เติม “ทักษะภาษาอังกฤษเยาวชนมหาลัยฯ” เตรียมพร้อมสู่โลกของการทำงาน ชี้ทักษะภาษาติด 1 ใน 3 ที่ตลาดแรงงานต้องการ
เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับบริษัทจัดหางาน จ๊อบส์ดีบี (ประเทศไทย) จำกัด จัดกิจกรรมปิดเทอมสร้างสรรค์ ตอน เตรียมตัวสู่โลกของงาน เรียนรู้ภาษาอังกฤษอย่างไรให้ใช้การได้ หนึ่งในกิจกรรมสร้างสรรค์ในช่วงปิดเทอมอุดมศึกษา โดยมีการถ่ายทอดเทคนิคการเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยตนเอง และกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการเทคนิคการเขียน resume ภาษาอังกฤษเพื่อให้ได้งาน เพื่อพัฒนาทักษะทางภาษาอังกฤษในช่วงปิดเทอม
ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ สสส. กล่าวว่า กิจกรรมปิดเทอมสร้างสรรค์ เกิดจากความร่วมมือของสสส. องค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรภาคประชาสังคม เพื่อต้องการให้เด็กและเยาวชนใช้เวลาในช่วงปิดเทอมให้เกิดประโยชน์ ผ่านกิจกรรมและพื้นที่สร้างสรรค์เพื่อลดสถานการณ์เสี่ยงที่เกิดขึ้น เพราะพบว่ากิจกรรมส่วนใหญ่ถึง 71% เลือกที่จะทำในช่วงปิดเทอมคือเล่นมือถือ อินเตอร์เน็ต อย่างไรก็ตามหากมีกิจกรรมและพื้นที่สร้างสรรค์เป็นทางเลือกก็สามารถดึงเด็กและเยาวชนออกจากหน้าจอได้ ซึ่งจากสำรวจข้อมูลพบว่าการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ เป็นกิจกรรมที่เยาวชนในกลุ่มอุดมศึกษาส่วนใหญ่ให้ความสนใจ เพราะเป็นพื้นฐานสำคัญในการก้าวไปสู่โลกของการทำงานในอนาคต จึงเป็นที่มาของกิจกรรมปิดเทอมสร้างสรรค์ ตอน เตรียมตัวสู่โลกของงาน เรียนรู้ภาษาอังกฤษอย่างไรให้ใช้การได้ เพื่อติดอาวุธด้านทักษะภาษา เปิดประตูสู่โลกกว้างของการเรียนรู้และการทำงานให้กับเยาวชนไทย
“จากข้อมูลผลการทดสอบทักษะภาษาอังกฤษของสถาบันสอนภาษา Education First ได้รายงานดัชนีวัดระดับความรู้ทางภาษาอังกฤษประจำปี 2560 พบว่าประเทศไทยแม้จะอยู่ในอันดับที่ 53 ซึ่งดีขึ้นกว่าปี 2559 ที่อยู่ในอันดับที่ 56 แต่ก็เป็นลำดับเกือบรั้งท้ายหากเทียบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากกัมพูชาและลาว ซึ่งในโลกของการทำงานไร้พรมแดนทักษะทางภาษาอังกฤษมีความจำเป็นอย่างมากที่จะเชื่อมทุกคนทั้งโลกเข้าด้วยกัน”
ครูคริสโตเฟอร์ ไรท์ อาจารย์สอนภาษาอังกฤษชื่อดัง กล่าวว่า คนไทยเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่ชั้นอนุบาลแต่ไม่สามารถใช้งานได้ เพราะเราเรียนรู้ในสิ่งที่ยากเกินไป เนื่องจากสังคมไทยไม่ได้ถูกสอนให้เป็น Social English เราข้ามไปเรียนรู้ทฤษฎีไวยากรณ์เรียนการสร้างประโยคเพื่อสอบไปเริ่มเรียนภาษาอังกฤษที่ยากและเยอะเกินไป การเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อให้ใช้งานได้จริงนั้นมีทฤษฎีง่ายๆ คือ 2M&M ที่หมายถึง Man และ Media M ตัวแรกคือคน คนที่เก่งภาษาอังกฤษจะถูกเลี้ยงดูหรือเจอครูหรือพบเจอสถานการณ์ที่ทำให้เข้ารู้สึกชอบและมีแรงบันดาลใจในการที่จะพูดภาษาอังกฤษ M ตัวที่สองคือ Media หรือสื่อต่างๆ ดูหนังฟังเพลงอ่านหนังสือที่ชอบ แต่ไม่ใช่ดูแบบผ่านๆ ต้องตั้งใจดูและอ่านเนื้อร้องไปด้วย และยังมี M&M คือ Mouth และ Mind ต้องขยันฝึกการพูดและเปิดใจที่จะเรียนรู้ภาษาอังกฤษ นอกจากนี้
“หลักในการฝึกภาษาอังกฤษง่ายๆ ด้วยตนเองข้อสุดท้ายคือ 4S คือ SEE ดูภาษาอังกฤษ หัดอ่าน หัดดูให้ภาษาอังกฤษกระแทกตามากขึ้นผ่านสื่อต่างๆ SOUND หาอะไรที่เป็นภาษาอังกฤษมาฟังถ้าเป็นภาษาอังกฤษที่ฟังไปด้วยแล้วอ่านไปด้วยได้ก็ยิ่งดี SAY พูด ดู อ่าน ฟัง แล้วก็ต้องพูดตาม เพราะสิ่งที่ดีที่สุดก็คือการการลงมือทำ ฉะนั้นเราจึงต้องหมั่นฝึกพูด SENSE คือสมองและจิตใต้สำนึกหรือ MIND ของเรานั่นเอง ถ้าทำทั้งหมดบ่อยๆ ก็จะจำได้เอง ถ้าคนไทยทำแบบนี้เยอะๆ ก็จะทำให้คนไทยพูดภาษาอังกฤษได้เยอะขึ้น แต่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าเรามัวแต่ไปให้เด็กไทยและคนไทยไปเรียนอะไรที่ยากๆ ไม่สนุก และน่าเบื่อ ต้องทำยังไงก็ได้ให้ภาษาอังกฤษเป็นเรื่องง่าย สนุก และใช้ได้จริง” คริสโตเฟอร์ ไรท์กล่าว
ด.ช.ธนโชติ เปี่ยมลาภธนบูรณ์ หรือ “น้องแชมป์” นักเรียนชั้น ม.2 ร.ร.อัสสัมชัญธนบุรี ที่เรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยตนเองจนผ่านการทดสอบวัดระดับมาตรฐานภาษาอังกฤษของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ในระดับคะแนนสูงสุด กล่าวถึงเทคนิคการเรียนรู้ภาษาอังกฤษว่า เริ่มจากการดู YouTube ดูหนัง ซีรีย์ หรือสารคดีต่างๆ ที่สนใจเป็นภาษาอังกฤษ ทำให้ได้เรียนรู้คำศัพท์ ได้ฟังเสียงและสำเนียงไปพร้อมกัน ส่วนทักษะการพูดนั้นได้มาจากการได้พูดคุยกับชาวต่างชาติซึ่งเป็นครูที่โรงเรียน เราต้องไม่กลัว ถ้ากลัวก็จะไม่กล้าแสดงออกหรือฝึกทักษะการพูดภาษาอังกฤษได้ ส่วนการที่สอบเทียบคะแนนของเคมบริดจ์ได้ระดับสูงสุด เกิดจากการอ่านหนังสือนวนิยายหรือวรรณกรรมต่างๆ เป็นภาษาอังกฤษ เพราะหนังสือนวนิยายหรือวรรณกรรมเหล่านี้ จะถูกตามหลักไวยากรณ์และแกรมม่า ทุกวันนี้เราสามารถเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยตนเอง โดยใช้ Social Media และสื่อต่างๆ เป็นแหล่งเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ผ่านเรื่องราวที่เราสนใจเพื่อนำมาพัฒนาทักษะฟังพูดอ่านเขียนให้ดีขึ้น
สำหรับสถานการณ์โลกของงานกับทักษะทางภาษา คุณอันธิกา ลิมปิอนันต์ชัย ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัทจัดหางาน จ๊อบส์ดีบี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ผู้ที่มีทักษะภาษาอังกฤษเป็นที่ต้องการค่อนข้างสูงในตลาดแรงงาน จากการสำรวจผู้ประกอบการ 400 กว่าบริษัท พบว่าทักษะที่นายจ้างต้องการจากนักศึกษาที่จบใหม่ประกอบด้วย 1.ทักษะด้านการสื่อสารฟังพูดอ่านเขียน 2.ทักษะภาษาอังกฤษ และ 3.ทักษะในการทำงานที่ตรงกับสาขาวิชาชีพ โดยพบว่าทักษะด้านภาษาเป็นสิ่งที่นายจ้างต้องการมากที่สุดติด Top 3 หรือคิดเป็นร้อยละ 62 โดยต้องการผู้มีทักษะด้านภาษาเทียบเท่ากับผู้ที่มีประสบการณ์ในการทำงานมาแล้ว
“ข้อมูลจากการสำรวจภาพรวมตลาดงาน ที่ผ่านมา เห็นว่าสิ่งที่เข้ามาและมีบทบาทมากคือบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนหรือเปิดสาขาหรือบริษัทในประเทศไทย ดังนั้นภาษาจึงมีความจำเป็นมากขึ้น ซึ่งในกลุ่มประเทศอาเซียนที่มีทักษะภาษาที่ดีจะได้รับการยอมรับมากกว่า ได้ทำงานในระดับพิเศษกว่า และทำงานที่เป็น regional มากกว่าคนไทยอย่างเห็นได้ชัด และที่สำคัญที่สุด คนที่มีทักษะทางด้านภาษาจะมีเงินเดือนที่สูงว่าถึงร้อยละ 30 เมื่อเทียบจากในตำแหน่งงานเดียวกัน ซึ่งนอกจากเรื่องของทักษะภาษาแล้วความต้องการในเรื่องทักษะในสายงานปัจจุบันก็มีความเข้มข้นมากขึ้นอีกด้วย” คุณอันธิกา กล่าว