฝ่ายให้มาร่วมกันขับเคลื่อนและพัฒนาพื้นที่ต่างๆ ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีกิจกรรมหลากหลาย สอดคล้องตามความสนใจ เพื่อปูทางสร้างทักษะชีวิตและทักษะอาชีพเพื่อสร้างอนาคตให้เด็กและเยาวชนไทย

ด้วยการเปิดพื้นที่ให้เด็กและเยาวชนได้มีทางเลือกในการทำกิจกรรมนอกเวลาเรียน ค้นหาความถนัด เปลี่ยนวันว่างให้กลายเป็นโอกาสแห่งการเรียนรู้ ที่สามารถต่อยอดพัฒนาเป็นทักษะอาชีพ พร้อมเปิดโอกาสให้น้องๆ ได้พบปะแลกเปลี่ยนมุมมองกับไอดอลในสาขาอาชีพต่างๆ สร้างแรงบันดาลใจการลงมือทำในสิ่งที่ชอบ ที่สามารถพัฒนาสู่อาชีพในฝันโดยใช้แค่วันว่างให้เกิดประโยชน์

โดยเฉพาะการเป็น YouTuber ก็มีคำแนะนำดีๆ จาก “พี่เหว่ง” ภูศณัฎฐ์ การุณวงศ์วัฒน์ และ “พี่เติ๊ด” ภูถิรพัฒน์ อ่องศรี คอนเทนต์ครีเอเตอร์ชื่อดังจาก “ช่องเทพลีลา” เจ้าของรางวัล Best YouTuber ผู้ผลิตคอนเทนต์สร้างสรรค์เพื่อเยาวชน มาแนะนำไอเดียในการสร้างสรรค์ผลงานบนโลกออนไลน์ บนแพลทฟอร์มต่างๆ ให้ประสบความสำเร็จ โดยทั้งคู่กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า…ให้เริ่มต้นที่ความชอบ

“เทพลีลาเราเริ่มต้นครั้งแรกจากสิ่งที่เราชอบ สิ่งที่เราสนใจ เป็นสิ่งที่เราทำแล้วรู้สึกสนุก เราคุยเรื่องนี้กันแล้วมันสนุกดี ก็เริ่มจากตรงนั้น จนปัจจุบันก็ยังเป็นสิ่งที่เราสนุกกับมัน และเป็นสิ่งที่เราอยากจะบอกหรือสื่อสารอะไรออกไปกับสังคม ซึ่งการเริ่มต้นที่ดีที่สุดก็คือเริ่มต้นจากสิ่งที่เราชอบก่อน”

พี่เติ๊ดกล่าว

“ถ้าอยากมีช่อง เริ่มต้นง่ายๆ ไม่จำเป็นต้องไปสนใจเรื่องของอุปกรณ์ เอาความสนใจของเราเป็นตัวตั้ง เรามีแรงบันดาลใจอะไร มี passion สนใจเรื่องอะไร เราก็จะอยู่กับมันได้นาน ง่ายที่สุดก็คือ มือถือแค่นี้ก็สามารถทำคอนเทนต์บน tiktok ได้แล้ว แล้วก็ทำเลยไม่ต้องรอช้าเท่านั้นเอง” พี่เหว่งแนะนำ

“จริงๆ ถ้าอยากจะเป็น content creator ให้เริ่มทันที ความยากของมันมาจากการที่เราไม่ได้เริ่มต้นสักที การเริ่มทำคอนเทนต์ดีที่สุดก็คือเริ่มจากสิ่งที่เราสนใจ สิ่งที่เราชอบ สิ่งที่อยากทำ สิ่งที่เราทำแล้วเรารู้สึกสนุกกับมัน สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเริ่มเลย” พี่เติ๊ดย้ำ

เมื่อใครๆ ก็สามารถเป็น Youtuber ได้ แต่ทำอย่างไรที่จะทำให้พื้นที่ออนไลน์ในช่องทางต่างๆ เป็นพื้นที่สร้างสรรค์ มีเนื้อหาสาระที่มีประโยชน์ ได้รับความชื่นชนจากผู้ชม ที่มีคุณค่ามากกว่าเป็นแค่ความสนุกแต่สร้างผลกระทบและความเดือดร้อนให้กับตนเองและผู้อื่นๆ

“วุฒิภาวะที่ดีหรือสิ่งแวดล้อมที่ดีจะสร้างทัศนคติที่ดี ดังนั้นในเรื่องนี้ครอบครัวจึงมีความสำคัญมาก เพราะเด็กมีวุฒิภาวะต่างกัน บางครั้งที่เขาดูโซเซียลเยอะๆ ก็จะแยกไม่ออกว่าอะไรดีไม่ดี ค่านิยมที่อยากให้คนมาดูเยอะๆ เพราะอยากมีพื้นที่แสดงตัวตน ก็ไปเลือกที่ในสิ่งที่ไม่ดีที่มันทำง่ายแทน ดังนั้นครอบครัวต้องเป็นที่พึ่งที่ดีให้กับเขา เพื่อให้มีภูมิต้านทานที่ดีในการคัดกรอง แยกแยะว่าอะไรดีอะไรไม่ดีได้” พี่เหว่งระบุ

“เรื่องเนื้อหาที่ไม่ดีคงต้องเริ่มจากตัวของ influencer เอง เวลาที่เราทำคอนเทนต์อะไรก็ตามขอให้คิดเสมอไว้ว่าเราเองก็เป็นสื่อ ไม่ว่าจะทำอะไรก็มีคนมองและชื่นชอบเราอยู่ น้องๆ พอเห็นแล้วอาจคิดว่านี่คือสิ่งที่ดี สิ่งที่สนุก แล้วก็อยากจะทำบ้างจนสร้างความเดือดร้อน ดังนั้นถามตัวเองดีๆ ว่าสิ่งที่ทำๆ ให้ตัวเองเดือนร้อน คนอื่นเดือดร้อนหรือเปล่า และคิดถึงคนที่ดูเราว่าเราได้ส่งสารที่ดีออกไปหรือเปล่า” พี่เติ๊ดแนะนำ

“สารที่บอกว่าดี ไม่ได้หมายความว่าน้องๆ จะต้องสร้างคอนเทนต์สร้างสรรค์สังคมอะไรแบบนั้น แต่เป็นการส่งความสุขออกไป บางครั้งคอนเทนต์เราอาจจะไร้สาระเลยก็ได้ ชอบศิลปะก็ทำด้านศิลปะ  ชอบวิทยาศาสตร์ ชอบดนตรีก็ทำได้ ชอบหุงข้าวก็ยังทำได้  ถ้าคนดูเค้ารู้สึกมีความสุข ดูแล้วสนุกจัง นั่นก็คือว่าเป็นคอนเทนต์ที่ดีแล้ว”

พี่เหว่งกล่าว

“ครั้งแรกๆ ที่เราทำอะไรออกไป ให้คิดไว้แต่แรกเลยว่ามันจะไม่มีคนดูในช่วงแรก แต่นั่นจะเป็นบทเรียนให้เราเรียนรู้ว่าจะต้องปรับอย่างไร ปรับไปเรื่อยๆ ไม่ต้องกลัวที่จะเริ่ม อย่าไปคาดหวังว่าคลิปแรกจะมีคนดูเยอะที่สุด” พี่เติ๊ด ให้กำลังใจน้องๆ ที่กำลังอยากเป็น Youtuber

พร้อมกันนี้ทั้ง “พี่เหว่ง” และ “พี่เติ๊ด” ยังฝากข้อคิดให้กับน้องๆ ที่สนใจในสายอาชีพนี้ว่า โลกออนไลน์นั้นเป็นดาบสองคม ถ้าเราสามารถใช้อย่างถูกต้องมันก็จะมีประโยชน์ต่อตนเองและสังคมอย่างมหาศาล แต่ถ้านำไปใช้ในทางที่ผิดมันก็จะมีโทษและเกิดผลกระทบต่อตนเองและคนอื่นๆ มากเช่นกัน

“ไม่ว่าเริ่มด้วยเรื่องอะไรก็ตาม ให้คำนึงด้วยว่าเรากำลังจะกระโดดเข้าไปเป็นสื่อ อยากให้น้องๆ คิดในมุมนี้นิดหนึ่งว่า สิ่งที่เรากำลังทำอยู่นั้น ทำร้ายใครหรือเปล่า หรือทำร้ายตัวเองหรือเปล่า” พี่เติ๊ดชี้แนะ

“เวลาที่เราอยู่ในโซเซียล จะมีคนพูดถึงเราทั้งดีและไม่ดี ในวันนี้อยากจะให้น้องๆ คุยกันได้ ติได้ ชมได้ แต่อย่างด่ากันด้วยความรุนแรง ในบางครั้งที่มันรุนแรงเกินไป ก็ทำให้เกิดความเครียด ซึมเศร้า ท้อแท้ ซึ่งตอนนี้ก็กลายเป็นโรคนี้กันเต็มไปหมด ความรุนแรงไม่ได้ช่วยอะไร แล้วน้องๆ ที่จะเข้ามาอยู่ตรงนี้จะต้องเจอทุกคน ดังนั้นเราจะมีเกราะป้องกันตัวเองให้รอดพ้นจากภาวะเหล่านี้ได้อย่างไร” พี่เหว่งฝากข้อคิด

สสส.เราสำรวจพบว่าสิ่งที่เด็กๆ ชอบที่สุดก็คือการได้ทำสิ่งที่รัก ที่ชอบ ที่อยากทำในวันหยุด แล้วเด็กยุคนี้เองเมื่อโตขึ้นอยากเป็นอะไร ก็มีคำตอบที่เป็นพื้นฐานของวิชาชีพต่างๆ ที่เห็นชัดเจน หลายคนอยากเป็นนักธุรกิจ ทำธุรกิจออนไลน์ อยากเป็นChef อยากเป็น YouTuber อยากเป็นนักแสดง ซึ่งสิ่งต่างๆ ในยุคปัจจุบันนี้เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้นอกห้องเรียน เป็นสิ่งที่จะติดตัวและใช้ในชีวิตของเขาในระยะยาวต่อไดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) กล่าวสรุป.

ชี้เป้า แหล่งหาที่ฝึกงานระหว่างปิดเทอม เสริมทักษะ วัดจังหวะหัวใจ ชอบจริงหรือไม่ เดี๋ยวรู้กัน

หลุมดำอย่างหนึ่งในชีวิตนักเรียนที่กำลังจะเลือกคณะในระดับชั้นอุดมศึกษา หรือนักศึกษาที่เรียนแล้วระยะหนึ่ง คือ เพิ่งรู้ว่าสิ่งที่เคยคิดว่าชอบนั้น เมื่อมาสัมผัสจริงแล้ว กลับไม่ใช่อย่างที่คิด ซึ่งอาจจะทำให้เสียกำลังใจ เสียค่าใช้จ่ายโดยใช่เหตุ และเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์

สิ่งหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหาให้กับนักเรียนนักศึกษาในเรื่องนี้ได้ก็คือ การได้เข้าไปสัมผัสกับโลกแห่งการทำงานในอาชีพนั้นๆ จริงๆ อย่างเช่น การฝึกงานในอาชีพเป้าหมาย ซึ่งจะได้ให้ได้รับรู้ประสบการณ์การทำงาน ได้เห็นในแง่มุมที่ไม่เคยรู้มาก่อน ได้ลองลงมือทำ ลงมือคิดจริงๆ เพื่อจะได้ไม่ตกหลุมอากาศกลางทางในการก้าวไปสู่อนาคตที่ควรจะสดใสและมีเส้นทางที่ชัดเจน

ที่จะกล่าวต่อไปนี้ คือแหล่งรวมที่ฝึกงานสำหรับนักเรียนนักศึกษา อันมีเป้าประสงค์เพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ และทดลองทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าสนใจ (นอกเหนือจากการสอบถามรุ่นพี่ และคณาจารย์ในมหาวิทยาลัย)

1. Daywork

Daywork มีทั้งแอปพลิเคชันที่ดาวน์โหลดได้ทั้งระบบ Android และ IOS และยังมีบริการในรูปแบบเว็บไซต์ www.daywork.co ด้วย โดยข้อมูลทั้งหมดที่มีก็ครบ จบทั้งหมดเรื่องงาน ไม่วาจะเป็น งานที่ต้องการหาคน หรือคนที่ต้องการหางาน ทั้งงานประจำ งานพาร์ทไทม์ และฝึกงานสำหรับนักเรียน นักศึกษา ในทุกสาขาวิชา และมีความร่วมมือกับบริษัทชั้นนำของประเทศมากกว่า 200 บริษัท ดูแลตั้งแต่ต้นทุกขั้นตอนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในส่วนของการจัดการทรัพยากรพนักงาน ในการทำงาน และคุ้มค่ามากที่สุด สนใจดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Daywork ได้ทั้ง Google Playstore และ App store โดยน้องๆ ที่สมัครงานผ่านแอปพลิเคชัน daywork และได้ทำงาน ภายในแอปจะมีฟังก์ชันบันทึกข้อมูลไว้ในโปรไฟล์ส่วนตัวของผู้สมัคร เพื่อนำไปใช้เป็นประวัติการทำงานเมื่อเข้าสู่การสมัครงานจริงๆ อีกด้วย

2. เด็กฝึกงาน.com

เว็บไซต์ที่รวบรวมแหล่งฝึกงานของนักเรียนนักศึกษาไว้มากมายหลากหลายตำแหน่ง เหมาะกับนักศึกษาทุกคณะ ทั่วประเทศ มีการรวบรวมทักษะอาชีพต่างๆ จากรุ่นพี่ที่จะทำให้รุ่นน้องเตรียมตัวสำหรับการเข้าทำงานทั้งในการทำงานต่างๆ รวมถึงเคล็ดลับการใช้ชีวิตในที่ทำงานอีกด้วย ทั้งนี้ในเว็บไซต์ “เด็กฝึกงาน” นั้นไม่ได้มีข้อมูลเฉพาะบริษัทหรือหน่วยงานที่รับเด็กฝึกงานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงงานพาร์ทไทม์ และงานประจำอีกด้วย

3.  a-chieve.org

“อาชีพ” เป็นเว็บไซต์ที่ไม่ได้รวบรวมสถานที่ฝึกงาน แต่เป็นเว็บไซต์ที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นน้องๆ ชั้นมัธยมศึกษาเพื่อให้เรียนรู้ถึงการค้นหาตัวเอง รวบรวมประสบการณ์และเก็บเกี่ยวสิ่งละอันพันละน้อยผ่านกิจกรรมของ “a-chieve” เพื่อตัดสินใจเลือกสายการเรียน และต่อยอดไปยังอาชีพที่ใช่ พร้อมได้พูดคุยทำความรู้จักกับ “ต้นแบบอาชีพ” ที่เป็นผู้ที่ทำอาชีพนั้นๆ มาเล่าเรื่องการทำงานพร้อมตอบข้อซักถามให้ด้วย  เรียกได้ว่าเมื่อรับความรู้จาก “a-chieve” ก็เป็นไปได้ว่า ตัวเราได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของตัวเองเกือบครบถ้วนแล้ว เหลือเพียงแต่เดินไปขอฝึกงานจากบริษัท หรือองค์กรที่มีสิ่งที่ตัวเราชอบเท่านั้น

4. workventure.com 

ดูเผินๆ ที่นี่อาจจะเป็นเว็บไซต์หางาน แต่ที่พิเศษกว่าที่อื่นก็ตรงที่ ที่นี่ยังมีการรีวิวการทำงานในองค์กรต่างๆ รวมถึงบทความที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่เข้าทำงาน หรือมีความประสงค์จะเข้าทำงานในองค์กรนั้นๆ อีกด้วย พร้อมกันนี้ยังมีคอลัมน์สำหรับการหาสถานที่ฝึกงานโดยเฉพาะ เพื่อให้นักเรียน นักศึกษาได้เข้าไปใช้ประโยชน์ด้วย ตรงนี้เรียกว่า ครบ-จบในที่เดียว

5. เว็บไซต์หางาน

ต่อเนื่องมาจากด้านบน เว็บไซต์หางานอื่นๆ ก็มีช่องทางสำหรับการมองหาที่ฝึกงานเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น  www.jobthai.com www.jobsdb.com www.workventure.com  www.jobbkk.com careerjet.co.th หรือ https://th.wakuwaku.world/th (สำหรับผู้ที่ต้องการฝึกงานภาษาญี่ปุ่น) และอีกมากมาย สนใจเว็บไหน เข้าเว็บนั้นพร้อมเข้าไปที่ช่องคนหา แล้วพิมพ์ “ฝึกงาน” ได้เลย

6. มหกรรมหางาน (Job Fair / Job Expo)

ถ้าตอนที่น้องๆ กำลังหาสถานที่ฝึกงานนั้นเป็นช่วงเวลาที่มีการจัดมหกรรมจัดหางาน ก็เป็นโอกาสที่ดีที่จะยื่นเรซูเม่ (Resume) หรือ CV เข้าไว้ ซึ่งในปัจจุบันนี้ มหกรรมจัดหางานมีทั้งแบบออนไซต์ และออนไลน์แบบเสมือนจริง (Virtual) ด้วย

7. เลือกบริษัทที่ชื่นชอบและอยากร่วมงานด้วยในอนาคตแล้วลองติดต่อขอฝึกงาน

เชื่อว่าในใจของน้องๆ นักเรียน นักศึกษาจะต้องมีอาชีพที่รัก บริษัทที่ชอบอยู่ในใจอยู่แล้ว โดยเฉพาะเมื่อผ่านการทบทวนตัวเองกันมาบ้าง ดังนั้นถึงเวลาที่ต้องทดลองเข้าไปทำงานจริง ในสถานที่จริง เพื่อรับบรรยากาศการทำงานที่แท้จริง ดังนั้นจงจับตามององค์กรที่เราสนใจ เตรียมตัวให้พร้อม เพื่อเตรียมรับโอกาสนั้นๆ เช่น โครงการฝึกงานของ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือเป็นโครงการฝึกงานที่เข้มข้นที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย มีการจัดโครงการขึ้นทุกปี และในแต่ละปีก็จะมีเงื่อนไขเล็กๆ น้อยๆ ที่แตกต่างกัน ส่วนใหญ่แล้วจัดทำขึ้นเพื่อเปิดโอกาสในนักศึกษาปี 2 และปี 3 ทุกคณะ จากทุกสถาบันทั่วประเทศ โดยในปีนี้มีทั้งสิ้น 2 โครงการคือ SCG Excellent Internship Program (EIP) และ SCG Co-Operative Education Program (Co-op หรือ สหกิจศึกษา) เพื่อให้นักศึกษาได้เข้าร่วมฝึกงานในสายงานที่เหมาะสม ทั้งนี้นักศึกษาที่สมัคร EIP จะต้องมีเกรดเฉลี่ย 3.0 ส่วนโครงการสหกิจศึกษาจะต้องมีเกรดเฉลี่ยอยู่ที่ 2.7 และต้องทำแบบทดสอบของทางบริษัท รายละเอียดเพิ่มเติมติดตามได้ที่ https://career.scg.com/th/Internship  

สำหรับองค์กรอื่นๆ ก็สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์หรือโทรศัพท์เข้าในองค์กรนั้นๆ ได้เลยเช่นกัน

ช่วงเวลาปิดเทอมอาจจะสั้นเกินไปที่จะบอกได้ว่า ชอบหรือไม่ชอบสิ่งที่ได้ทดลองทำ แต่อย่างน้อยด้วยความพยายามที่เราใส่ลงไป ประกอบกับประสบการณ์ที่ได้รับกลับมาก็จะสามารถเก็บนำมารวบรวมเพื่อการตัดสินใจเมื่อถึงเวลาที่ต้องเลือกอย่างแท้จริง

/////

เรียนภาษาที่ 3-4-5 ผ่านครูสุดชิคใน Tiktok ช่วงปิดเทอม

เป็นที่ทราบกันในวงกว้างมานานแล้วว่า ภาษาที่ 3 กลายเป็นภาษาที่จำเป็นอย่างมากเมื่อเวลาผ่านไป และยิ่งย้ำชัดมากขึ้นเมื่อปัจจุบันหลายโรงเรียนทั่วประเทศก็มีการจัดการเรียนการสอนแบบ “ไตรลิงกวล” (Trilingual School) หรือโรงเรียน 3 ภาษากันแล้ว

แต่สำหรับน้องๆ คนไหนที่ยังต้องการเพิ่มทักษะความรู้ภาษาที่ 3 -4 -5 เพื่อเพิ่มศักยภาพของตัวเองในการต่อยอดเพื่อการเรียนต่อ การทำงาน หรือการสื่อสารและอื่นๆ ปิดเทอมนี้เรามาใช้โซเชียลมีเดียให้เป็นประโยชน์ด้วยการเรียนภาษาใหม่กับครูผู้สอนสุดชิคกันดีกว่า ในที่นี้เราจะเน้นที่ครูคนไทยนะ

เริ่มที่ “ภาษาจีน” ซึ่งตอนนี้หลายโรงเรียนถูกจัดให้เป็นภาษาที่ 3 ที่เด็กๆ จะต้องเรียนอย่างเป็นทางการแล้ว เพราะคนจีนมีอยู่แทบจะทุกมุมโลก ทำงาน สร้างธุรกิจมากมาย ว่ากันว่า มีคนใช้ภาษาจีนมากกว่า 1.10 พันล้านคน ดังนั้นไม่ว่าจะมองเรื่องธุรกิจ การต่อยอดทางวัฒนธรรม หรือการสื่อสารกับเพื่อนที่พูดภาษาจีนเป็นภาษาหลัก การรู้ภาษาจีนย่อมพาเราไปได้ไกลอย่างแน่นอน

และในแอพลิเคชันติ๊กตอก (Tiktok) ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากอยู่ในขณะนี้ก็มีครูสอนภาษาจีนอยู่มากมาย อาทิ

ช่อง ครูพี่นิวสอนจีน

@krupnewsornjeen มีผู้ติดตาม 123.9 k

ชื่อคุณครูก็ตามชื่อช่องเลย ครูพี่นิวของน้องๆ นั้น ขยันสอนมาก และมีเคล็ดลับในการจดจำคำศัพท์  การใช้งานไวยกรณ์ มาฝากกันตลอด พร้อมทั้งมีการไลฟ์สดอย่างสม่ำเสมอ ใครต้องการก็จะมีชีทสำหรับการสอนในแต่ละวันแจกฟรีด้วย เหมาะสำหรับคนทั่วไปที่ต้องการรู้ภาษาจีนในชีวิตประจำวัน รู้คำศัพท์และประโยคต่างๆ ที่พระเอกนางเอกในซีรีส์เขาพูดกัน รวมไปถึงหากต้องการนำไปสอบในโรงเรียน หรือสอบวัดระดับ ครูพี่นิวก็มีมาไลฟ์สอนกันอย่างเข้มข้นด้วย กดติดตามกันได้เลยจ้า แอบกระซิบว่า ครูพี่นิว มีโซเชียลมีเดียทุกแพล็ตฟอร์มค่ะ


ครูลี่ลี่

ช่อง @liliyang520 มีผู้ติดตาม 79.5 k

ส่วนใหญ่เป็นการสอนคำศัพท์ โดยแบ่งเป็นกลุ่มคำศัพท์ที่เหมือนกันในแต่ละคลิป ทำให้จำได้ง่าย ใครเริ่มต้น อยากได้คลังศัพท์เยอะๆ สามารถกดติดตามช่องนี้ไว้ได้เลย นอกจากนี้ครูลี่ลี่ยังมีไลฟ์สดอยู่เสมอ พร้อมนำคลิปมาทบทวนให้เป็นระยะด้วย

แวะกันมาที่ “ภาษาญี่ปุ่น” กันบ้าง ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เปิดรับนักท่องเที่ยวตลอด และมีสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นไฮไลต์ตลอดทั้งปี มีวัฒนธรรมที่น่าศึกษา และยังเป็นประเทศที่เป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีหลายอย่าง ทำให้การรู้ภาษาญี่ปุ่นนั้นสามารถให้ประโยชน์ได้รอบด้าน สำหรับครูภาษาญี่ปุ่นเราจะสามารถแวะไปทักทายได้ระหว่างปิดเทอมตามโซเชียลต่างๆ ได้แก่

ช่อง PaagJapan ปากญี่ปุ่น

@paagjapan ผู้ติดตาม 571.4 k

เป็นช่องที่เล่าเรื่องราวญี่ปุ่นให้ได้รู้จักที่นี่มากขึ้น และถึงเวลาสอนภาษาญี่ปุ่นก็จะแน่นแบบจัดหนักจัดเต็ม ทั้งการบ้าน การเรียนก็เห็นจะเป็น ที่สอนการใช้งาน การท่องจำ เทคนิคการเรียน การสอบ และสอนได้แบบเข้าถึงเนื้อหาได้ลึกซึ้งมาก สมกับที่เป็นติวเตอร์สอนมานาน ทั้งนี้อารมณ์ของช่องก็ไม่ได้ตึงเครียดมากขนาดนั้น แต่มีลักษณะกวนๆ พอให้ยิ้มๆ ใครสนใจภาษาญี่ปุ่น ช่องนี้แนะนำเลย

อีกช่องสำหรับภาษาญี่ปุ่นคือ ภาษาญี่ปุ่นพร้อมเสิร์ฟ @tai_japanese ผู้ติดตาม 41.4 k ช่องนี้เน้นว่า “ใครๆ ก็พูดภาษาญี่ปุ่นได้” และเนื้อหาในช่องก็เป็นแบบนั้น อารมณ์ในช่องจะไม่ใช่การเรียนการสอนแบบในห้องเรียน แต่จะเป็นการเรียนรู้เรื่องในชีวิตประจำวัน ทั้งการอยู่ญี่ปุ่น หรือการไปเที่ยวแบบทุกแง่มุม สนใจก็กดติดตามไว้ได้เลย

อีกภาษาที่เป็นที่นิยม และมีผู้ที่ใช้ภาษานี้ทั่วโลกมากถึง 284.9 ล้านคน คน ได้แก่ “ภาษาฝรั่งเศส” ใครที่สนใจและอยากต่อยอดเรื่อง แฟชั่น ความสวยความงาม แบรนด์ดังระดับโลก และสถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียง รู้ภาษาฝรั่งเศสไว้นอกจากจะไม่ใช่เรื่องเสียหายแล้ว ยังเป็นเรื่องที่จะทำให้ได้เปรียบด้วย

สำหรับช่องสอนภาษาฝรั่งเศสที่จะแนะนำกันในวันนั้น คือ ช่องครูขวัญ @french_with_Kwan ผู้ติดตาม 30.1 k ช่องสอนภาษาฝรั่งเศสที่มีตั้งแต่บทเรียนง่ายๆ อย่างการนับเลข ไปจนถึงเคล็ดลับการเรียนต่อปริญญาโทที่ฝรั่งเศส ใช้ทุกสื่อการเรียนการสอนเท่าที่เราจะนึกได้ และยังมีเคล็ดลับต่างๆ เกี่ยวกับชีวิตประจำวันด้วย กระซิบเหมือนเดิมว่า ครูขวัญมีโซเชียลครบทุกแพลตฟอร์มจ้า

สำหรับช่องนี้เอาใจสาวๆ โดยเฉพาะ ช่อง @vinny1150 ช่องของ แวงซองค์ ภาคภูมิ ปราช หนุ่มฝรั่งเศสที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย และทำช่องติ๊กตอกเพื่อสอนภาษาฝรั่งเศสแบบเจาะลึกในด้านการออกเสียง การอ่าน การพูด แต่ไม่ได้เน้นแกรมม่า (ดังนั้นช่องนี้จึงไม่ได้มีไว้สำหรับดูเพื่อนำไปสอบ) นอกจากนี้ยังมีวัฒนธรรม และเกร็ดความรู้มากมายในภาษาฝรั่งเศสมาบอกกันอยู่ตลอด

อีกภาษาที่เป็นที่นิยมในประเทศไทยมากเช่นกัน ได้แก่ “ภาษาเกาหลี” หลายคนบอกว่า เรียนภาษาเกาหลีเพื่อดูซีรีส์จะได้ได้ยินเสียงพระเอกนางเอกที่รักโดยไม่ต้องผ่านเสียงพากย์ แต่มีไม่น้อยเลยที่ตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะเข้าไปเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยและสูงกว่านั้นที่เกาหลี ซึ่งเป็นประเทศที่ติดอันดับท็อปในการจัดอันดับประเทศที่มีระบบการศึกษาที่ดีที่สุดในโลก[1] นอกจากนี้จะเห็นได้ว่า เกาหลีส่งออกแบรนด์สินค้าหลายอุตสาหกรรมออกสู่ตลาดโลกไม่ว่าจะเป็นเครื่องสำอางค์ ผลิตภัณฑ์ดูแลตัวเองทั้งหญิงชาย ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีต่างๆ และมีการลงทุนในอีกหลายอุตสาหกรรมในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย ดังนั้น ศึกษาภาษาเกาหลีเพิ่มเติมกันเถอะ

จะบอกว่าครูสอนภาษาเกาหลีในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะติ๊กตอกนั้นมีเยอะมาก นับกันไม่หวาดไหว แต่ละช่องก็ล้วนแต่มีคุณภาพอัดแน่นมาก แต่ด้วยเนื้อที่จำกัด เราจึงขอนำเสนอเป็นน้ำจิ้มแค่ 2 ช่องเท่านั้น

ช่องแรกคือ ช่องครูพลอย @ployyland มีผู้ติดตาม 134.3 k ครูพลอยเรียนระดับมหาวิทยาลัยที่ประเทศเกาหลี และมีประสบการณ์การสอนมากกว่า 7 ปี ในช่องมีทั้งการสอนภาษาเกาหลีด้วยเทคนิคการเรียนการสอนที่หลากหลาย มีแนะนำการเรียนภาษา และไปเรียนต่อที่เกาหลีอีกด้วย ใครสนใจเรียนภาษาเกาหลีแบบแน่นๆ เต็มๆ กดติดตามไว้ไม่เสียเปล่าแน่นอนจ้า

อีกช่องที่จะแนะนำสำหรับภาษาเกาหลีก็คือ ช่องครูซอย็อน @sy8755 ผู้ติดตาม 39.1 k ครูซอย็อนมีบุคลิกความเป็นครูสูงมาก แต่เป็นครูใจดีและสดใส และด้วยเหตุนี้เอง ช่องของครูซอย็อนจึงได้ทั้งความรู้แบบอัดแน่นเหมือนอยู่ในห้องเรียน แต่ก็มีความสดใสและเทคนิดแพรวพราวด้วย แนะนำให้กดติดตามไว้ได้เลยค่ะ

แถมช่องสำหรับ “ภาษาเยอรมัน” ไว้สักช่อง นั่นคือช่อง @gersiri เป็นช่องสอนภาษาเยอรมันจากชีวิตประจำวัน มีการรวบรวมคำศัพท์เป็นกลุ่มคำ และแนะนำเทคนิคต่างๆ เกี่ยวกับการใช้ภาษาเยอรมันด้วยค่ะ ใครที่สนใจทำงานเกี่ยวกับอุตสาหกรรมรถยนต์ หรือทำงานที่เกี่ยวข้องกับสหภาพยุโรป รู้ภาษาเยอรมันไว้ ก็สามารถต่อยอดได้ดีเลยค่ะ

ยังมีอีกหลายภาษาที่สามารถเรียนเพื่อนำไปใช่ประโยชน์ได้เช่น ภาษาสเปน อาหรับ ฮินดี เวียดนาม โปรตุเกส ฯลฯ สามารถหาได้ตามสื่อโซเชียลต่างๆ ได้เช่นกัน

ตามที่กล่าวมาทั้งหมดส่วนใหญ่เน้นต่อยอดทักษะการใช้ชีวิต การงาน วัฒนธรรม แต่รู้หรือไม่ว่า การเรียนภาษาที่ 3 หรือหากใครอยากจะเรียนภาษาที่ 4 ที่ 5 ด้วย ก็สามารถพัฒนาสมองและการคิดวิเคราะห์ และยังสามารถพัฒนาทักษะการทำงานแบบหลายอย่างในครั้งเดียวให้ดีขึ้นได้ด้วย แต่ทั้งนี้หากไม่ได้เป็นคนชอบด้านภาษา ลองเลือกแค่ภาษาที่ชอบจริงๆ และทำมันให้ดีที่สุดก็ได้ อย่าให้ตัวเองเครียดหรือกดดันมากเกินไป เพราะนั่นจะยิ่งทำให้เรารู้สึกแย่กับภาษานั้นๆ มากยิ่งขึ้น

ทริคเล็กๆ น้อยๆ สำหรับการเรียนภาษาต่างประเทศให้ ‘ง่ายนิดเดียว’ ก็คือ ลองเลือกทำสิ่งที่ชอบเป็นภาษาที่เราสนใจ อย่างเช่น การดูหนัง ดูซีรีส์ด้วยภาษาต้นฉบับ โดยเปิดซับไตเติ้ลแปลไทยในครั้งแรก แล้วเปลี่ยนเป็นภาษาต้นฉบับในการดูรอบถัดไป จะช่วยให้รู้คำศํพท์เพิ่มมากขึ้น ส่วนการฟังเพลงจะช่วยเรื่องการออกเสียง จากนั้นลองพูดกับตัวเองในกระจกในกรณีไม่มีคนคุยภาษานั้นๆ ด้วย หรือจะเป็นการคุยให้คนอื่นฟังก็ได้เช่นกัน อีกอย่างที่ทำแล้วได้ผลและทำให้เราเห็นคำศัพท์ภาษาต่างประเทศได้บ่อยก็คือ เขียนคำศัพท์แปะไว้บนสิ่งของภายในบ้าน และนำคำเหล่านั้นมาใช้งานทับศัพท์ไปเลย หรือแต่งประโยคได้ก็จะยิ่งได้ผลเร็วยิ่งขึ้น

ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการเรียนในช่วงปิดเทอม!

///////


[1] ข้อมูลจาก https://www.currentschoolnews.com/education-news/best-educational-system-in-the-world/

ขนมกินเล่น DIY ทำเองได้ง่ายๆ กินได้อร่อยด้วย

กิจกรรมยามว่าง กินได้อร่อยด้วย ได้ทำสนุกอีก อีกทั้งยังทำกันได้หลายคนด้วย รวมหลากหลายไอเดียที่จะมาdiy ขนมต่าง ๆ ถ้าจะให้เรามาเตรียมอุปกรณ์ วัตถุดิบตั้งแต่เริ่มต้นก็น่าจะหมดแรงไปซะก่อน วันนี้เรามีตัวช่วยดีดี เพียงสั่งทางร้านให้ Delivery มาให้ก็สามารถทำขนม DIY ตามสไตล์เรากันได้เลย

วันนี้มีร้านมาแนะนำ 5 ร้านด้วยกัน มาดูกันเลย

1. ขนมโตเกียว จากร้าน Tokyoclassic.bkk

ขนมโตเกียว จากร้าน Tokyoclassic.bkk

ชุดทำขนมโตเกียว DIY TOKYO CLASSIC เหมือนยกรถเข็นโตเกียวหน้าโรงเรียน มาไว้ที่บ้าน ทางร้านมีบริการเตา และชุดทำขนมให้ด้วยนะ หากสนใจเข้าไปดูได้ที่


2. ขนมเบื้อง DIY – จากร้าน สุขนิยม ขนมครกสิงคโปร์ ประตูผี

ขนมเบื้อง DIY – จากร้าน สุขนิยม ขนมครกสิงคโปร์ ประตูผี

ขนมเบื้อง 2 รสชาติสุดอร่อยที่ลูกค้าโปรดปราน หวานดั้งเดิม และ เค็มทรงเครื่อง เอาไปทำ DIY ตามชอบ ครีมน้อย ไส้เยอะ หรือขอครีมอย่างเดียวก็ได้.


3. Cupcake DIY – จากร้าน leklek.cafe

Cupcake DIY – จากร้าน leklek.cafe

สำหรับสายประดิษฐ์ประดอย ปุ้กปิ้ก มีให้เลือก 2 เซตด้วยกันครืออ เซตแม่สี ชิกๆ และ พาสเทล หวานๆทำ DIY ในวันพิเศษให้กับคนพิเศษ หรือว่าจะทำกินเล่น เป็นครอบครัวก็สนุกไปอีกแบบ

Instagram : https://www.instagram.com/leklek.cafe/
LINE : https://line.me/R/ti/p/%40759nckkz


4. Mini Molten Chocolate Cake – จากร้าน CHEEVIT CHEEVA

Mini Molten Chocolate Cake – จากร้าน CHEEVIT CHEEVA

เค้กเนื้อฟัดจ์ชุ่มฉ่ำด้วยดาร์กช็อกโกแลตแท้ ราดด้วยมูสช็อคโกแลต เนื้อเบาๆ แต่รสชาติเข้มข้น หวานขมกำลังดี โรยด้วยผงโกโก้แท้ นำเข้าจากเนเธอร์แลนด์ D.I.Y Set มาพร้อมชุด Kit และวิธีทำ ที่สามารถเอาไปทำเองได้ง่ายๆที่บ้าน ด้วยการอุ่นเค้กเบาๆ แล้วเอาซองครีมช็อกโกแลตไปแช่น้ำอุ่น ให้ครีมนุ่ม แล้วราดลงบนหน้าเค้ก เกลี่ยให้เรียบ เคาะเบาๆกับโต๊ะให้ครีมค่อยๆไหล จากนั้นเอาซองผงช็อกโกแลต มาโรยหรือร่อนให้ทั่ว ก็เสร็จเรียบร้อย

Facebook : https://www.facebook.com/cheevitcheevacafe


5. Pancake – จากร้าน Pancake Cafe

Pancake – จากร้าน Pancake Cafe

ชุด​ pancake DIY ที่ทำให้ทุกคนทำแพนเค้กง่ายๆ สะดวกได้ ทั้งสนุกทั้งอร่อยได้พร้อมกันได้ทั้งครอบครัว!! ไม่ต้อง​เสียเวลา​ ผสมแป้งงง ตั้งกระทะให้ร้อน พร้อม​​ Flip​ กันเลยย​

Facebook : https://www.facebook.com/PancakeCafeThailand/

สถานการณ์แบบนี้ ไปเที่ยวข้างนอกก็ไม่ค่อยโอเค อยู่บ้าน สั่งขนม DIY มาทำกิจกรรมร่วมกัน สนุกไปอีกแบบ ใครชอบร้านไหน สไตล์แบบไหนก็จัดกันไปเลยจ้า อย่าลืมออกกำลังกายกันด้วยนะคะ ^^

“บริหารจัดการเงิน” รัฐ-พ่อแม่ต้องส่งเสริมช่วยเปลี่ยนอนาคตที่ดีให้เด็กได้ โค้ชหนุ่มบอก ควรถูกบรรจุในหลักสูตรกระทรวงศึกษา

โลกเราทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ยิ่งการระบาดของโควิด-19 ที่สร้างผลกระทบไปทั่วโลก ยิ่งเร้าความเปลี่ยนแปลงมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสังคม เศรษฐกิจ รวมถึงสิ่งแวดล้อม ภาวะโลกร้อนที่กำลังขยายตัวส่งผลกระทบเป็นวงกว้างมากขึ้นทุกทีๆ

การเตรียมพร้อม “ทักษะ” เพื่อให้เด็กยุคใหม่เท่าทันกับความเปลี่ยนแปลงจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรได้รับการส่งเสริมอย่างจริงจัง

หนึ่งในนั้น คือ ทักษะเรื่อง “การจัดการการเงิน” ทักษะที่เด็กยุคใหม่ควรได้รับการส่งเสริมทั้งที่บ้านและโรงเรียน เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับโลกที่พวกเขาจะต้องเผชิญมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

โค้ชหนุ่ม-จักรพงษ์ เมษพันธุ์ เจ้าของเพจมันนี่โค้ช (Money Coach) เผยเหตุผลว่า ทำไมเด็กต้องมีความรู้เรื่อง “การจัดการการเงิน” เพราะ “ความรู้เรื่องการเงินเป็นวิชาที่คุ้มมาก เรียนครั้งเดียวใช้ได้ตลอดชีวิต”

สำหรับโค้ชหนุ่ม เจ้าของเพจ Money Coach สอนเรื่องการจัดการการเงิน ในคอนเซ็ปสร้างแรงบันดาลใจและนำพาคนไทยไปสู่สุขภาพการเงินที่ดี และมีความสุข มีผู้ติดตามเพจกว่า 7 แสนคน มีลูกชาย 2 คน ที่กำลังอยู่ในวัยประถมและมัธยม

โค้ชหนุ่ม เคยส่งลูกๆ เข้าเรียนตามระบบในโรงเรียน แต่เมื่อเห็นระบบการศึกษาปัจจุบันไม่ตอบโจทย์การแปลงเปลี่ยนของโลกยุคใหม่ จึงได้จัดการศึกษาให้ลูกเรียนที่บ้าน ในลักษณะโฮมสคูล (Home School) 

 “ถ้าวันหนึ่งเราไม่อยู่ คำถามคือลูกเราจะอยู่อย่างไร ทักษะในโรงเรียนที่ให้อยู่ทุกวันนี้พอไหม” โค้ชหนุ่มตั้งคำถามกับระบบการศึกษาปัจจุบัน

“ในชีวิตของคนๆ หนึ่งต้องมีทักษะอะไร คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ ผมว่าไม่ใช่ แต่คนๆ หนึ่งต้องรู้จักทักษะการเอาตัวรอด การฝึกแก้ปัญหา การรับมือกับความผิดหวัง การอยู่กับผู้คน ความเห็นอกเห็นใจ ภาษา รวมทั้งการสร้างรายได้”

“นี่จึงเป็นที่มาของโฮมสคูลที่เราออกแบบการเรียนการสอนของเราเอง ภายใต้กรอบคิดที่ว่า ถ้าวันนึง พ่อแม่ไม่อยู่ ลูกจะอยู่ได้ และอยู่ได้อย่างดีด้วย”

กระนั้น แม้จะให้ลูกเรียนโฮมสคูล แต่โค้ชหนุ่มก็ “ไม่ปิดกั้น” เส้นทางการศึกษา ยังคงวางเส้นทางเพื่อให้ลูกกลับไปสู่ระบบได้เหมือนเดิม

โค้ชหนุ่ม ระบุว่า ทักษะใหม่ที่เด็กยุคใหม่ควรมี ประกอบด้วย

  1. ทักษะความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มาก
  2. ทักษะความคิดแบบมีตรรกะ มีเหตุมีผล ซึ่งโยงไปเรื่องของการคิดให้อยู่กรอบเชิงกฎหมาย กรอบของศีลธรรมอันดีสอนลูก คนเราทำอะไรก็ได้ ไม่ควรกระทบสิทธิคนอื่น
  3. ทักษะการเป็นคนรักการเรียนรู้ อันนี้ต้องฝึก ไม่ใช่พรสวรรค์ ทักษะนี้จะเกิดขึ้นมาจากการตั้งคำถาม ถ้ากระตุ้นจากการตั้งคำถาม จากนั้นไปสู่ขั้นตอนการค้นคว้า ทำให้เด็กเป็นนักเรียนรู้ เพราะการเรียนรู้ไม่รู้จบ
  4. ทักษะความอดทน หรือความทนทาน ความทนทานต่อทุกๆ เรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
  5. ทักษะการจัดการการเงิน
  6. ทักษะดิจิทัล
  7. ทักษะเรื่องความปลอดภัย การใช้ชีวิตโดยการคำนึงถึงความปลอดภัยหรือเซฟตี้ไว้ก่อน
  8. ทักษะด้านภาษา ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ หรือภาษาอื่นๆ

สำหรับ “ทักษะด้านการเงิน” นั้น โค้ชหนุ่ม แนะนำผู้ปกครองสอนลูกเรื่องการจัดการการเงิน โดยแบ่งเป็นระดับ ดังนี้      

“อนุบาล-ประถมต้น” ยังไม่ต้องใช้คำว่าเงิน สอนให้ลูกดูแลข้าวของเครื่องใช้ของเขาได้ดี ดินสอใช้ได้นาน ให้ชื่นชม เก่งมากเลย หรือคุยกับเขา ถ้าเป็นแม่จะซื้อของแพคใหญ่จะดีกว่า เพราะลูกกินอยู่แล้ว ใช้อยู่แล้ว อาจจะสอนง่ายๆ แบบนี้ก็ได้

“ประถมปลาย” วัยนี้จะเริ่มเข้าใจเรื่องตัวเลข สอนจากการให้ค่าขนม โดยมีกติกา กินเท่าไหร่ก็ได้ แต่ขอให้เหลือกลับมา แล้วถามเขา ให้ค่าขนมไปใช้อะไรบ้าง ถ้าวันไหนใช้หมด ก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่ต้องซีเรียส

นอกจากนี้ เราอาจมีกระปุกออมสินให้เขาเก็บเงิน เมื่อเก็บเงินได้ก็พาไปธนาคารเปิดบัญชี ไปใช้บริการเครื่องมือทางการเงิน เป็นกิจกรรมง่ายๆ ที่ให้เขาได้ทำจากประสบการณ์จริง

“มัธยมต้น” สอนด้วยการเริ่มให้เงินเป็นสัปดาห์ ให้เงินเป็นเดือน เพื่อฝึกจัดการการเงินของเขาเอง ให้เขาฝึกทำตัวเลขทางการเงิน บอกว่า ไม่เป็นไรถ้าใช้หมดก่อน แล้วมาคุยกัน ถือเป็นการสอนเรื่องเงินที่ครบวงจรและมีเหตุมีผล ส่วนการออมก็เน้นมากขึ้น เริ่มสอนเครื่องมือง่ายๆ เกี่ยวกับการเงิน เช่น สลากออมทรัพย์ เป็นต้น

“ม.ปลาย” สามารถสอนเรื่องการลงทุนต่างๆ ได้แล้ว รวมถึงสอนการสร้างรายได้

“ทั้งหมด 4 อย่าง 1.การปลูกฝังฐานการใช้จ่ายประหยัด 2.การบริหารการเงิน 3.การหารายได้ 4.การลงทุน แค่นี้เอง ความรู้การเงินเป็นวิชาที่คุ้มมาก เพราะเรียนครั้งเดียว ใช้ได้ตลอดชีวิต”

เมื่อความรู้เรื่องการเงินเป็นสิ่งสำคัญ โค้ชหนุ่ม จึงผลักดันเรื่องนี้ให้คนไทยมีความรู้เรื่องการเงินมาตลอด 16 ปี ล่าสุดเปิดคอร์สการเงินออนไลน์สำหรับเด็กม.ต้น ซึ่งมีน้องๆ เรียนหลักสูตรนี้แล้ว 1,000 กว่าคน นอกจากนี้ยังมีหลักสูตรเฟิร์ส จ๊อบเปอร์ สำหรับเด็กจบใหม่ รวมถึงหลักสูตรแฟมิลี่ไฟแนนซ์ สำหรับผู้ปกครองด้วย

“ผมอยากให้มีการบรรจุเรื่องการจัดการเงินลงในหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ผ่านมาสอนแต่เรื่องการออม ซึ่งไม่เพียงพอ เพราะโลกของการเงินไปไกลกว่านั้นแล้ว”

โคชหนุ่ม

“การสอนการเงินควรสอนให้ใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ยกตัวอย่างง่ายๆ เรื่องใบแจ้งหนี้ค่าไฟ ต้องดูยังไง ค่าไฟทำไมเพิ่มทำไมลด หรือจะผสมไว้ในวิชาเลขก็ได้”

อย่างไรก็ตาม โค้ชหนุ่มย้ำว่า สิ่งหนึ่งที่ต้องสอนควบคู่ไปกับเรื่องเงินคือ เงินไม่ใช่สิ่งสำคัญในชีวิต เมื่อสอนเรื่องเงิน เราต้องพยายามแทรกในมุมต่างๆ ทำให้เขาใช้ชีวิตพอเหมาะพอสม จัดการชีวิตให้มีความสุขโดยที่ปราศจากปัญหาเรื่องการเงิน

“ถ้าคนๆ หนึ่งไม่ปัญหาเรื่องการเงิน ระหว่างทางมีการป้องกันของชีวิต เกิดอุบัติเหตุจัดการได้ เกษียณไม่มีหนี้ มีเงินเก็บเงินกินเงินใช้ตามฐานะ จัดการเงินได้ มีชีวิตที่หมดกังวลเรื่องเงินๆ ทองๆ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ เพราะการที่ประชาชนที่เป็นหน่วยเล็กที่สุด ดูแลตัวเองได้อย่างเหมาะสม คน 70 เปอร์เซ็นต์ของประเทศดูแลตัวเองได้ ประเทศก็จะมั่งคั่งได้

เพราะมีความรู้ที่สำคัญในการดำรงชีวิต ก็เป็นเรื่องจำเป็นที่เด็กควรมีความรู้เรื่องการเงินตั้งแต่วันเรียน ปลูกฝังตั้งแต่เด็กๆ ชีวิตที่ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินๆ ทองๆ เพราะบริหารจัดการเงินเป็นก็จะมีความสุขได้”

โค้ชหนุ่มทิ้งท้าย


ขอบคุณรูปจากเพจ Money Coach

กิจกรรมโครงการอบรมเด็กรักดี จังหวัดเพชรบุรี

ปิดเทอมนี้ มีอะไรบ้างนะ ? 

สวัสดีน้องๆ ปิดเทอมสร้างสรรค์ทุกคน วันนี้พี่ๆจาก ปิดเทอมสร้างสรรค์ อยากจะมีกิจกรรมดีๆ ทางเลือกที่ใช่ ให้กับน้องๆ เพื่อเป็นแนวทางว่าปิดเทอมครั้งนี้ จะทำอะไรดี ที่ควรได้รับความสุข รวมถึงการพักผ่อนอย่างเต็มที่ในการปิดเทอมครั้งนี้ จะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย 

1.เล่นกีฬาและออกกำลังกาย

ปิดเทอมเป็นช่วงเวลาที่ดีในการเล่นกีฬา ไม่ว่าจะเป็นฟุตบอล บาสเกตบอล ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน การออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายแข็งแรงและมีความสนุกสนาน การเล่นกีฬากับเพื่อนๆ ยังช่วยให้เราได้เรียนรู้การทำงานร่วมกับคนอื่นและมีน้ำใจนักกีฬา

2. เข้าร่วมกิจกรรมอาสาสมัคร

การเป็นอาสาสมัครเป็นกิจกรรมที่ได้ประโยชน์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น เด็กๆ สามารถเข้าร่วมโครงการที่จัดโดยชุมชนหรือโรงเรียน เช่น การช่วยเก็บขยะตามชายหาด ช่วยงานในบ้านพักคนชรา หรือร่วมกิจกรรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม กิจกรรมนี้ทำให้เรารู้สึกถึงความภูมิใจและเห็นคุณค่าของการช่วยเหลือผู้อื่น

3.ทำงานประดิษฐ์ DIY

การทำงานประดิษฐ์หรือ DIY (Do It Yourself) เป็นกิจกรรมที่สร้างสรรค์และสนุก เด็กๆ สามารถลองทำของใช้จากสิ่งของที่หาได้ง่าย เช่น ทำสมุดโน้ตเอง ตกแต่งขวดน้ำให้เป็นกระถางต้นไม้ หรือประดิษฐ์ของเล่นจากวัสดุรีไซเคิล กิจกรรมนี้ไม่เพียงแต่ช่วยพัฒนาทักษะด้านศิลปะ ยังส่งเสริมการใช้จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์อีกด้วย น้องๆสามารถดูเเนวทางการทำ DIY ในบทความเก่าๆ ในเรื่องของ DIY ได้เลย 

4.ช่วยเหลืองานบ้านหรือฝึกทำอาหาร

การช่วยงานบ้าน เช่น ล้างจาน กวาดบ้าน หรือลองฝึกทำอาหารง่ายๆ เป็นวิธีที่ดีในการใช้เวลาว่าง และทำให้เรารู้สึกภูมิใจในตัวเอง ถ้าคุณชอบทำอาหาร ลองชวนครอบครัวมาทำอาหารร่วมกัน เช่น ทำขนมเค้กหรือทำอาหารจานโปรดของบ้าน จะเป็นกิจกรรมที่สนุกมากๆ

5.อ่านหนังสือหรือเรียนรู้สิ่งใหม่

ช่วงปิดเทอมเป็นโอกาสดีที่จะได้อ่านหนังสือที่ชอบ ไม่ว่าจะเป็นการ์ตูน นวนิยาย หรือหนังสือสารคดีที่น่าสนใจ นอกจากนี้ ยังสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้จากอินเทอร์เน็ต เช่น การวาดรูป การทำงานฝีมือ หรือการลองทำโครงการวิทยาศาสตร์ด้วยตัวเอง ถือเป็นการเรียนรู้ตัวเองที่มาพร้อมกับความรู้อีกด้วย 

เป็นยังไงกันบ้างคะน้องๆ ปิดเทอมครั้งนี้ได้แนวทางในการทำกิจกรรมช่วงปิดเทอมอย่างแน่นอน ถึงแม้การปิดเทอมจะเป็นการพักผ่อนจากการเรียนหนังสือ เเต่เราสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จากการทำกิจกรรมช่วงปิดเทอมได้อย่างเเน่นอน ลองไปปปรับใช้กันได้เลย 

DIY สุดเจ๋ง ไม่ทำตามไม่ได้แเล้ว  

วันนี้ พี่ๆ ปิดเทอมสร้างสรรค์ ขอมาบอกการทำ DIY กันอีกแล้ว ถือว่าการทำ DIY สุดสร้างสรรค์​เป็นการทำไม่สิ้นสุดจริงๆ ถ้าหากน้องๆคนไหนพึ่งมาเห็นบทความนี้เป็นครั้งเเรก พี่ๆ อยากบอกเลยว่า ปิดเทอมสร้างสรรค์ของเรามีไอเดียในการทำ DIY ที่หลากหลายมาก สามารถไปตามบทความก่อนหน้านี้ได้เลย วันนี้เรามาดูวิธีทำ DIY ง่ายๆ พร้อมตัวอย่างน้องๆ สามารถทำได้เองที่บ้าน หรือ ช่วยพ่อแม่ หรือ เพื่อนๆ มาร่วมสนุกกันได้เลย 

กรอบรูป DIY 

กรอบรูป DIY เป็นอีกหนึ่งอย่างที่สามารถทำได้ง่าย เเละเอาของเหลือใช้ในบ้านมาปรับปรุงใหม่ ทำใหม่ให้ดูดีขึ้น เเละ แปลกใหม่ ทำให้ของชิ้นนั้นกลับมาได้น่าสนได้อีกครั้ง รวมถึงยังเอาเป็นของขวัญได้อีกด้วยนะ

วัสดุที่ต้องใช้:

  • กรอบรูปเก่า (หรือไม้ที่ใช้ทำกรอบ)
  • สีอะคริลิค
  • แปรงทาสี
  • กระดาษตกแต่งหรือเทปกาวลาย

วิธีทำ:

  1. เตรียมกรอบ: ถ้าคุณใช้กรอบรูปเก่า ให้ทำความสะอาดและขัดสีเก่าออกให้เรียบร้อย
  2. ทาสี: ทาสีอะคริลิคที่กรอบรูปทั้งหมด รอให้แห้ง
  3. ตกแต่ง: ใช้กระดาษตกแต่งหรือเทปกาวลายมาตกแต่งกรอบตามความชอบ ให้เป็นกรอบรูป ที่มีอันเดียวในโลก ได้เลย 
  4. ใส่รูป: ใส่รูปที่ต้องการลงในกรอบ แล้วติดตั้งบนผนังหรือวางบนโต๊ะ

เคล็ดลับ: หากต้องการลุคที่เรียบหรู สามารถทาสีให้เป็นโทนเดียวกันและใช้เทปกาวสีทองหรือสีเงินในการตกแต่ง เเละน้องๆ สามารถ เลือกเเบบที่ชอบ เเบบที่ใช่ ทำได้เลย เราสามารถเอาไปเป็นของขวัญได้อีกด้วยนะ 


กระถางต้นไม้รักษ์โลก

กระถางต้นไม้ จะว่าไป ก็หาซื้อได้ง่าย เเต่ว่า การที่เรามีกระถางต้นไม้ที่เราทำเองจะดีขนาดไหน เเละ เป็นกระถางเดียวในโลก อีกด้วย รวมถึงน้องๆ จะได้ใช้ทรัพยากรได้อยากคุ้มค่า โดยการเอา ขวดน้ำมารีไซเคิลใหม่ ให้เป็นกระถางต้นไม้ ได้อีกด้วย 

วัสดุที่ต้องใช้:

  • ขวดพลาสติก (เช่น ขวดน้ำอัดลม)
  • กรรไกรหรือมีดคัตเตอร์
  • สีสเปรย์หรือสีอะคริลิค
  • ดินและต้นไม้

วิธีทำ:

  1. ตัดขวด: ใช้กรรไกรหรือมีดคัตเตอร์ตัดขวดพลาสติกออกเป็นสองส่วน (ส่วนล่างเป็นกระถาง)
  2. ทาสี: ทาสีสเปรย์หรือสีอะคริลิคที่ขวดพลาสติก รอให้แห้ง
  3. ใส่ดิน: ใส่ดินลงไปในส่วนล่างของขวด
  4. ปลูกต้นไม้: ปลูกต้นไม้ลงไปในกระถาง ในส่วนนี้ น้องๆ เลือกต้นไม้ที่ชอบได้เลย 

เคล็ดลับ: น้องๆ สามารถเลือกใช้สีหลายๆ สีในการตกแต่งหรือทำลวดลายด้วยสติ๊กเกอร์ ให้สร้างสรรค์ไม่เหมือนใครกันได้เลย DIY ชิ้นนี้ ยังเป็นของขวัญที่รักษ์โลกอีกด้วย 


แผ่นป้ายชื่อเก๋ๆ จากไม้ไอติม

น้องๆ หลายคนคงได้เห็นแผ่นป้าชื่อ จากไม้ไอติมมาบ้างเเล้วใช่มั้ยคะ วันนี้ พี่ๆ ปิดเทอมสร้างสรรค์อยากจะชวนน้องๆ มาทำ แผ่นป้ายชื่อเก่ๆ ที่ไม่ซ้ำ ใคร เเละ บ่งบอกความเป็นตัวเองสุดๆ อย่างเต็มที่ 

วัสดุที่ต้องใช้:

  • ไม้ไอติม
  • สีอะคริลิค
  • แปรงทาสี
  • พู่กันหรือไม้คิ้วสำหรับเขียนชื่อ

วิธีทำ:

  1. ทาสีพื้น: ทาสีอะคริลิคที่แผ่นไม้ให้ทั่ว รอให้แห้ง
  2. เขียนชื่อ: ใช้พู่กันหรือไม้คิ้วเขียนชื่อหรือข้อความที่คุณต้องการบนแผ่นไม้ไอติม
  3. ตกแต่ง: สามารถตกแต่งเพิ่มเติมด้วยลวดลายหรือลวดลายที่เก๋ แนวใหม่ๆ ตามความชอบได้เลยค่ะ 

เคล็ดลับ: หากต้องการให้แผ่นป้ายมีความทนทาน สามารถเคลือบด้วยน้ำยาเคลือบไม้หลังจากทาสีแห้ง ขั้นตอนเหล่านี้ ชวนผู้ปกครองมาทำเเล้วจะสนุกไปอีกแบบเลยค่ะ 


ที่เก็บของจากกระป๋องอาหาร

ที่เก็บของ เราสามารถ DIY จากสิ่งของได้หลายรูปแบบได้เลย เเต่วันนี้ พี่ๆจากปิดเทอมสร้างสรรค์ขอเสนอ ที่เก็บของจากกระป๋องอาหาร เพราะว่าเป็นวัสดุที่ทนทาน สามารถใช้ได้นานอีกหลายปีเลย 

วัสดุที่ต้องใช้:

  • กระป๋องอาหารเก่า (เช่น กระป๋องน้ำผลไม้)
  • กระดาษลวดลาย
  • กาวหรือเทปกาว
  • ตะขอแขวน (ถ้าต้องการแขวน)

วิธีทำ:

  1. ทำความสะอาดกระป๋อง: ล้างกระป๋องให้สะอาดและขัดให้ไม่มีคราบ
  2. ตกแต่ง: ใช้กระดาษลวดลายหรือเทปกาวมาตกแต่งรอบกระป๋อง
  3. ติดตั้ง: ถ้าต้องการแขวน ให้ติดตะขอแขวนที่ด้านบนของกระป๋อง หรือวางกระป๋องบนโต๊ะเพื่อเก็บของ น้องๆจะได้ที่เก็บของแบบไม่ซ้ำใคร เเต่สามารถใส่ความเป็นตัวเองให้เต็ม 

เคล็ดลับ: การใช้กระดาษลวดลายที่มีลวดลายสวยงามจะช่วยให้ที่เก็บของดูน่าสนใจและมีสไตล์มากยิ่งขึ้น 

การทำ DIY เป็นกิจกรรมที่สนุกและคุ้มค่า คุณสามารถเริ่มจากโครงการง่ายๆ อย่างที่เราแนะนำไปข้างต้น และค่อยๆ พัฒนาทักษะและความคิดสร้างสรรค์ของน้องๆ เอง นอกจากจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายแล้ว ยังทำให้นำไปสร้างรายได้ ได้อีกด้วย เเถมยังสามารถพักสมอง พักสายจากแสงสีฟ้า เเสงจาก หน้าจอโทรศัพท์ ได้อีกด้วย ยิ่งชวนกันมาทำเยอะๆ มาทำร่วมกัน จะยิ่งสนุกกันไปอีกเเบบกันเลย ข้อสำคัญ ควรศึกษาขั้นตอนการทำให้ละเอียด เพื่อความปลอดภัยของน้องๆ ค่ะ 

 D.I.Y จาก เสื้อตัวเก่า มาเป็น กระเป๋าใบโปรด 

จาก 2 บทความที่ผ่านมา ทางพี่ๆ ปิดเทอมสร้างสรรค์ได้ให้ไอเดียน้องๆไปแล้วบ้างสำหรับงาน D.I.Y ที่ให้น้องๆ ได้สร้างสรรค์ผลงานของตัวเองที่สามารถนำมาใช้เองได้ หรือ จะนำไปสร้างรายได้ก็สามารถทำได้เช่นกัน เเต่วันนี้ ทางปิดเทอมสร้างสรรค์จะขอมาสอนน้องๆในการทำกระเป๋าผ้าที่จะไม่เหมือนใคร เเละ มีใบเดียวในโลก จะมีขั้นตอนยังไงนั้นมาดูเเละมาทำไปพร้อมๆ กันเลย 

ทำได้ง่ายๆ สบายมาก ไม่กี่ขั้นตอนที่จะเปลี่ยนเสื้อยืดของน้องๆ มาเป็น ก็มีกระเป๋าผ้าของตัวเองได้ทันที

ขั้นตอนที่ 1 เตรียมอุปกรณ์​

อุปกรณ์ที่ต้องมี 

1.เสื้อยืดตัวเก่า หรือ ตัวที่ไม่ได้ใช้งานเเล้ว 

2.กรรไกร

3.ปากกา

ขั้นตอนที่ 2 ตัดคอและเเขนของเสื้อ

ในขั้นตอนนี้เราจะต้องตัดคอเสื้อเเละเเขนเสื้อ โดยเริ่มจากกลับเสื้อให้นำเสื้อด้านในออกมาด้านนอก จากนั้นให้น้องนำปากกามามาร์คจุดที่ต้องตัดโดยเขียนแบบร่างไว้จะได้ตัดตามรอยที่เราได้ร่างไว้ (น้องๆคนไหนที่ไม่เคยใช้กรรไกรให้ผู้ครองคอยช่วยเหลือในส่วนนี้)

ขั้นตอนที่ 3 ตัดชายเสื้อ

ในขั้นตอนนี้ เราจะตัดชายเสื้อด้านล่างให้เป็นริ้วๆ ขนาดเท่าๆกัน ความกว้างเส้นละ 1-1.5 cm สามารถกะขนาดริ้วให้เท่าๆกันได้ 

ขั้นตอนที่ 4 มัดริ้วผ้า

เมื่อเราตัดชายเสื้อเสร็จเเล้ว จากนั้นให้มัดริ้วผ้าโดยมัดบริเวณชายเสื้อเข้าด้วยกันด้วยปม 2 ทบและเช็คความเรียบร้อยว่าแน่นดีหรือไม่ เเละไม่ควรให้มีช่องว่างต้องเป็นปมติดๆกันเมื่อนำมาใส่ของจะได้ไม่หล่น

ขั้นตอนที่ 5 กลับด้านเสื้อให้เป็นกระเป๋าผ้า

เมื่อเราเช็คความเรียบร้อยจากขั้นตอนที่ 4 แล้ว ให้กลับด้านเสื้อ เเล้วมาจัดทรง เราจะได้กระเป๋าใบใหม่พร้อมใช้งานทันที 

เป็นยังไงกันบ้างคะ ดูจากขั้นตอนเเล้ว ไม่ยากเลยใช่มั้ยละคะ D.I.Y ชิ้นนี้ถือเป็นอีก1อย่างที่สามารถช่วยลดโลกร้อนได้เเละเป็นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า โดยการนำเสื้อตัวเก่าๆ ที่เราไม่ค่อยได้ใส่ หรือ ไม่ใช้เเล้ว นำมาเปลี่ยนเป็นกระเป๋าผ้าใส่ของที่ไม่ซ้ำใครเเละไม่เหมือนใคร รวมถึงใช้งานได้หลายโอกาสอีกด้วย หรือ สามารถนำไปสร้างรายได้ ทำเป็นของขวัญสุดพิเศษก็ได้อีกเช่นกัน 

DIY ง่ายๆ เราทำได้

สวัสดีน้องๆ ชาวปิดเทอมสร้างสรรค์ วันนี้พี่ๆ มีความรู้ด้าน DIY มาให้น้องๆ ได้ลองทำเเละเรียนรู็กันอีกแล้ว  รู้หรือไม่ว่า ตอนนี้โลกของเราร้อนขึ้นทุกวัน การที่เรานำของมารีไซเคิล มา DIY ใช้สิ่งของเหล่านั้นให้คุ้มค่า ถือเป็นการช่วยโลกได้ เเละได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์อีกด้วยนะ  

พี่ๆจากปิดเทอมสร้างสรรค์มี DIY จากขวดน้ำพลาสติกมาบอก รับรองว่าทำง่าย เเละได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มที่แน่นอน !!

1. กล่องใส่ดินสอ

เเค่ขวดน้ำพลาสสติกธรรมดา เราสามารถนำมาเป็นกล่องใส่ดินสอได้นะ ที่สำคัญกล่องดินสอที่เรา DIY นี้จะไม่เหมือนใครเเละจะมีชิ้นเดียวในโลก เอาไปอวดเพื่อนหรือชวนกันมาทำได้เลย 

ศึกษาวิธีทำเเละอุปกรณ์ได้ที่

วิธีทำกล่องดินสอ✏️

2. โคมไฟสุดเจ๋ง

ใครจะรู้ว่าแค่ขวดน้ำขวดเดียวมาจะมาเป็น โคมไฟที่สุดสร้างสรรค์ได้ อยากจะบอกน้องๆว่า อย่ามองข้ามขวดพลาสติก แท้จริงแล้วน้องๆสามารถดีไซน์โคมไฟด้วยขวดน้ำตามที่น้องๆอยากทำๆได้เลย และเก๋ไม่เหมือนใครอีกด้วย ใครที่อยากดีไซน์ให้เป็นแบบมินิมอลก็ทำได้ หรือ ใครที่อยากให้มีสีสัน หลายสวยๆก็ทำได้ หากทำได้ดี ทำขายมาสร้างรายได้ ได้อีกด้วยนะ มาลองทำกันเลย 

ศึกษาวิธีทำและอุปกรณ์ได้ที่

วิธีทำโคมไฟจากขวดน้ำ💡

3. กล่องของขวัญ

จากของรีไซเคิลมาเป็นกล่องของขวัญได้นะ เเน่นอนว่าชีวิตเราไม่โอกาสดีๆเข้ามาเสมอโอกาสหรือวันสำคัญต่างๆ การห่อของขวัญจากของรีไซเคิลก็ไม่ได้เเย่นะ ถามมีอันเดียวในโลกอีกด้วย อยากแนะนำใ้ห้น้องๆลองห่อที่นำมาจากขวดพลาสติกดู จะได้ไม่ซ้ำเหมือนใครเเถมยังใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์อีกด้วย จะชวนเพื่อนหรือพ่อแม่มาทำด้วย ก็ยิ่งสนุกไปอีก 

ศึกษาวิธีทำและอุปกรณ์ได้ที่

4. กล่องใส่ทิชชู 

ทิชชูที่ยังไม่ใช้ ถ้าไม่ใส่กล่องโดนฝุ่นเกาะ หรือที่มีห่อหุ่มอยู่แล้วบางทีมองเเล้วไม่เข้ากับบ้านหรือการจัดห้องหรือธีมที่เราคิดอีก งั้นเรามาทำกล่องใส่ทิชชูที่ที่รกษ์โลกเเละมีอันเดียวในโลกดีกว่าจะได้ไม่ซ้ำใครเเละถูกใจเราอีกด้วย ลองชวยเพื่อนมาทำด้วยสิ ความสนุกเพิ่มขึ้นแน่นนอน 

ศึกษาวิธีทำและอุปกรณ์ได้ที่

5. ถังขยะสุดเก๋

แน่นอนว่าเเค่ถังขยะหาซื้อได้ง่ายๆ อยู่แล้ว แต่จะเสียเงินซื้อไปทำไ ในเมื่อเราเอาขยะมาทำถังขยะได้ ปิดเทอมสร้างสรรค์ขอเสนอถังขยะจากขวดน้ำหรือฝาขวดน้ำ ที่ทำได้ง่ายๆ อยากได้เล็กใหญ่ดีไซน์ได้เลย ทำเสร็จปุ๊บได้ใช้ทันที

ศึกษาวิธีทำและอุปกรณ์ได้ที่

‘ใช้ทุน ด้วยการพัฒนาประเทศ’ เป้าหมายนักเรียนทุน ‘เก้า บินยา’ พร้อมแนะวิธีการขอทุนฉบับง่าย

การได้รับทุนการศึกษานอกจากจะเป็นประโยชน์สำหรับนักศึกษาที่ได้รับทุนแล้ว ยังถือเป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่ด้วย เพราะเป็นเครื่องการันตีความโดดเด่นทางด้านวิชาการ หรือนักกิจกรรมที่ทำประโยชน์ต่อส่วนรวม

บินยา กนิษฐ์โรจน์ (เก้า)

บินยา กนิษฐ์โรจน์ (เก้า) ก็เป็นอีกคนที่ได้รับทุนการศึกษาตั้งแต่ระดับปริญญาตรี ที่คณะอักษรศาสตร์ เอกภาษาไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกำลังศึกษา ปริญญาโท สาขารัฐประศาสนศาสตร์ (Master of Public Administration) London School of Economics and Political Science ด้วยทุนรัฐบาลเพื่อดึงดูดผู้มีศักยภาพสูง ที่กําลังศึกษาอยู่ในสถาบันการศึกษาในประเทศ Undergraduate Intelligence Scholarship Program (UIS) อีกด้วย

บินยาเล่าว่า ตนเองมักจะมองหาทุนการศึกษาเสมอ โดยเริ่มมองจากทุนที่สนใจและมีคุณสมบัติตรงกับนโยบายของทุนนั้นๆ แล้วศึกษารายละเอียดต่าง ๆ อาทิ คุณสมบัติของผู้สมัคร ระยะเวลาการสมัคร ระเบียบการใช้ทุน จากเว็บไซต์ขององค์กรต่างๆ ที่เปิดให้ทุนอยู่ หรืออาจจะเป็นทางอื่นก็ได้

“ตอนอยู่ ม. 6 ก็หาดูว่ามีคณะอะไรบ้างที่เราสนใจ และคณะนั้นๆ มีทุนไหม  แต่ทุน UIS เก้าบังเอิญรู้จักเพราะรุ่นพี่สอบได้ ซึ่งจะให้คนที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นก่อนชั้นปีสุดท้ายของคณะ เก้าดูว่าเราสนใจทุนไหม คุณสมบัติเราได้ไหม แล้วลองไปสอบดูค่ะ”

“ทุนที่เก้าได้คือทุนตำแหน่งนักวิเคราะห์นโยบายและแผนปฏิบัติการซึ่งตอนนั้นมีเปิดสอบทั้งของกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เราเลือกได้ 2 หน่วยทุน เก้าจึงเลือกไปทั้งคู่ แล้วก็ไปสอบข้อเขียน ทุนนี้จะมีสอบ 3 รอบ รอบแรกข้อเขียน ‘การทดสอบภาษาอังกฤษและความสามารถทั่วไปทางวิชาการ’ เนื้อหาของความสามารถทั่วไปทางวิชาการก็ภาษาไทย เช่นการจับใจความ ตีความ สรุปความ และการวิเคราะห์แก้ปัญหาข้อมูล แนวโน้มเชิงปริมาณ ตรงนี้ถ้าอยากเห็นแนวข้อสอบอาจจะลองหาแนวข้อสอบเก่ามาดูก็ได้ แล้วลองประเมินดูว่าเราทำได้ไหม ถ้ายังทำไม่ได้การอ่านหนังสือเพิ่มก็อาจจะเป็นสิ่งสำคัญ

 พอเราสอบข้อเขียนผ่าน เก้าเลือกที่กระทรวงพม.ค่ะ พอเราได้ไปฝึกงาน ก็จะได้เห็นจริงๆ ว่า เขาทำอะไรกัน มันใช่อย่างที่เราชอบไหม ระหว่างนั้นเขาก็จะประเมินเราด้วยว่า เรามีทักษะแค่ไหน พูดคุยรู้เรื่อง เข้าใจคำสั่ง ทำงานร่วมกับคนอื่นเป็นอย่างไร ตรงจุดนี้ต้องเตรียมตัวเยอะหน่อย เพราะเราจากที่ไม่เคยรู้เลยว่างานราชการเป็นแบบไหน ตำแหน่งที่ทำมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง ก็ต้องศึกษาเพิ่มเติมก่อนที่เราจะไปฝึกงานเพื่อสร้างความประทับใจให้กับหน่วยงาน และเราสามารถตั้งคำถามที่น่าสนใจเกี่ยวกับการฝึกงานและนโยบายต่างๆ ของกระทรวงที่จะพัฒนาต่อไปได้ จะทำให้เราคุยกับคนที่เขาดูแลเราได้ซึ่งเวลาเขาประเมินแล้วก็จะรู้สึกว่า เด็กคนนี้ก็พอรู้มาบ้าง และสนใจอยากทำอะไรต่อยอด คิดว่านั่นก็น่าจะเป็นส่วนสำคัญเหมือนกันที่ได้รับเลือกค่ะ จากนั้นก็สอบสัมภาษณ์ค่ะ”

“วันสัมภาษณ์จะมีหลายคนร่วมกันสัมภาษณ์เรา ไม่ว่าจะเป็นตัวแทนกระทรวง สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (กพ.) โดยคำถามส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการทำงาน เช่น คิดอย่างไรกับการทำงานราชการ คิดว่าจะทำงานที่นี่ได้ไหม และอีกหลายคำถาม เราก็ตอบไปอย่างมั่นใจเลย แต่ถ้าคำถามไหนที่เราตอบไม่ได้ก็ลองพยายามตอบในสิ่งที่เรารู้ และอาจจะถามเขาไปเลยว่า ใช่ที่ถามไหม หรือว่าอยากถามจะตรงไหนเพิ่มเติมไหมคะ ตรงนี้ก็คิดว่าเขาก็วัดทั้งความรู้และความมั่นใจในการตอบคำถามด้วยค่ะ”

ความประทับใจในการฝึกงานทำให้บินยาผ่านการสอบสัมภาษณ์และได้รับทุนในที่สุดซึ่งก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอมองเห็นภาพอนาคตของตัวเองในอาชีพสายนี้

“ตำแหน่งนี้เป็นโอกาสที่น่าสนใจที่ตัวเองจะได้เอาความรู้ความสามารถมาทำงานให้ประเทศ เราทำการปรับเปลี่ยนแก้ไขปัญหาและพัฒนาเชิงโครงสร้าง เก้าว่ามันก็ต้องเริ่มจากในระบบราชการนี่แหละที่เป็นโอกาสให้เราทำได้ ทุกวันนี้เขาก็เปิดรับฟังความคิดเห็นของคนในองค์กรค่อนข้างเยอะ ให้ได้มีส่วนร่วมอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นก็รู้สึกว่ามันก็เป็นไปได้แล้วก็ไม่ได้ยากมากนัก”

อย่างไรก็ตาม ทุน UIS เป็นทุนที่ให้นักศึกษาก่อนเรียนจบปริญญาตรี 1 ปี โดยเริ่มแรกจะเป็นทุนสนับสนุนการเรียนชั้นปีสุดท้ายในช่วงเรียนปริญญาตรี และต้องใช้ทุนในส่วนนี้ก่อนเป็นเวลา 2 ปี (2 เท่าของระยะเวลาเรียน) ก่อนที่จะรับทุนเรียนต่อปริญญาโท

“เก้าว่าก็เป็นโอกาสในการให้เราได้เรียนรู้การทำงานจริงด้วยค่ะ ถ้าเราชอบและอยากทำงานต่อก็ค่อยไปรับทุนเรียนปริญญาโท แต่ถ้าไม่ชอบก็ยังมีเวลาเรียนรู้ คิด และตัดสินใจได้ค่ะ”

“ตอนนี้เก้ากำลังเรียนปริญญาโทปี 1 ค่ะ เหลือเวลาอีก 1 ปีและเมื่อจบก็ต้องกลับไปใช้ทุน 4 ปี เพราะส่วนตัวเก้าชอบงานที่ทำค่ะ เก้าอยู่ตำแหน่งผู้ประสานงาน กองตรวจราชการ ก็จะลงพื้นที่ไปกับโครงการต่างๆ ของกระทรวงเพื่อพูดคุยกับหน่วยงานในพื้นที่ ดูว่าทำเป็นไปตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ไหม หรือมีข้อเสนอแนะอะไรไหม นโยบายที่ให้ไปทำมีอะไรอยากแก้ไหม มีปัญหาข้อติดขัดตรงไหน ก็เป็นการเปิดมุมมองของเราด้วย ได้เรียนรู้และได้ใช้ทักษะที่ไม่ได้คิดว่าจะได้ใช้ ได้คุยกับคนแทบทุกจังหวัด”

และความชอบในงานนี้เองทำให้บินยาไม่ได้มีปัญหากับคำว่า ‘ใช้ทุน’

“งานที่เราทำมันเป็นงานที่เราชอบ อยากทำอยู่แล้ว ต่อให้ไม่ได้มีเงื่อนไข ก็ตั้งใจจะกลับไปทำงานนี้ค่ะ เลยไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นการใช้ทุนอะไร อย่างก่อนที่จะมาเรียนต่อ เก้าอยู่ในโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน ซึ่งเป็นโครงการใหม่ของกระทรวงที่จะลองใช้วิธีการพัฒนาคุณภาพชีวิตแบบทั้งครัวเรือน ไม่ใช่เจาะจงไปแค่คนใดคนหนึ่ง เพราะจริงๆ ปัญหามันก็ผูกกันไปหมด คิดว่าถ้าเราสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ในสเกลใหญ่ระดับประเทศก็จะเป็นโครงการที่ดีโครงการหนึ่งเลยค่ะ”

สำหรับเคล็ดลับสำคัญในการเป็นหนึ่งในนักเรียนนักศึกษาที่ได้รับทุน บินยาบอกว่า ขอให้เชื่อมั่นในตัวเองและลองลงมือสอบดูก่อน

“เก้ารู้ข่าวทุนนี้มาจากรุ่นพี่ เพราะฉะนั้นคิดว่ามันสำคัญที่เราจะต้องติดตามข่าวสารทุกช่องทาง และรักษาความสัมพันธ์กับรุ่นพี่รุ่นน้อง เพื่อน และคณาจารย์ให้ดี เพราะเราก็ไม่รู้ว่าข่าวมันจะมาจากทางไหน เมื่อมีโอกาสก็อยากให้ลองสมัครไปก่อน บอกตรงๆ ว่าตอนเก้าสมัครก็ไม่ได้มั่นใจว่าจะสอบได้ แต่ไม่ลองก็ไม่รู้ ถ้าสอบคราวนี้พลาดไปก็ยังมีอีกหลายทุนรอเราอยู่ ต่อให้เรียนจบไปแล้วก็ยังมีทุนสำหรับบุคคลทั่วไปด้วย ไม่อยากให้ทิ้งโอกาสค่ะ แต่เมื่อได้โอกาสมาแล้วก็อยากให้ทำให้เต็มที่”

เมื่อเป็นเช่นนี้ บทบาทของนักเรียนทุนจึงไม่ใช่เพียงมีความสามารถในการเรียนเท่านั้น หากแต่ยังต้องกระตือรือร้นในการเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงและพัฒนาในส่วนที่ตนเองสามารถทำได้อีกด้วย

ฝันให้ใหญ่ ตั้งเป้าให้สูง และกางตาข่ายกว้างๆ ในการค้นหาทุนการศึกษา ใครจะรู้ โอกาสในฝันของคุณอาจรออยู่แค่เอื้อม!

วัยรุ่นอย่างเราต้องดูแลตัวเองอย่างไร ?

เมื่อเราโตขึ้น เริ่มเข้าสู่วัยรุ่นแล้วมันถึงเวลาที่ต้องหันมาดูแลตัวเอง ใส่ใจตัวเองให้มากขึ้นตามวัย วันนี้ ปิดเทอมสร้างสรรค์ มี 6 STEP ง่ายๆที่วัยรุ่นอย่างเราสามารถทำได้ จะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย

STEP 1  : ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่

การทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ วิธีนี้ถือเป็นวิธีสำคัญและเป็นพื้นฐานหลักของการดูแลตนเอง เพราะทุกอย่างเริ่มต้นที่อาหารที่เราทานเข้าไป เมื่อทานอาหารให้ครบ 5 หมู่แล้ว ควรเลี่ยงอาหารที่มีไขมันมาก ไม่ว่าจะเป็น ฟาสต์ฟู้ด (Fast food) หรือ  จั๊งค์ฟู้ด (Junk Food) เช่น หมูทอด ไก่ทอด เมื่อน้องๆ ทานเยอะไม่จะไม่ดีต่อสุขภาพ รวมถึงอาหารเหล่านี้จะส่งผลให้มีสิวขึ้นตามมาได้ และสิ่งที่สำคัญไปมากกว่าการทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ คือ น้องๆ ไม่ควรอดขึ้นอาหาร แต่ควรเลือกทานอารหารที่มีแคลลอรี่ต่ำแทน เมื่อน้องๆ ได้ลองทำตามแล้ว เชื่อได้เลยว่า น้องๆ จะเริ่มมีสุขภาพที่ดีขึ้นแน่นอน สังเกตตัวเองได้เลย 

STEP 2 : ออกกำลังกาย

เมื่อผ่าน STEP 1 มาแล้ววัยรุ่นอย่างเราต้องออกกำกายเพื่อสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง ให้ตัวเองได้เคลื่อนไว นอกจาก จะดีต่ออวัยวะในร่างกายแล้ว การออกกำลังจะช่วยน้องๆ ให้คลายเครียดจากการเรียนได้อีกด้วย เนื่องจากการออกกำลังกายจะหลั่ง สารเอ็นดอร์ฟินส์ (Endorphins) หรือสารแห่งความสุขจะลดความเครียดจากการเรียนได้ แถมยังได้ ได้ร่างกายที่แข็งแรงเพิ่มมาอีกด้วย 

STEP 3 : พักผ่อนให้เพียงพอ

วัยรุ่นอย่างเรากิจกรรมมากมาย ไหนจะการเรียน เรียนในห้องเรียนไม่พอต้องไปเรียนพิเศษอีก หรือ น้องๆบางคนต้องทำกิจกรรมของโรงเรียนอาจจะทำให้การพักผ่อนของน้องๆ อาจจะไม่เพียงพอต่อการร่างกายได้ ซึ่งใน STEP 3  นี้ น้องๆต้องจัดสรรเวลาให้ดี เพื่อให้ร่างกายของน้องๆ ได้นอนพักผ่อนอย่างเต็มที่ ควรนอนให้ครบ 8 ชั่วโมง จะดีต่อสุขภาพ ร่างกายจะสดชื่นพร้อมรับสิ่งใหม่ๆ แต่ถ้าหากพักผ่อนไม่เพียงพอจะทำให้ไม่สบายได้ 

STEP 4 : ดูแลผิวหน้าและผิวกาย

couple self care routine cartoon

เรื่องผิวพรรณ วัยรุ่นอย่างเราจะขาดข้อนี้ไปไม่ได้เลย เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น สิวก็เริ่มมา เมื่อสิวขึ้นแล้วควรหาสกินแคร์เพื่อดูแลผิวให้เข้ากับตนเอง รวมถึงหากมีสิวขึ้นบนใบหน้าไม่ควรแกะหรือบีบ ควรล้างหน้าให้สะอาด ใช้สกินแคร์เพื่อบำรุงผิวและหาแพทย์เฉพาะทางโดยเฉพาะ และเลี่ยงของมันของทอด จะลดสิวบนใบหน้าได้ ส่วนผิวกายอาบน้ำรักษาความสะอาดร่างกายและใช้ครีมบำรุงผิวให้เข้ากับตนเอง 

STEP 5  : ทำร่างกายให้สะอาดอยู่เสมอ

เรื่องนี้สำคัญมาก เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นฮอร์โมนเริ่มเปลี่ยน ร่างกายของเราอาจจะมีกลิ่นตัวออกมาแต่คนละจะแตกต่างกันไป ควรหมั่นดูแลรักษาความสะอาดให้ดี อาบน้ำเพื่อลดแบคทีเรียในร่างกาย และใช้โรออนเพื่อระงับกลิ่นกายของตนเองและมีร่างกายที่สะอาดและสดชื่นอยู่เสมอ 

STEP 6 : ดูแลอวัยวะเพศของตนเองให้สะอาด

เรื่องนี้สำคัญมากให้เช่นกัน เรื่องแบบนี้ไม่ควรไม่ปล่อยผ่านเลย หากไม่ดูแลให้ดีอาจจะส่งผลเสียต่อร่างกายและนำมาสู่โรคได้ 

เพศชาย : เช็คทำความสะอาดอวัยวะเพศให้แห้งและสะอาดอยู่เสมอหลังเข้าห้องน้ำเสร็จ เพื่อไม่ให้อับชื้น และ สร้างแบคทีเรียได้ และหากเป็นสังคัง ไม่ควรแกะหรือเกา ให้ใช้ยาฆ่าเชื้อราหรือครีมรักษาอาการคันในร่มผ้า หากภายใน 3-4 วัน อาการยังไม่ดีขึ้นควรไปปรึกษาแพทย์  และ ควรเช็คดูความผิดปกติของอวัยวะเพศอยู่เสมอ เช่น เจ็บลูกอัณฑะ ลูกอัณฑะปวดบวม ปัสสาวะแสบขัด หากมีอาการเหล่านี้ควรไป พบแพทย์

เพศหญิง : เช็คทำความสะอาดอวัยวะเพศให้แห้งและสะอาดอยู่เสมอหลังเข้าห้องน้ำเสร็จ เพื่อไม่ให้อับชื้น และ สร้างแบคทีเรียได้ หากมีประจำเดือนควรเปลี่ยนผ้าอนามัยทุก 4 ชั่วโมง เพื่อลดความอับชื้นและการระคายเคืองของอวัยเพศ  และ ควรเช็คดูความผิดปกติของอวัยวะเพศอยู่เสมอ เช่น อาการคัน ตกขาวมาก มีปัสสาวะแสบขัด มีเลือดออกทางช่องคลอด หากมีอาการเหล่านี้ควรไป พบแพทย์ 

เป็นอย่างไรกันบ้าง ทางพี่ๆปิดเทอมสร้างสรรค์อยากให้น้องๆ ได้เริ่มดูแลตัวเอง ดูแลร่างกายให้สะอาดและแข็งแรงอยู่เสมอเพื่อสุขภาพที่ดีและป้องกันโรคภัยต่างๆได้ 

8 Skill ที่เด็กอย่างเราควรมี !!

สวัสดีน้อง ๆ ชาวปิดเทอมสร้างสรรค์ทุกคนนะคะ ช่วงปิดเทอมกำลังจะหมดไปแต่วันนี้ ทางปิดเทอมสร้างสรรค์ขอเแนะนำ 8 Skill เพื่อมาพัฒนาเด็กอย่างเราให้มีคุณภาพที่ดี และทันต่อเหตุการณ์ในปัจจุบันที่จะดีทั้งในด้านการเรียนเและทักษะในชีวิต จะมี Skill แบบใด ทักษะแบบใดมากไปดูกันเลย 

Focus mastery ทักษะการมุ่งจุดสนใจ 

มาดูกันที่ทักษะการมุ่งจุดสนใจ ทำไมเราต้องมีทักษะด้านนี้ ถือว่าทักษะด้านจำเป็นทั้งด้านการเรียน
การทำงาน รวมถึงการใช้ชีวิต ถัาเาตั้งเป้าหมายและบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ การที่มีทักษะนี้จะมีช่วยให้น้องๆมีสมาธิที่ดี และจะทำให้ประสบความสำเร็จในทุกๆด้านที่ตั้งใจไว้แน่นอน 

Storytelling ทักษะการเล่าเรื่อง

ปัจจุบันนี้จะขาดทักษะการเล่าเรื่องไม่ได้เลย และทักษะนี้จำเป็นอย่างมาก เพราะปัจจุบันนี้มีการเข้าถึงโลกออนไลน์ทำให้การเล่าเรื่องผ่านคลิปวิดีโอหรือการเล่าเรื่องผ่านการเขียน ถ้าหากมีทักษะดี เล่าเรื่องเก่งจะมีผู้ติดตามจำนวนมากและจะสร้างรายได้ให้น้องๆรวมถึงถ้ามีวิชาเรียนที่เรียนแล้วต้องใช้ทักษะด้านนี้ ถ้าน้องๆมีบอกได้เลย เกรดสวยแน่นอน 

Emotional intelligence ทักษะด้านการควบคุมอารมณ์

การควบคุมอารมณ์ตนเองถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมากๆ อีกหนึ่งทักษะเลยก็ว่าได้ ปัจจุบันอาจจะมีหลายๆสิ่ง ที่จะทำให้อารมณ์ของเราอาจจะมีอารมณ์ร้อนบ้างทำให้โกรธบ้าง แต่ถ้าเรามีสติ ใช้ตวมคิดไตร่ตรองทุกการกระทำ ของเราจะช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้น ลดการไม่เข้าใจกัน และเมื่อเราควบคุมอารมณ์ของเราได้ เราจะแยกเรื่องเรียนและเรื่องส่วนตัวได้ หรือ ไม่ว่าจะเจอกับสถานการณ์แบบใดน้องไจะผ่านมันไปได้

Growth mindset ทักษะการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง

Growth mindset คือวิธีคิดที่เชื่อว่าทักษะและความรู้ความสามารถของเราสามารถพัฒนาได้ผ่านการเรียนรู้และการพยายามฝึกฝน ไม่มีอะไรที่อยู่เหนือความพยายามและความตั้งใจ คนที่มี growth mindset จะเชื่อมั่นในคุณค่าและศักยภาพของตัวเอง คนที่มี growth mindset จะเชื่อว่าหากพวกเขาได้ทุ่มเทเวลาและความพยายาม ในการฝึกฝนและแก้ไขจุดอ่อนแล้วล่ะก็ พวกเขาก็จะค่อยๆ เข้าใกล้ความสำเร็จและประสบความสำเร็จอย่างที่ตั้งใจไว้ในที่สุด  

Innovation ทักษะในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่

เด็กอย่างเรามีความคิดความสร้างสรรค์อยู่ในตัว เพียงแค่กล้าคิด กล้าที่จะทำเราจะมีสิ่งใหม่ ๆ ผลงานใหม่ ๆ สุดสร้างสรรค์ออกมาแน่นอน นอกจะจากจะดีกับตนเองแล้ว ยังจะมีประโยชน์ที่ดีกับคนอื่น รวมถึงการมีทักษะนี้จะมำให้น้องสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีอีกด้วย 

Leadership ทักษะแห่งความเป็นผู้นำ

ทักษะแห่งความเป็นผู้นำนี้มีความจำเป็นอย่างมากต่อโลกปัจจุบัน ตอนนี้น้องอาจจะกลัวต่อการเป็นผู้นำ มันจำเป็นจริงๆ หรอ ในชีวิต? แต่ทักษะการเป็นผู้นำเราไม่ต้องจำเป็นที่จะต้องนำคนอื่นๆ เสมอไป เแต่ทักษะนี้เราเพียงเริ่มต้นจากการนำตัวเอง นำตัวเองไปหาสิ่งดี พัฒนาตัวเองในด้านที่ตนเองชอบ เมื่อทำได้แล้ว การที่เริ่มจากตนเองได้แล้ว การนำทีมที่ดีจะตามมาเอง

Culture awareness ทักษะด้านการปรับตัวให้เข้ากับสังคม 

การเข้าใจในความแตกต่างของวัฒนธรรม และการเรียนรู้การอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม เมื่อเราโตขึ้นการเข้าสังคมจึงเริ่มต้นขึ้น เช่น การไปโรงเรียน การเข้ามหาวิทยาลัย เราจะเจอเพื่อนที่หลากหลาย เราเจอเพื่อนที่มาจากร้อยพ่อพันแม่ ถูกเลี้ยงมาไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นการเจอปรับตัวเข้ากันจะช่วยให้น้องๆ เจอสังคมใหม่ๆที่หลากหลายขึ้น 

Communication ทักษะด้านการสื่อสาร

ทักษะนี้เป็นการสื่อสารที่ใช้ทั้งการพูด เขียน และสื่อภาษากายได้อย่างถูกต้องเหมาะสมไปยังผู้อื่นได้อย่างถูกต้องและชัดเจน การสื่อสารถือเป็นทักษะที่จำเป็นมากๆ การสื่อสารถ้าสื่อสารไม่เป็น สื่อสารไม่ดี จะทำให้ไม่เข้าใจ อย่างเช่น ในวิชาเรียที่น้อง ต้องทำนำเสนองานให้กับคุณครู ข้อมูลน้องดีมาก แต่น้องสื่อสารไม่เก่ง อาจจะทำให้คะแนนลดลงได้ การฝึกทักษะนี้ให้ดี ถือว่าจะเป็นอีกหนึ่ทักษะจะทำให้น้องประสบความสำเร็จได้ดี 

ทัศนศึกษาชมสัตว์ Tiger Park Pattaya

ทัศนศึกษาชมสัตว์ Pattaya Dolphinarium

ทัศนศึกษาชมสัตว์ Underwater World Pattaya

ทัศนศึกษาชมสัตว์ อุทยานหินล้านปีและฟาร์มจระเข้พัทยา

เว็บไซต์นี้มีการใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายคุกกี้และ นโยบายในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า