วันคุ้มครองโลก (Earth Day) โลกใบนี้เป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับเราทุกคน

วันที่ 22 เมษายนของทุกปี เป็นวันคุ้มครองโลก (Earth Day) ซึ่งมีต้นกำเนิดจากประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ. 2513 จากการรวมพลังครั้งใหญ่ของกลุ่มนักอนุรักษ์ธรรมชาติ เพื่อกระตุ้นปลุกเร้าจิตสำนึกการดูแลธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพราะตระหนักถึงปัญหาสภาพแวดล้อมที่นับวันจะยิ่งเพิ่มพูนและรุนแรงมากขึ้น

สำหรับประเทศไทย กระแสการอนุรักษ์ดูแลธรรมชาติ เริ่มจริงจัง เมื่อปี 2533 นับจาก คุณสืบ นาคะเสถียร หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง กระทำอัตวินิบาตกรรม จากนั้นก็มีการจัดงานวันคุ้มครองโลกขึ้นจากอาจารย์และเหล่านักศึกษาสถาบันการศึกษาต่างๆ เพื่อรณรงค์ให้คนไทยเห็นความสำคัญของป่า ช่วยกันอนุรักษ์ดูแลธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้อยู่อย่างยั่งยืน

ในวันที่ 22 เมษายน 2563 ครบรอบ 50 ปี วันคุ้มครองโลก มีหน่วยงานเอกชนหลายประเทศจัดกิจกรรมดูแลจัดการเกี่ยวกับขยะ โดยสรุปก็คือ วันคุ้มครองโลก (Earth Day) เป็นอีกวันหนึ่งที่มีความสำคัญยิ่งเพราะเราจะได้ช่วยกันดูแลสิ่งรอบตัวจากการตระหนักความสำคัญของตนในฐานะผู้ปลูกผู้ดูแลรักษาใช่เพียงบริโภคใช้อย่างสะดวกสบายโดยไม่คิดถึงสิ่งที่สูญเสียแลกไป

หัวใจสำคัญของวันคุ้มครองโลก คือ การมีทัศนคติหรือมุมมองต่อสิ่งรอบตัวหรือโลกเราว่าเป็นดั่งบ้านเรือนหลังใหญ่ของทุกคน แค่เพียงเปิดประตูหน้าบ้านออกมาดู

เพราะการใช้ชีวิตของคนเราสร้างผลกระทบรบกวนสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นอย่างไม่รามือ วันคุ้มครองโลก (Earth Day) จึงถือเป็นโอกาสดีสำหรับเราทุกคนที่จะดูแลสิ่งรอบตัวเรา ตั้งแต่ป่าไม้ สิ่งมีชีวิต ทะเลแม่น้ำ รวมถึงสภาพอากาศ

วิธีการดูแลโลกก็เพียงง่าย ๆ ถ้าเราแคร์โลกใบนี้ เราจะปฏิบัติตัวต่อสิ่งรอบตัวอย่างอ่อนโยนนุ่มนวล เราจะกระทำต่อสิ่งรอบตัวอย่างดี หันมาพึ่งพาตนเองมากขึ้น ซึ่งสามารถประมวลออกมาได้ดังนี้

  1. พึ่งตัวเองให้มากขึ้น ถ้ายังมีเวลาและเรี่ยวแรง…คือเดินให้มาก ปั่นจักรยานบ้าง การเดินและปั่นจักรยาน คือการใช้แรงของตนเองเพื่อเคลื่อนที่ไปถึงจุดหมาย เท่ากับออกกำลังกายไปในตัว ร่างกายเราก็แข็งแรง พร้อมกับได้ดูแลโลกใบนี้ คือลดการใช้รถยนต์ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยปริยาย
  2. ใช้สิ่งของให้คุ้มค่าที่สุด เช่น ใช้กระดาษทั้งสองหน้า เดี๋ยวนี้มีการจดบันทึกในสมาร์โฟน ก็เป็นการช่วยลดใช้กระดาษ รวมถึงนำกระดาษที่ใช้แล้วสองหน้ามาเป็นวัสดุสำหรับประดิษฐ์ของใช้ต่าง ๆ ได้
  3. ใช้ถุงผ้าเวลาซื้อของต่าง ๆ รวมถึงถ้าทำได้ใช้ภาชนะปิ่นโตเวลาซื้ออาหาร เพื่อลดการใช้ถุงพลาสติก ซึ่งมีโอกาสปลิวล่องลอยไปตกในทะเล ส่งผลให้สัตว์ทะเลกลืนกินเข้าไปกลายเป็นอันตรายต่อชีวิตได้
  4. คิดก่อนจ่าย ไม่ใช่แค่อยากได้  ซื้อเฉพาะของที่ต้องใช้และจำเป็น เพราะสิ่งของทุกอย่าง มีมูลค่าในตัวเอง เกิดจากแรงงานและวัตถุดิบจากธรรมชาติมาประกอบ ฉะนั้น ถ้าซื้อของเหล่านั้นมาประดับเฉย ๆ ไม่ได้ใช้ตามวัตถุประสงค์ เท่ากับสูญเปล่า ฉะนั้น คิดก่อนจ่ายนะ ซึ่งมีผลดีคือ ได้ดูแลโลกเรา และได้ดูแลเงินในกระเป๋าเราด้วย
  5. ประหยัดน้ำ ประหยัดไฟ นอกจากดูแลที่บ้านเราแล้ว เวลาเห็นน้ำในห้องน้ำสาธารณะเปิดอยู่ โดยไม่มีคนใช้  ก็ช่วยกันปิด รวมอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ถ้าไม่ใช้ก็ปิดได้นะ
  6. เข้าร่วมกิจกรรมอนุรักษ์ธรรมชาติต่าง ๆ เรียกว่าถ้าอยากเห็นพลังสามัคคีซึ่งจะเกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไปข้างหน้า ก็ลองร่วมกิจกรรมดูแลโลกใบนี้ เราจะได้มีโอกาสสัมผัสต้นไม้และธรรมชาติโลกใบนี้อย่างสนิทใจแนบแน่นกันมากขึ้น
  7. ดูแลรักษาความสะอาดตามถนนหนทาง เผื่อแผ่ความสะอาดจากในบ้านในห้องเรามายังสิ่งแวดล้อมรอบข้าง เพื่อให้เกิดความสวยงามและเป็นการดูแลโลกเราได้ด้วย
  8. ศึกษาเรื่องสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัวเราจากหนังสือ สื่อวิดีโอหรือภาพยนตร์ก็ได้ เราจะได้มีหัวใจที่อ่อนโยน รู้สึกผูกพันด้วยความตระหนักในสายใยที่เชื่อมโยงเกี่ยวพันกับตัวเรามากขึ้น แล้วเราจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ทำอะไรคำนึงถึงโลกใบนี้มากขึ้น เห็นมิติต่าง ๆ มากขึ้น

“เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” เป็นคำกล่าวที่สะท้อนว่า ทุกอย่างมีเหตุผลเชื่อมโยงกันเสมอ ไม่ว่าเราจะทำสิ่งใด ย่อมมีผลโยงใยไม่ทางตรงก็ทางอ้อมต่อสภาวะดินฟ้าอากาศเสมอ โลกใบนี้เป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับเราแต่ละคนเป็นเช่นไร 22 เมษายนนี้ จึงเป็นโอกาสดีที่เราจะหันมาดูแลสิ่งรอบตัวด้วยความรักและจริงใจต่อกันให้สมกับเป็นวันคุ้มครองโลก (Earth Day) โลกใบที่เราได้อยู่อาศัยมาเนิ่นนาน

“งีบหลับ” มีดีกว่าแค่ “แก้ง่วง” กับเหตุผลสำคัญที่ว่า ทำไมเด็กๆ ต้องนอนกลางวัน

ทำไมเด็กๆ ต้องนอนกลางวัน?

เหตุผลไม่ใช่เพียงเพราะต้องการให้ชั่วโมงในการนอนของเด็กได้ครบเต็มจำนวนเท่านั้น แต่การนอนหลับกลางวันของเด็กๆ (หรือแม้แต่การงีบหลับสั้นๆ ของผู้ใหญ่) มีความสำคัญมากกว่านั้นเป็นอย่างมาก

เป็นที่รู้กันดีกว่า พัฒนาการในช่วงวัยเด็กนั้นเกิดขึ้นเร็วมาก นั่นอาจจะทำให้เด็กๆ อ่อนล้าได้ แต่การนอนหลับจะทำให้ทั้งร่างกายและสมองของเด็กๆ ได้พักผ่อนระหว่างนั้น และได้เตรียมพร้อมสำหรับเรื่องราวใหม่ๆ ที่เขาจะได้เรียนรู้ต่อไปอีกเรื่อยๆ ทั้งนี้การนอนช่วยเด็กๆ ในเรื่องการควบคุมอารมณ์ (เคยมีการศึกษาพบว่า เด็กอายุ 2 ขวบที่ไม่ยอมนอนกลางวัน จะอารมณ์เสียง่าย ขี้หงุดหงิด และตอบสนองต่อเรื่องราวต่างๆ ได้ไม่ดีนัก) และการพัฒนาการเรียนรู้ และเพิ่มทักษะทางด้านความจำด้วย

ในระหว่างการนอนหลับร่างกายจะมีการเจริญเติบโต ขณะเดียวกันก็มีการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ กระบวนการเหล่านี้มีความสำคัญต่อการพัฒนาสมองและการสร้างความจำด้วย

การทดลองหนึ่งที่ทำกับเด็กอายุน้อยกว่า 1 ขวบโดยการให้เด็กทุกคนเรียนรู้การเล่นกับของเล่นด้วยวิธีการใหม่ และเมื่อถึงเวลางีบหลับ มีเด็กเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นที่ได้นอน ขณะที่อีกครึ่งหนึ่งถูกกักตัวไว้ เมื่อเวลาการงีบผ่านไป เด็กทุกคนจะได้รับของเล่นชิ้นเดิมอีกครั้ง เด็กที่ได้งีบหลับสามารถเล่นของเล่นชิ้นนั้นได้ตามวิธีการที่ถูกสอนก่อนหน้า แต่ดูเหมือนว่าเด็กครึ่งที่ไม่ได้หลับจะลืมวิธีการเล่นไปแล้ว

ระหว่างการนอนหลับร่างกายจะประมวลประสบการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างวันและเรียนรู้จากประสบการณ์เหล่านั้น โดยสร้างการเชื่อมต่อใหม่ในสมอง ถ่ายโอนจากความทรงจำระยะสั้นไปสู่ความจำระยะยาว กระบวนการนี้ทำให้เด็กๆ (รวมถึงผู้ใหญ่ทุกเพศทุกวัย) มีความสามารถทางสมองมากขึ้น ทำให้เป็นคนมีเหตุผล แก้ปัญหา วางแผน ทำความเข้าใจ และเรียนรู้ โดยรวมก็คือ มีไอคิวเพิ่มขึ้น

ความต้องการการงีบหลับนั้น ในแต่ละวัยของเด็กๆ ก็มีความต้องการการที่ไม่เท่ากัน

  • วัยแรกเกิด – 3 เดือน พวกเขาสามารถนอนได้ถึง 18 ชั่วโมงต่อวัน และโดยทั่วไปแล้วจะใช้เวลาเพียงชั่วโมงหรือสองชั่วโมงตื่นในแต่ละครั้ง
  • วัย 3 เดือน – 1 ปี พวกเขาต้องการงานนอนกลางวันวันละ 2-4 ครั้ง ครั้งละ 30 นาทีถึง 2 ชั่วโมงติดต่อกัน
  • วัย 1 – 2 ปี เมื่อรวมการงีบหลับแล้ว เด็กวัยนี้ควรนอน 12 – 14 ชั่วโมงต่อวัน และเพราะมีเริ่มมีกิจกรรมในชีวิตที่น่าสนใจบ้างแล้ว อย่างเช่น การหัดเดิน พวกเขาจึงอาจจะงีบหลับแค่ครั้งเดียว แต่ยาวนานถึง 3 ชั่วโมง
  • วัย 2 – 5 ปี เด็กวัยนี้ต้องการเวลานอน 11 ถึง 13 ชั่วโมงต่อวัน แต่สิ่งสำคัญสำหรับพวกเขาคือการพักผ่อนอย่างเต็มอิ่มทั้งคืนมากกว่าการงีบหลับ แต่หากพวกเขานอนกลางคืนได้ไม่พอ ก็สามารถชดเชยด้วยการให้งีบหลับในช่วงบ่ายได้
  • วัย 5 ขวบขึ้นไป เด็กส่วนใหญ่ไม่ต้องงีบหลับอีกต่อไป แต่การได้พักผ่อนช่วงกลางวันเป็นเวลาประมาณ 30 นาทีก็ช่วยแก้ปัญหาเรื่องความเหนื่อยล้าและความเครียดให้กับเด็กๆ รวมไปถึงวัยรุ่นด้วย แต่ต้องให้แน่ใจว่าพวกเขาจะตื่นขึ้นมาในช่วงบ่าย เพื่อที่จะไม่มีปัญหาต่อการนอนหลับปกติในเวลากลางคืน

แต่แม้จะรู้ว่าการได้งีบหลับสักนิดนั้นมีประโยชน์มากเพียงใด แต่บางครั้งก็เป็นเรื่องยากมากในการบอกให้เด็กๆ เข้านอนตามต้องการ ดังนั้นสิ่งสำคัญในการจัดสรรเวลาให้ลูกได้นอนอย่างดีก็คือ พยายามให้เขาได้นอนหลับในเวลาเดิมทุกวัน โดยอาจจะสร้างสถานการณ์ต่างๆ คล้ายชักจูงให้เขาเช่น กล่อมนอนโดยการเล่านิทาน ลูบหลัง ร้องเพลงเบาๆ หรือดูว่าเขาเหนื่อยเต็มที่หรือยัง หากเขาเหนื่อยแล้วแต่พ่อแม่ยังไม่จัดให้เขาได้งีบหลับก็มีความเป็นไปได้ว่า เขาจะมีแรงกลับขึ้นมาตื่นตัวอีกครั้งและลืมเรื่องการนอนหลับพักผ่อนในเวลากลางวันไปเลย ดังนั้นแม้ว่าจะมีตารางกิจวัตรประจำวันอยู่แล้ว แต่หากเห็นว่า เด็กๆ เริ่มเหนื่อยล้าและต้องการการนอนหลับพักผ่อนในเวลากลางวันอย่างเต็มที่แล้ว อาจจะมีการหาว หรือขยี้ตา ให้วางทุกอย่างลงแล้วพาพวกเขาเข้านอนในห้องที่เงียบและอากาศสบายทันที

เพราะการที่พวกเขาได้นอนหลับตอนกลางวันแม้จะช่วงเวลาสั้นๆ ก็มีคุณค่ามหาศาลและส่งผลดีกับเขาไปตลอดชีวิต

ข้อมูล

  • Jennifer Rainey Marquez:Naptime Know-How: A Parent’s Guide 
  • MA, Dr. Rebecca Spencer, a professor of Psychological and Brain Science, University of Massachusetts. Laboratory studies how sleep make learning and memory better. 2019. 
  • Lukowski AF, Milojevich HM. Sleeping like a baby: Examining relations between habitual infant sleep, recall memory, and generalization across cues at 10 months. Infant Behav Dev. 2013 Jun;36(3):369-76. Doi: 10.1016/j.infbeh.2013.02.001. Epub 2013 Apr 9. PMID: 23578887.

พาลูกเที่ยว ได้อะไรมากกว่าที่คิด

ในที่สุดฤดูท่องเที่ยวก็มาถึงคนไทยอีกครั้ง ที่ต้องบอกว่า ‘อีกครั้ง’ ก็เพราะ ประเทศไทยมีวันหยุดยาวหลายครั้ง ทำให้ครอบครัวมีเวลาอยู่ด้วยกันค่อนข้างบ่อยและยาวนาน และยิ่งนับเป็นโชคดีของครอบครัวที่อยู่ในไทยขึ้นไปใหญ่เมื่อวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่า การได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่หรือสถานที่ใหม่ๆ ผ่านการท่องเที่ยวพักผ่อนในวันหยุดกับครอบครัวทำให้เด็กมีความสุขและฉลาดมากขึ้น ทั้งนี้ก็เพราะนับตั้งแต่การวางแผนการเดินทาง จนถึงวันที่คุณได้กลับบ้านพร้อมกัน เด็กๆ จะได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงและมีสายสัมพันธ์ในครอบครัวที่แน่นแฟ้นมากขึ้น จึงนับเป็นกิจกรรมที่มีคุณค่ามากทีเดียว

สำหรับเด็กๆ แล้ว การเดินทางถือเป็นการผจญภัยครั้งใหม่ พวกเขามีแนวโน้มที่จะสนใจที่จะเรียนรู้ได้มากขึ้น และยังสร้างประโยชน์ต่อพัฒนาการโดยรวม อาทิ

1 กระตุ้นพัฒนาการของสมองมากขึ้น (ฉลาดขึ้น)

จากบทความเรื่อง “The Science Behind How Holidays Make Your Child Happier – and Smarter” โดย ดร. มาร์ก็อต ซันเดอร์แลนด์ (Dr Margot Sunderland) นักจิตอายุรเวทเด็ก กล่าวว่า การท่องเที่ยวพักผ่อนกับครอบครัวทำให้เด็กมีสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่หลากหลาย ได้รับประสบการณ์ใหม่ในด้านสังคม ส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ รวมถึงประสาทสัมผัส ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะกระตุ้นการทำงานของสมองทำให้เด็กฉลาดมากขึ้น จากการศึกษาพบว่า เด็กที่ได้เดินทางท่องเที่ยวส่งผลให้คะแนนเฉลี่ยในโรงเรียนสูงกว่าเด็กที่ไม่ได้ไปเที่ยวนอกบ้านด้วย

2 ได้สร้างความทรงจำที่ล้ำค่าในระยะยาว

ในเด็กวัยราว 4-6 ขวบ ความทรงจำของพวกเขาจะเป็นสิ่งล้ำค่าและถูกนำมาพูดถึงอยู่บ่อยครั้งเพราะประสบการณ์นั้นถูกตรึงอยู่ในความทรงจำของเขาแล้ว และเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ประสบการณ์การท่องเที่ยวยังสอนเขาเกี่ยวกับ การมีความสุขกับการเก็บเกี่ยวประสบการณ์มากกว่าที่จะเก็บเกี่ยวสิ่งของ หรือของเล่นต่างๆ อีกด้วยเพราะจากผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Consumer Research ระบุว่าของขวัญจากประสบการณ์ที่เรามอบให้เด็กๆ จะช่วยพัฒนาความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของครอบครัวและเด็กจะจดจำได้อย่างยาวนานกว่าของขวัญที่เป็นวัตถุ ดังนั้นแทนที่จะให้ของเล่นเป็นของขวัญกับพวกเขา ลองอาศัยช่วงเวลาวันหยุดยาววางแผนว่าจะทำให้มันเป็นการท่องเที่ยวที่แสนวิเศษและเป็นที่น่าจดจำไปตลอดชีวิตอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

3 สะสมความสุขและใช้มันให้เกิดประโยชน์เมื่อถึงเวลาที่ต้องการ

จากงานวิจัยที่จัดทำโดย Family Holiday Association ในสหราชอาณาจักร พบว่า 49% ของกลุ่มตัวอย่างกล่าวว่าความทรงจำที่มีความสุขที่สุดของพวกเขาคือการได้ท่องเที่ยวกับครอบครัว และ 1 ใน 3 ของจำนวนนั้น ยังจดจำวันหยุดพักผ่อนของตัวเองได้อย่างชัดเจน

ที่สำคัญ 1 ใน 4 ของผู้คนเหล่านี้ใช้ความทรงจำเกี่ยวกับความสุขในช่วงเวลาดังกล่าวมาเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวเวลาเจอกับเรื่องแย่ๆ ในชีวิต และทำให้พวกเขาแก้ปัญหาในมุมมองใหม่ๆ ได้

4 ส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีในครอบครัว

เราทุกคนต่างมีหน้าที่ที่จะต้องทำในแต่ละวันกันเต็มไม้เต็มมืออยู่แล้ว เวลาที่จะได้พูดคุย สื่อสาร หรือแสดงความรักอาจจะมีไม่เพียงพอต่อความต้องการของเด็กๆ ที่ยังอยู่ในวัยที่ต้องการการดูแลเอาใจใส่ที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาและการสัมผัส แต่การท่องเที่ยวด้วยกันสามารถเพิ่มสิ่งเหล่านั้นได้ มันเป็นช่วงเวลาทองที่จะทำให้พ่อแม่ได้ชดเชยสิ่งที่อาจจะมีเวลาทำได้น้อยลงไป และเด็กๆ ก็ชอบมันมากด้วย พวกเขามีความสุขที่เห็นว่าพ่อแม่มีความสุขเมื่ออยู่กับเขาโดยไม่มีใครหรือสิ่งใดมาขัดจังหวะ มีความมั่นใจในความปลอดภัยเมื่อเห็นว่ามีพ่อแม่อยู่ใกล้ๆ ช่วงเวลาทองเหล่านี้อาจจะมาในรูปแบบของ การชักชวนกันก่อปราสาททรายที่ริมหาดสักแห่ง การตามล่าสมบัติในสวนแห่งหนึ่ง หรือการได้ดูปลาด้วยกัน แม้แต่ประสบการณ์ที่เรียบง่ายที่สุด เช่น มื้ออาหารที่กินด้วยกันระหว่างท่องเที่ยว ก็ยังสามารถกลายเป็นความทรงจำแสนวิเศษได้

5 การท่องเที่ยวดีต่อ (สุขภาพ) ใจของเด็กๆ

ศาสตราจารย์ จ๊าก แพงก์เซปป์ (Jaak Panksepp) นักประสาทวิทยา มหาวิทยาลัยวอชิงตันสเตจ ผู้ค้นพบระบบสมองสองระบบในเด็ก ได้แก่ ระบบเล่น (Play systems) และระบบแสวงหา (Seeking system) กล่าวว่าประสบการณ์การท่องเที่ยววันหยุดกระตุ้นระบบเหล่านี้ในสมองของเด็ก ๆ ได้ เช่น การเดินเล่นท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เขียวขจีสามารถลดความดันโลหิต คอเลสเตอรอลและความเครียดได้ ดังนั้นการพักผ่อนที่ดีสามารถระบายความเครียดทั้งหมด คงเหลือไว้แต่ความสุข การศึกษายังชี้ให้เห็นด้วยว่า การใช้เวลา 20 นาทีในธรรมชาติสามารถพัฒนาสมาธิของเด็กได้อย่างมากอีกด้วย

สิ่งที่เรียนรู้จากการเดินทางและประสบการณ์ที่ไปสัมผัสกับโลกที่สวยงามนอกบ้าน วัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่แตกต่างมาด้วยตัวเองจะคงอยู่นานกว่าสิ่งที่อ่านในตำราเรียน แต่ถ้ารวมทั้งคู่เข้าด้วยกันได้ ก็จะวิเศษมากทีเดียว ดังนั้นแทนที่จะมอบของเล่นหรือมือถือเครื่องใหม่ให้กับลูกในช่วงวันหยุด ลองพาพวกเขาไปเที่ยวพักผ่อนกับครอบครัวกันดีกว่า

เมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็…แพ็กกระเป๋ากันเถอะ!!!

เมื่อน้องหมา-น้องแมวไม่ได้เป็นแค่สัตว์เลี้ยงสำหรับเด็ก

เปิดประโยชน์ของสัตว์เลี้ยง และสัตว์เลี้ยงที่แนะนำสำหรับเด็ก

เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปแล้วว่า การได้เลี้ยงสัตว์ที่เรารักนั้น มีส่วนช่วยทำให้มนุษย์มีความสุข ช่วยผ่อนคลายความเหนื่อยล้า ลดความเครียด รักษาสมดุลทางร่างกายและจิตใจ ลดความเสี่ยงในการเป็นซึมเศร้าได้

แต่สำหรับเด็กๆ แล้ว สัตว์เลี้ยงเป็นมากกว่านั้น เพราะการดูแลสัตว์เลี้ยงไม่ว่าจะเป็นดูน้องหมา น้องแมว หรือสัตว์เลี้ยงน่ารักตัวอื่นๆ เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการพัฒนาการเรียนรู้ความรับผิดชอบและการดูแลผู้อื่น รวมถึงการนับถือตัวเอง การเคารพผู้อื่น การดูแลผู้อื่น การจัดตารางเวลากับลูกของคุณเพื่อพาสัตว์เลี้ยงออกกำลังกาย แปรงฟันสัตว์เลี้ยง หรือให้อาหาร ทำความสะอาดกรง ฯลฯ เหล่านี้สามารถช่วยสร้างพฤติกรรมที่รับผิดชอบได้ และความสัมพันธ์อันดีในครอบครัวก็จะเพิ่มขึ้นได้ด้วย

จากการศึกษาของ Affinity Foundation เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนกับสัตว์ระบุว่า เด็กประมาณ 46% มีแนวโน้มที่จะเห็นสัตว์เลี้ยงของพวกเขาเป็นพึ่งทางใจ (Emotional support) รองจากพ่อแม่ นอกจากนี้เมื่อเวลาเศร้าหรือกลัว หากว่าเด็กๆ ได้กอดสัตว์เลี้ยงที่เขารัก ความรู้สึกเหล่านั้นจะหายไป และหากต้องเจอปัญหาร้ายแรง สัตว์เลี้ยงจะเป็นที่ที่เขาจะได้รับการปลอบโยนพอๆ กับพ่อแม่ การศึกษายังพบด้วยว่า คนที่ในวัยเด็กได้ใช้ชีวิตคลุกคลีกับสัตว์เลี้ยงจะรักษาความสัมพันธ์เชิงบวกได้ดีกว่า

นอกจากนี้ยังพบว่า สิ่งแรกที่เด็กส่วนใหญ่เชื่อมโยงบทบาทของพวกเขาในชีวิตสัตว์เลี้ยงคือ “การดูแล” ในขณะที่สิ่งสำคัญที่สุดคือ “การเล่น” และ “การให้อาหาร” ด้วยวิธีนี้ การศึกษานี้จึงเน้นย้ำถึงคุณค่าของความรับผิดชอบที่สัตว์เลี้ยงถ่ายทอดสู่ลูกน้อยด้วย

ดังนั้นจึงควรกำหนดสิ่งที่ให้เด็กๆ ต้องรับผิดชอบในการดูแลสัตว์เลี้ยงตามวัยของเขา เช่นวัยเด็กเล็กอาจจะให้ช่วยให้อาหาร และยังพบด้วยว่าเด็กในอายุระหว่าง 9-12 ปีนั้นหากได้เล่นกับสัตว์เลี้ยง เขาจะชอบเล่นกับพวกมันมากกว่าการเล่นวิดีโอเกมอีกด้วย ทั้งนี้ต้องแน่ใจว่า เด็กๆ สนุกที่จะทำหน้าที่เลี้ยงดูสัตว์เลี้ยงของพวกเขาไปเรื่อยๆ ไม่เบื่อเสียก่อน จนหน้าที่ทั้งหมดตกมาอยู่กับพ่อแม่

แต่ถึงอย่างนั้นการเลี้ยงเด็กกับสัตว์เลี้ยงไปด้วยกันก็มีอีกหลายเรื่องที่ต้องพิจารณา อาทิ การแบ่งเวลาให้พวกเขาได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง อาหารการกิน การขับถ่าย การแบ่งเวลาเล่น ออกกำลังกาย การดูแลสุขภาพ และอื่นๆ ซึ่งสัตว์แต่ละชนิด หรือแต่ละสายพันธุ์ ก็จะมีความต้องการที่แตกต่างกันออกไป

และเพื่อให้แน่ใจว่าพ่อแม่ผู้ปกครองจะเลือกสัตว์ที่เหมาะสมกับเด็กๆ และครอบครัว เรามีตัวอย่างสัตว์เลี้ยงรวมถึงรายละเอียดต่างๆ มาให้พิจารณา ดังนี้

1 น้องหมา

น้องหมาแต่ละสายพันธุ์ล้วนแตกต่างกัน หรือแม้สายพันธุ์เดียวกันทุกตัวก็ไม่เหมือนกันอีก เมื่อพ่อแม่อยากจะให้ลูกได้มีสัตว์เลี้ยงแก้เหงาเป็นน้องหมา อาจจะต้องพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพราะมีหลายอย่างที่ค่อนข้างซับซ้อน เช่น น้องหมาต้องการคนอยู่ด้วยตลอดเวลา และน้องหมาตัวเล็ก(อาจจะ)ไม่ได้เหมาะกับเด็กเล็ก ต่อให้น้องหมาตัวนั้นจะเป็นสุนัขที่นิสัยดีมากก็ตาม

2 น้องแมว

น้องแมวเป็นสัตว์ที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก วินาทีนี้อาจจะชอบคลุกคลีกับผู้คน แต่วินาทีต่อไปอาจจะไม่อยากให้ใครมายุ่งกับมันแล้วก็ได้ และมีเล็บที่แหลมคมมากด้วย ก่อนที่จะตัดสินใจรับแมวมาเลี้ยง ควรต้องฝึก หรือบอกกล่าวให้เด็กๆ ได้เรียนรู้เสียก่อนว่า นิสัยของแมวเป็นอย่างไร ไม่ใช่แมวทุกตัวจะชอบการโอบกอด อุ้ม ลูบคลำ แต่ที่สำคัญ แมวทุกตัวต้องการอาหารใหม่ สถานที่ถ่ายสิ่งปฏิกูลที่สะอาด และพาไปหาหมออย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นนอกจากความรับผิดชอบแล้ว เด็กๆ อาจจะได้ใกล้ชิดน้องแมวได้น้อยสักหน่อย แต่ถ้าสอนให้เด็กๆ ของคุณเป็นทาสแมวได้แล้วละก็ เชื่อว่า พวกเขาจะเข้าใจ และรับความรักจากมันได้มากพอ

3 น้องกระต่าย

น้องกระต่ายเป็นสัตว์ที่มีความปราดเปรียว เป็นตัวของตัวเอง ต้องมีกรงเฉพาะ (ไม่อย่างนั้นมันอาจจะทำลายสิ่งต่างๆ ในบ้านได้) และเหมือนน้องแมว นั่นคือ ไม่ใช่ว่าน้องกระต่ายจะอยากให้กอด อุ้ม หรือลูบคลำอยู่ตลอด แต่ต้องการอาหารและการทำความสะอาดเสมอ! ดังนั้นตรงนี้ต้องอธิบายให้เด็กๆ เข้าใจ

4 น้องหนูตะเภา

น้องหนูตะเภาเป็นเด็กร่าเริง เป็นนักสำรวจ ดังนั้นจึงนับเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำให้กรงมีที่ให้พวกมันได้ทำกิจกรรม และต้องทำความสะอาดกรงทุกซอกทุกมุมให้สะอาดอยู่ตลอดเวลา ที่สำคัญน้องหนูตะเภาไม่ชอบอยู่ตัวเดียว ดังนั้นจึงต้องตัดสินใจตั้งแต่ต้นว่าจะเลี้ยงกี่ตัว เพราะการให้พวกมันมาเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ยังเด็กย่อมส่งผลดีมากกว่า และพวกมันค่อนข้างจะตกใจง่ายสักหน่อย โดยเฉพาะในระยะแรก อาจจะต้องพูดคุยให้เด็กๆ เข้าใจว่า ต้องเว้นระยะห่าง และให้ความเงียบกับหนูตะเภาด้วย

5 น้องปลา

น้องปลาดูเหมือนว่าจะเป็นตัวเลือกแรกๆ สำหรับการฝึกให้เด็กได้ดูแลชีวิตผู้อื่น เพราะปลาเป็นสัตว์ที่ดูแลค่อนข้างง่าย ให้อาหารทุกวัน ทำความสะอาดอ่างปลาเป็นระยะ (ความถี่แล้วแต่ชนิดของปลาที่เลี้ยง) และน้องปลาสามารถสร้างความสุขกับเด็กๆ และครอบครัวได้ แค่เพียงนั่งมองสีสันของพวกมัน ดูมันว่ายไปมา ก็ทำให้ผ่อนคลายได้ ดังนั้นหากครอบครัวไม่ได้มีเวลามากพอที่จะดูแลสัตว์เลี้ยง หรือชอบให้บ้านเงียบ เรียบง่าย แต่ยังคงสามารถสอนเด็กๆ ให้ดูแลเอาใจใส่ และมีความสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ได้ ปลาก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก

เมื่อเลือกสัตว์เลี้ยงได้แล้ว สิ่งที่พ่อแม่ผู้ปกครองจะละเลยไม่ได้เลยก็คือ ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะบางครั้งเด็กก็ไม่ได้รู้ว่าการเล่นของเขาอาจจะเป็นการกวนใจสัตว์เลี้ยงและอาจจะก่อให้เกิดอันตรายต่อตัวเด็กๆ เองได้

สายสัมพันธ์ของสัตว์เลี้ยงและเด็กๆ สามารถฝึกให้เด็กๆ ได้ในหลายสิ่งที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ทั้งการดูแลเอาใจผู้อื่น การรู้จักเห็นอกเห็นใจ การให้ความรักความสัมพันธ์ ซึ่งทักษะเหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งที่เด็กๆ สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน นับตั้งแต่เด็กจนถึงตลอดไป

การศึกษาในวันที่ทุกสิ่งเปลี่ยนไป…กับการยืดหยุ่นปรับตัวที่ดีขึ้น

ตั้งแต่เกิดช่วงโควิด-19 หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ทั้งในและต่างประเทศ ต่างพยายามปรับปรุงปฏิรูปกระบวนการศึกษาให้สอดคล้องกับผู้เรียนมากขึ้น ต่างตระหนักถึงความสำคัญของบริบทของผู้เรียนที่แตกต่าง โดยเพิ่มการสนับสนุนเรื่องอุปกรณ์การศึกษา ทุนการศึกษาสำหรับผู้ไม่พร้อม ทุนอาหารกลางวันอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการใช้แพลตฟอร์มการเรียนออนไลน์ และบริการสายด่วนคลายเครียดสำหรับผู้เรียน

เพราะโควิด-19 เป็นตัวเร่งให้เกิดรูปแบบการศึกษาออนไลน์ ทำให้คุณครูและนักเรียนต้องปรับตัวในหลายด้าน ประสบการณ์ร่วมกันระหว่างคุณครูกับนักเรียนในช่วงการเรียนการสอนออนไลน์ เป็นข้อมูลความจริงที่ทำให้ระบบการศึกษาเกิดการปรับตัวสอดรับความต้องการของกันและกันมากขึ้น โดยในส่วนของคุณครู มีการปรับตัวและความยืดหยุ่นเพิ่มขึ้น คือ

หนึ่ง เนื่องจากในช่วงสอนออนไลน์ คุณครูมีโอกาสได้รู้จักนักเรียนแต่ละคนมากขึ้น รู้จักบริบทปัจจัยที่แตกต่าง ทั้งเรื่องความพร้อมในการเรียน ปัจจัยการเรียนรู้ทั้งสถานที่เรียน คุณพ่อคุณแม่ คุณครูจึงเข้าใจนักเรียนมากขึ้นว่าควรใช้รูปแบบการเรียนใดที่เหมาะสมกับนักเรียนแต่ละคน

สอง บทบาทการเป็นฟันเฟืองสำคัญต่อระบบการศึกษา เพราะคุณครูมีส่วนช่วยให้นักเรียนเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียม ไม่ว่าเด็กจะมีสถานะทางครอบครัวอย่างไร คุณครูคือกำลังสำคัญสำหรับนักเรียนเพื่อมิให้การศึกษาหยุดนิ่ง เรียกว่า อนาคตของเด็กๆ หรืออนาคตของชาติฝากไว้ในมือคุณครูผู้เป็นฮีโร่สำหรับพวกเขา การตระหนักถึงความจริงข้อนี้เป็นแรงบันดาลใจสำหรับคุณครูได้ดี

สาม  ทักษะทางเทคโนโลยีดิจิทัล ข้อดีของการเรียนออนไลน์ในช่วงโควิด-19 คือ คุณครูได้มีโอกาสทดลองใช้แพลตฟอร์มการเรียนการสอนออนไลน์ต่างๆ นั่นทำให้คุณครูมีวิธีการสอนเพิ่มขึ้น สามารถประยุกต์หรือออกแบบการสอนได้หลากหลายขึ้น รวมถึงบริษัทผู้ผลิตแพลตฟอร์มก็มีโอกาสปรับปรุงพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนให้ดีขึ้น คุณครูได้ใช้ทักษะเทคโนโลยีดิจิทัลให้เกิดประโยชน์กับการเรียนมากขึ้น

สี่ การประเมินวัดผล เนื่องจากคุณครูมองเห็นบริบทนักเรียนแต่ละคน รู้วิธีการสอนและเนื้อหาที่เหมาะสมเพื่อให้เด็กเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองมากขึ้น เชื่อมโยงการเรียนกับชีวิตจริงของนักเรียน รวมถึงปรับเปลี่ยนตัวชี้วัดให้เหมาะสมเพื่อวัดการเรียนรู้ของเด็กแต่ละคนได้

ในส่วนของนักเรียน ก็มีการปรับตัวและความยืดหยุ่นเพิ่มขึ้น คือ

หนึ่ง นักเรียนได้เรียนรู้ว่า การเรียนในห้องกับการเรียนออนไลน์มีความแตกต่างกัน มองเห็นข้อดีข้อเสียรวมถึงรู้ตัวว่า ตัวเองชอบหรือถนัดกับการเรียนแบบไหน

สอง สั่งสมทักษะทางเทคโนโลยีดิจิทัล ในช่วงเรียนออนไลน์ นักเรียนได้ใช้แพลตฟอร์มการสอนออนไลน์ ได้ค้นพบสื่อการเรียนการสอนออนไลน์มากมาย รวมถึงใช้สื่อดิจิทัลในการทำกิจกรรม บันทึกการนำเสนอ บันทึกการเรียนรู้เพื่อใช้ในการประเมินหรือตัวชี้วัดของคุณครู ทักษะเหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตของนักเรียน

สาม การเรียนรู้สามารถทำได้ทุกครั้งเมื่อมีโอกาส ในการเรียนออนไลน์ คุณครูจะนำบทเรียน สื่อการสอน รวมถึงการบ้านแขวนไว้ในแพลตฟอร์มต่างๆ นักเรียนสามารถเลือกเรียนในเวลาที่สะดวกและเหมาะสม สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ด้วยตนเองรวมถึงฝึกวินัยในการเรียนอย่างต่อเนื่อง

ในวิกฤตก็มีโอกาส ช่วงโควิด-19 แม้จะทำให้เราเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงมากมาย แต่ถ้ามองให้ดี ก็เป็นการขยับปรับเปลี่ยนวิธีการบางอย่างให้สอดคล้องเหมาะกับความเป็นจริงมากขึ้น ทั้งกระทรวงศึกษาธิการ หน่วยงานภาครัฐและเอกชนต่างๆ ก็คอยสนับสนุนเติมเต็มสร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับนักเรียนอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม

ในส่วนคุณครูและนักเรียนต่างก็ได้โอกาสในการเรียนรู้ด้วยบริบทที่เปลี่ยนไป การศึกษา การเรียนรู้ มิใช่เรื่องของการอยู่ในห้องแคบๆ อีกต่อไป มีวิธีการเรียนรู้อื่นๆ วิธีการนำเสนอ การวัดผล เนื้อหาที่สอดคล้องกับชีวิตประจำวันมากขึ้น จึงเป็นการศึกษาที่มีความสนุกและมีสีสันเพิ่มมากขึ้น สร้างความสุขให้กับทั้งผู้สอนและผู้เรียนรู้

5 ค่าย อาสาพาสนุก ปลุกความรู้ควบคู่กิจกรรมดี ๆ ฟรี!!

หากต้องการเปิดประสบการณ์การเรียนรู้สิ่งใหม่ให้กับเด็ก ๆ เพื่อที่จะเตรียมความพร้อมให้กับพวกเขา ในการอยู่ร่วมกันในสังคมกับผู้อื่น หรือปลูกสำนึกในการให้ความช่วยเหลือ แบ่งปัน สร้างสรรค์ และพัฒนาตนเองในหลากหลายด้าน พ่อ แม่ และคุณครู คงจะมองหาค่ายอาสา หรือกิจกรรมดี ๆ ที่จะสามารถพาพวกเขาไปเข้าร่วมได้ ซึ่งในวันนี้ เรามีกิจกรรมดี ๆ และที่สำคัญคือฟรี!!! จาก 5 ค่ายความรู้ เพื่อน้อง ๆ เยาวชน ที่จะอาสาพาไปเรียนรู้ควบคู่กับความสนุกสนานแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย ดังต่อไปนี้….

1. ค่าย SITT Roadshow online

ค่ายสำหรับน้อง ๆ สายวิทย์ ที่มีความสนใจในหลักสูตรแพทย์แผนไทยประยุกต์ศิริราช ของมหาวิทยาลัยมหิดล ที่จะมาเปิดโลกเรียนรู้ พร้อมเจาะลึกเบื้องหลังการเรียนการสอนแบบสนุก ๆ ซึ่งน้อง ๆ ที่สนใจ จะสมัครมาแบบเดี่ยว หรือมาแบบกลุ่ม ก็สามารถทำได้ เพราะเป็นกิจกรรม Online ผ่านโปรแกรม zoom ที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แถมมีเกียรติบัตรมอบให้ด้วย โดยน้อง ๆสามารถลงทะเบียนล่วงหน้าที่  https://forms.gle/sojfAQSKaACCcTu48 เพื่อระบุรอบเวลาใน google form พร้อมทั้งส่ง email ยืนยันล่วงหน้า 1 สัปดาห์

หรือต้องการเรียนรู้ประสบการณ์ตรงจากรุ่นพี่ ที่เดินทางไปเรียนแลกเปลี่ยนในต่างแดนมาแล้ว ก็สามารถลงทะเบียนไปเวิร์คชอปออนไลน์กันได้เลยที่…

2. ค่าย To the other side of the world:

Student Exchange Journey จาก CAMPHUB กับการเวิร์คชอปออนไลน์ผ่านโปรแกรม zoom ที่เปิดรับสมัครน้อง ๆ นักเรียนมัธยมปลาย นิสิต นักศึกษา และบุคคลทั่วไปที่สนใจ จำนวน 80 คน ผ่าน https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSe96AxQ_sTyfu_fOVavrRdW7dkivhBck076WYW2DQD4APnZJQ/viewform จนถึงวันที่ 3 มีนาคมนี้ และทำการเวิร์คชอปจริง ในวันที่ 6 มีนาคม 2565 ฟรี!! ใครที่พร้อมแล้วก็ไปกรอกแบบฟอร์มสมัครกันได้เลยตามนี้เลย

และสำหรับผู้ที่อยู่ทางภาคเหนือ และชื่นชอบกิจกรรมอาสา ก็มีโครงการดี ๆ จาก มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กับ…

ค่ายพัฒนาศักยภาพการเป็นโค้ชดิจิทัลชุมชน

Local Digital Coach กับโครงการพัฒนาโค้ชดิจิทัลเพื่อสนับสนุนการทำธุรกรรมออนไลน์ของชุมชน (ภาคเหนือ) ที่เปิดรับสมัครนักเรียน นักศึกษา บัณฑิต และประชาชนทั่วไปที่สนใจ โดยสามารถสมัครเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาศักยภาพ การเป็นโค้ชดิจิทัลชุมชน Local Digital Coach เป็นเวลาทั้งสิ้น 2 สัปดาห์ คือตั้งแต่วันที่ 1-14 มีนาคม 2565 โดยสามารถกรอกแบบฟอร์มสมัครเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ ได้ทาง https://cmu.to/-Q4ZE ซึ่งน้อง ๆ ที่ผ่านการเข้าร่วมฝึกอบรม จะได้รับใบประกาศนียบัตร และได้รับการพัฒนาศักยภาพด้านการทำธุรกรรมออนไลน์ เพื่อต่อยอดการเป็นโค้ชดิจิทัลชุมชน และถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่สมาชิกในชุมชนได้อีกด้วย

ส่วนน้อง ๆ ที่ต้องการหาความรู้ และทดลองเรียนรู้ ณ ห้องเรียนเสมือนจริง ที่นอกจากจะได้รับความรู้พร้อมทั้งความสนุกสนานแล้ว ยังได้รับเกียรติบัตรในการเข้าร่วมกิจกรรมถึง 2 ค่าย มาให้เลือกกัน ไม่ว่าจะเป็น..

ค่ายจากโครงการ LA ลอง LEARN ครั้งที่ 3 

ที่พี่ๆ นิสิตสาขาวิชาการบริหารท้องถิ่น ชั้นปี2 ได้จัดขึ้นเพื่อแนะแนวทางการเรียนการสอน และจัดห้องเรียนเสมือนจริง ได้รับประสบการณ์จริง จากการเรียนกับอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา พร้อมรับเกียรติบัตร ในวันเสาร์ที่ 5 และ 6 มีนาคม 2565 
แบบฟรีตลอดงาน โดยสามารถติดต่อสอบถาม และสมัครได้ถึง 3 ช่องทาง ได้แก่…
ทาง Facebook ที่ https://m.facebook.com/La-%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%87-Learn-104646858649258/
ทาง Line ที่ https://line.me/ti/g2tk5ObCbCyfeWm5ynsxKE7oOMG3jYuStLr5RRXQ
ทาง IG ที่ https://instagram.com/lalonglearn?utm_medium=copy_link

และค่ายสุดท้าย สำหรับน้อง ๆ ชั้นมัธยมต้น ถึงมัธยมปลาย ที่มีความฝันอยากเป็นคุณหมอในอนาคต กับ…

ค่าย ONCEs Camp ห้องเรียนจำลอง คณะแพทย์ศาสตร์ Season 14

ในวันที่ 27 มีนาคม 2565 จาก ONCEs Thailand พื้นที่เรียนรู้สำหรับเยาวชน ที่เปิดโอกาสให้น้อง ๆ อายุ 14-19 ปี ได้ทดลองสัมผัสประสบการณ์จริง ณ ห้องเรียนของพี่ ๆ นักเรียนแพทย์ พร้อมเวิร์คชอปกับรุ่นพี่ในคณะแพทยศาสตร์ พร้อมทั้งได้รับความรู้เฉพาะทางเกี่ยวกับพื้นฐานทางด้านการแพทย์ ที่จะต้องเรียนในระดับมหาวิทยาลัย พร้อมมีเกียรติบัตรมอบให้หลังจบกิจกรรมอีกด้วย ซึ่งน้อง ๆ สามารถสมัครด้วยตัวเองได้เลยที่ https://bit.ly/3ulxXB6 หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ทาง http://line.me/ti/p/~@edq9735t

เรียกว่ามีให้เลือกกันหลากหลาย และหลากสาย ทั้งนอกและในสถานที่เลยทีเดียว งานนี้น้อง ๆ คนไหนที่สนใจ ก็สามารถเข้าไปสอบถามรายละเอียดการเข้าร่วมกิจกรรมที่ต้องการได้เลย

9 เทคนิค “พนักงานใหม่ป้ายแดง” เริ่มชีวิตการทำงานวันแรกให้สุดปังเหมือนมืออาชีพ

นักศึกษาจบใหม่ที่ในที่สุดก็ผ่านการสัมภาษณ์งาน และได้รับการตอบรับให้ทำงานที่แรกในชีวิต คงตื่นเต้นและประหม่าไม่น้อย ในการก้าวเข้าสู่ “ชีวิตการทำงาน” ครั้งแรก ในบทบาท “พนักงานน้องใหม่” ป้ายแดงไฟแรงสูงปรี๊ด!

เพื่อให้การทำงาน “วันแรก” ราบรื่น เป็นที่ประทับใจทั้งจากหัวหน้างานและเพื่อนร่วมงาน การวางแผนที่ดี และการเตรียมตัวที่ดี เป็นสิ่งสำคัญ เพราะการเตรียมตัวดีมีชัยไปกว่าครึ่ง และนี่คือเคล็ดลับง่ายๆ ที่จะทำให้พนักงานน้องใหม่อย่างเราเริ่มทำงานวันแรกให้สุดปังเหมือนมืออาชีพ

1. ศึกษาระเบียบต่างๆ ของบริษัท

ก่อนเข้าทำงานวันแรก ควรศึกษาระเบียบ ข้อบังคับต่างๆ คำสั่ง ประกาศ นโยบาย คู่มือและแนวปฏิบัติ ของหน่วยงานหรือองค์กรที่เราเข้าทำงาน ไม่ว่าจะเป็นกฎ กติกา มารยาทต่างๆ เวลาทำงาน หน้าที่ของตำแหน่งงานของเรา ผังองค์กรเป็นอย่างไร เพื่อที่เราจะได้ปฏิบัติตัวได้ถูกเมื่อก้าวเข้าสู่ที่ทำงาน นอกจากนี้ ยังควรทำความเข้าใจวิสัยทัศน์และเป้าหมายขององค์กร เพื่อให้การทำงานวันแรกเต็มไปด้วยความราบรื่น

2. การแต่งกายถูกต้องเหมาะสม

การแต่งกายที่ถูกต้องเหมาะสมกับงานนั้นๆ เป็นการสร้างความประทับใจแรกได้ หากเป็นองค์กรที่ต้องใส่ยูนิฟอร์ม ก็ต้องมีการเตรียมความพร้อมในการตัดเย็บในรูปแบบที่ตรงกับองค์กร หรือองค์กรเป็นผู้จัดเตรียมให้ พนักงานใหม่ต้องเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ เพื่อปฏิบัติตามระเบียบให้ถูกต้อง แต่หากเป็นองค์กรที่ไม่ได้กำหนดให้ใส่ยูนิฟอร์ม ควรแต่งกายสุภาพไว้ก่อนดีที่สุด

3. อุปกรณ์ครบครันพร้อมปฏิบัติงานทันที

นอกจากการเสื้อผ้าหน้าผมเสื้อผ้าที่ถูกต้องเหมาะสมตามกาลเทศะแล้ว การเตรียมอุปกรณ์การทำงานต่างๆ ให้พร้อม ก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความกระตือรือร้น และความใส่ใจในการทำงานได้เป็นอย่างดี พนักงานน้องใหม่ควรเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม เมื่อถึงวันทำงานวันแรกจะได้พร้อมลุยงานได้อย่างมั่นใจ     

4. วันแรกอย่าสายเด็ดขาด

ควรวางแผนการเดินทางให้ดี เพื่อให้การเดินทางไปทำงานวันแรกเป็นไปอย่างราบรื่น และถึงที่ทำงานก่อนเวลาเข้างานประมาณ 10-15 นาที ยิ่งออฟฟิศที่อยู่ใจกลางเมือง ที่ช่วงเช้าการจราจรติดขัดในชั่วโมงเร่งด่วนอาจทำให้การเดินทางใช้เวลานานกว่าปกติ การเผื่อเวลาออกจากบ้านจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการไปถึงที่ทำงานก่อนเวลาเข้างานย่อมดีกว่ามาสายแน่นอน และยังเป็นการสร้างความประทับใจแรกให้กับหัวหน้างานและเพื่อนร่วมงานได้ด้วย

5. ตรวจสอบเอกสารสัญญาจ้างงานต่างๆ อย่างรอบคอบ

  วันแรกของการทำงาน พนักงานน้องใหม่ส่วนใหญ่จะต้องเซ็นเอกสารสัญญาจ้างงานและสวัสดิการต่างๆ เช่น กองทุน ประกันสุขภาพ นโยบายการลาพักร้อน และอื่นๆ ดังนั้น ควรอ่านเอกสารต่างๆ ที่ได้รับอย่างรอบคอบ เพื่อสิทธิของเราเอง

6. มีความตั้งใจที่จะเรียนรู้งาน

พนักงานใหม่มีอะไรที่ต้องเรียนรู้มากมาย ความกระตือรือร้น ความขยัน และความตั้งใจที่จะเรียนรู้งานจึงเป็นสำคัญมาก และเป็นคุณสมบัติที่จะทำให้พนักงานสามารถเติบโตในหน้าที่การงานได้ เมื่อก้าวเข้าสู่การทำงานควรเปิดรับและเรียนรู้งานในทุกด้านที่ได้รับมอบหมาย งานไหนที่ไม่เข้าใจ หรือมีข้อสงสัยก็ให้สอบถามหัวหน้างานหรือเพื่อนร่วมงาน เพื่อการทำงานจะได้ไม่มีข้อบกพร่อง อย่างไรก็ตาม ควรทำความเข้าใจและเรียนรู้งานอย่างรวดเร็ว และลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง ให้งานสำเร็จลุล่วงลงด้วยดี

7. มีมนุษย์สัมพันธ์ดี

ในโลกของการทำงาน การมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีเป็นสิ่งที่ทำให้การทำงานกับผู้อื่นราบรื่น วันแรกของการทำงาน ทุกอย่างเป็นเรื่องใหม่หมด อาจทำให้พนักงานป้ายแดงประหม่าได้ แต่การทักทายอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส กล่าวคำว่าสวัสดีครับ/ค่ะ พร้อมยกมือไหว้หัวหน้า หรือทักทายเพื่อนร่วมงาน เป็นความประทับใจแรกที่จะทำให้หัวหน้าและเพื่อนๆ มีมิตรภาพที่ดีต่อเรา

การแนะนำตัวเองกับเพื่อนร่วมงานให้มากที่สุด และเริ่มบทสนทนาง่ายๆ จะทำให้กระชับความสัมพันธ์ได้ดีขึ้น และถ้าเพื่อนชวนไปรับประทานอาหารกลางวัน ก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่จะทำให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้น กระตุ้นให้เพื่อนคิดว่าเราเป็นหนึ่งในทีม อีกทั้งยังเป็นการหาเพื่อนใหม่และได้ทราบข้อมูลของผู้คนที่เราจะร่วมงานด้วย อาจจะทานอาหารร่วมกับเพื่อนร่วมงานบ่อยๆ ซึ่งจะช่วยให้สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นทางวิชาชีพเพื่อช่วยให้ก้าวหน้าในอาชีพการงานได้

8. อย่าติดโซเชียล

การทำงานวันแรกเป็นช่วงเวลาทองที่ช่วยสร้างความประทับใจได้ ในเวลาทำงานจึงไม่ควรก้มหน้าเล่นแชท หรือโซเชียล เพราะนอกจากจะทำให้ถูกมองว่า ไม่มีความตั้งใจในการทำงานแล้ว ยังส่งผลกระทบกับการผ่านงานในช่วงทดลองงานด้วย ควรแสดงความกระตือรือร้นและมุ่งมั่นตั้งใจในการทำงานดีกว่า

9. ผ่อนคลาย อย่ากดดัน

เมื่อเจออะไรใหม่ๆ ก็ต้องมีความประหม่าหรือกดดันเป็นธรรมดา อย่าซีเรียสกับสิ่งต่างๆ รอบตัวมาก บอกกับตัวเองว่า เราจะตั้งใจในการเรียนรู้และทำทุกอย่างให้เต็มที่ที่เราสามารถทำได้ หากเกิดขึ้นผิดพลาดก็ให้ขอโทษและรีบแก้ไข และหากรู้สึกเครียดให้ตั้งสติ หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ และอยู่กับปัจจุบัน จำไว้ว่าเรายังมีโอกาสทำให้ดีขึ้นในวันพรุ่งนี้

เป็นทริกง่ายๆ 9 ข้อที่จะช่วยให้พนักงานใหม่เริ่มงานวันแรกได้อย่างราบรื่น และขอให้จำไว้ “ความเฟอร์เฟคไม่มีบนโลกใบนี้” สิ่งที่ทำได้คือ ทำให้ดีที่สุดในทุกๆ วัน หากผิดพลาดก็เรียนรู้และแก้ไข รวมทั้งขยัน ตั้งใจ มุ่งมั่น เพียงเท่านี้ ความก้าวหน้าในหน้าที่การงานก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

ขนมกินเล่น DIY ทำเองได้ง่ายๆ กินได้อร่อยด้วย

กิจกรรมยามว่าง กินได้อร่อยด้วย ได้ทำสนุกอีก อีกทั้งยังทำกันได้หลายคนด้วย รวมหลากหลายไอเดียที่จะมาdiy ขนมต่าง ๆ ถ้าจะให้เรามาเตรียมอุปกรณ์ วัตถุดิบตั้งแต่เริ่มต้นก็น่าจะหมดแรงไปซะก่อน วันนี้เรามีตัวช่วยดีดี เพียงสั่งทางร้านให้ Delivery มาให้ก็สามารถทำขนม DIY ตามสไตล์เรากันได้เลย

วันนี้มีร้านมาแนะนำ 5 ร้านด้วยกัน มาดูกันเลย

1. ขนมโตเกียว จากร้าน Tokyoclassic.bkk

ขนมโตเกียว จากร้าน Tokyoclassic.bkk

ชุดทำขนมโตเกียว DIY TOKYO CLASSIC เหมือนยกรถเข็นโตเกียวหน้าโรงเรียน มาไว้ที่บ้าน ทางร้านมีบริการเตา และชุดทำขนมให้ด้วยนะ หากสนใจเข้าไปดูได้ที่


2. ขนมเบื้อง DIY – จากร้าน สุขนิยม ขนมครกสิงคโปร์ ประตูผี

ขนมเบื้อง DIY – จากร้าน สุขนิยม ขนมครกสิงคโปร์ ประตูผี

ขนมเบื้อง 2 รสชาติสุดอร่อยที่ลูกค้าโปรดปราน หวานดั้งเดิม และ เค็มทรงเครื่อง เอาไปทำ DIY ตามชอบ ครีมน้อย ไส้เยอะ หรือขอครีมอย่างเดียวก็ได้.


3. Cupcake DIY – จากร้าน leklek.cafe

Cupcake DIY – จากร้าน leklek.cafe

สำหรับสายประดิษฐ์ประดอย ปุ้กปิ้ก มีให้เลือก 2 เซตด้วยกันครืออ เซตแม่สี ชิกๆ และ พาสเทล หวานๆทำ DIY ในวันพิเศษให้กับคนพิเศษ หรือว่าจะทำกินเล่น เป็นครอบครัวก็สนุกไปอีกแบบ

Instagram : https://www.instagram.com/leklek.cafe/
LINE : https://line.me/R/ti/p/%40759nckkz


4. Mini Molten Chocolate Cake – จากร้าน CHEEVIT CHEEVA

Mini Molten Chocolate Cake – จากร้าน CHEEVIT CHEEVA

เค้กเนื้อฟัดจ์ชุ่มฉ่ำด้วยดาร์กช็อกโกแลตแท้ ราดด้วยมูสช็อคโกแลต เนื้อเบาๆ แต่รสชาติเข้มข้น หวานขมกำลังดี โรยด้วยผงโกโก้แท้ นำเข้าจากเนเธอร์แลนด์ D.I.Y Set มาพร้อมชุด Kit และวิธีทำ ที่สามารถเอาไปทำเองได้ง่ายๆที่บ้าน ด้วยการอุ่นเค้กเบาๆ แล้วเอาซองครีมช็อกโกแลตไปแช่น้ำอุ่น ให้ครีมนุ่ม แล้วราดลงบนหน้าเค้ก เกลี่ยให้เรียบ เคาะเบาๆกับโต๊ะให้ครีมค่อยๆไหล จากนั้นเอาซองผงช็อกโกแลต มาโรยหรือร่อนให้ทั่ว ก็เสร็จเรียบร้อย

Facebook : https://www.facebook.com/cheevitcheevacafe


5. Pancake – จากร้าน Pancake Cafe

Pancake – จากร้าน Pancake Cafe

ชุด​ pancake DIY ที่ทำให้ทุกคนทำแพนเค้กง่ายๆ สะดวกได้ ทั้งสนุกทั้งอร่อยได้พร้อมกันได้ทั้งครอบครัว!! ไม่ต้อง​เสียเวลา​ ผสมแป้งงง ตั้งกระทะให้ร้อน พร้อม​​ Flip​ กันเลยย​

Facebook : https://www.facebook.com/PancakeCafeThailand/

สถานการณ์แบบนี้ ไปเที่ยวข้างนอกก็ไม่ค่อยโอเค อยู่บ้าน สั่งขนม DIY มาทำกิจกรรมร่วมกัน สนุกไปอีกแบบ ใครชอบร้านไหน สไตล์แบบไหนก็จัดกันไปเลยจ้า อย่าลืมออกกำลังกายกันด้วยนะคะ ^^

DIY กระป๋องขนม 
ด้วยเชือกปอ

กระป๋องขนมกินเสร็จแล้วอย่าทิ้ง เรามาเปลี่ยนขยะให้เป็นของใช้ที่งานได้ เก๋ไก๋ไม่ซ้ำใคร ราคาถูกมากด้วย ใช้ของที่มีในบ้านก็สามารถทำได้แล้ว มาดูวิธีทำกันเลย

อุปกรณ์

  1. เชือกปอ
  2. กระป๋องขนม 3-4 กระป๋อง
  3. กรรไกร
  4. กาวปืน หรือกาว

วิธีทำ

  1. ล้างกระป๋องขนมให้สะอาด ตากให้แห้ง ใช้เชือกเส้นใหญ่พันขอบด้านบนและล่างของกระป๋อง แล้วติดกาว
  2. เริ่มใช้เชือกเส้นเล็กพันรอบ ๆ กระป๋อง โดยติดกาวจุดแรก แล้วพันให้แน่น ดันขึ้นด้านบนให้แนบสนิท พันเชือกได้ประมาณ 3 แถวแล้วติดกาว
  3. ทยอยพันให้แน่น และทากาวให้ครบทุกกระป๋อง
  4. เมื่อพันเชือกและทากาวแล้ว รอให้แห้ง 
  5. จัดมุมให้สวยงาม กระป๋องเล็กใหญ่ ใส่ดินสอ ปากกา สี ไม้บรรทัด หรือว่าจะเป็นอุปกรณ์เครื่องสำอางค์ก็ยังได้ เก๋ไก๋ เปลี่ยนของไม่ใช้แล้วให้กลับมาใช้งานได้ แถมสวย ไม่ซ้ำใครด้วย

5 คณะสร้างบุคลากรในอาชีพสำหรับอนาคต

หลังจากที่เมื่อเร็วๆ นี้ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ประกาศว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า Facebook จะเปลี่ยนจากบริษัทโซเชียลมีเดียไปเป็นบริษัท ‘Metaverse’ อันเเป็นสภาพแวดล้อม 3 มิติหรือ VR ที่สมจริง

แม้คำว่า Metaverse จะไม่ใช่คำใหม่ซะทีเดียว แต่ก็ต้องยอมรับว่า มาร์ค ทำให้ผู้คนตื่นตัวกับคำๆ นี้มากขึ้น มีการขยับตัว เงี่ยหูฟัง และเตรียมตัวสำหรับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้กันมาก ไม่ว่าจะเป็นหลากหลายอุตสาหกรรม เว็บไซต์ อินเทอร์เน็ต รวมไปถึงการศึกษาที่หลายหน่วยงาน หลายมหาวิทยาลัยและองค์กรการศึกษาทั่วโลกเริ่มที่จะปรับตัวและเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงในโลกอนาคตนี้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปรับหลักสูตรให้ตรงกับความต้องการในอนาคต เช่น คณะบริหารธุรกิจและเศรษฐศาสตร์ (MSME Business School) มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ที่ได้เปิดหลักสูตรใหม่ DDI (Design & Digital Innovation) สาขาวิชาการออกแบบและนวัตกรรมดิจิทัล ถือเป็นหลักสูตรบริหารธุรกิจแห่งอนาคต ที่ผู้เรียนจะได้เรียนรู้ทักษะในรูปแบบใหม่จาก 5 คณะ ได้แก่ 1) ทักษะทางด้านธุรกิจจากคณะบริหารธุรกิจและเศรษฐศาสตร์ 2) ทักษะทางด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม จากคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 3) ทักษะทางด้านการออกแบบและความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ จากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ 4) ทักษะทางด้านการสื่อสารและการนำเสนอแผนงาน จากคณะนิเทศศาสตร์ และ 5) ทักษะทางด้านสังคมและอารมณ์ จากคณะดนตรี ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่มีความครบเครื่องแห่งอนาคต

หรือ เมื่อเร็วๆ นี้มหาวิทยาลัยขอนแก่นได้เปิดตัวโครงการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยผ่านประสบการณ์ในโลกเสมือน หรือ Metaverse experience ดำเนินการโดยสำนักหอสมุด ร่วมกับภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น จัดหาอุปกรณ์ VR headset ใช้งานง่าย และ สามารถ upload educational apps ต่าง ๆ เสริมประสบการณ์การเรียนรู้แก่นักศึกษา เช่น app ที่ช่วยให้นักศึกษา สาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ เรียนรู้และเข้าใจกายวิภาคศาสตร์ของมนุษย์ จากประสบการณ์ในโลกเสมือน ให้เห็นโครงสร้างมนุษย์ในแบบ 3 มิติ เป็นต้น  โครงการสนับสนุนการเรียนรู้ผ่าน metaverse experience ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อกระตุ้นแรงบันดาลใจในการเรียนรู้ของนักศึกษา และบุคลากร ตลอดจนบุคคลทั่วไปที่สนใจ  สนับสนุน เทคโนโลยี โลกเสมือน (Metaverse) มาใช้ในการเรียนการสอน เพื่อเปิดประสบการณ์เรียนรู้ใหม่ให้แก่นักศึกษา  รวมถึงยกระดับการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับโลกปัจจุบัน

ข้างต้นทำให้เห็นว่า การปรับตัวเพื่อตอบรับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้มันจริงจัง และส่งผลกระทบอย่างรุนแรงจนไม่อาจจะวางเฉยได้ ในวันนี้เราจึงขอเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะนำเสนอคณะวิชาต่างๆ ในมหาวิทยาลัยที่จะรองรับอาชีพที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งอาจจะรับประกันได้ว่า เมื่อจบแล้วจะเป็นที่ต้องการอย่างแน่นอน

1. คณะที่เรียนเกี่ยวกับ Programmer, Software Developer และ Game Developer

ต้องยอมรับว่า เกมต่างๆ ในเมตาเวิร์สนั้นพัฒนาไปมาก รวมถึงความก้าวหน้าของ E sport ก็ทำให้ผู้ที่มีความสามารถการเป็นนักพัฒนาเกมและซอฟแวร์ต่างๆ นั้นเป็นที่สนใจมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ไม่ได้มีขึ้นเพื่อความสนุกเหมือนเมื่อหลายปีแล้ว แต่ยังสามารถทำเป็นอาชีพได้อย่างภาคภูมิด้วย โดยสามารถต่อยอดการเป็นนักพัฒนาซอฟแวร์หรือเกมต่างได้ที่

  • คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ แขนงวิชาการพัฒนาสื่อประสมและเกม สถานบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง
  • คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ คอมพิวเตอร์เกมและอีสปอร์ต มหาวิทยาลัยรังสิต
  • คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หลักสูตรเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการออกแบบ มหาวิทยาลัยศิลปากร
  • วิทยาลัยนวัตกรรมและการจัดการ สาขาวิชาการจัดการอีสปอร์ต มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
  • สาขาวิศวกรรมดิจิทัลมีเดียและระบบเกม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต ฯลฯ

2. สถิติธุรกิจและการวิเคราะห์

ด้วยทักษะที่ผสมผสานการวิเคราะห์ข้อมูลกับทักษะธุรกิจและการจัดการจะทำให้ได้เปรียบในตลาดแรงงานในปัจจุบันที่นักธุรกิจหรือบริษัทห้างร้านต่างๆ พยายามหยิบข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) มาวิเคราะห์ตั้งแต่นโยบาย แผน และการปฏิบัติเพื่อสร้างความประทับใจและประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมต่อลูกค้าเสมอ โดยคณะที่เปิดสอนในเรื่องนี้ได้แก่

  • หลักสูตรสถิติศาสตรบัณฑิต (สต.บ.) สาขาวิชาสถิติและวิทยาการข้อมูล / การประกันภัย / เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อธุรกิจ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • สาขาวิชาการจัดการ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
  • การบริหารและการจัดการสมัยใหม่ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีปทุม
  • สาขาการวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

3. คณะเกี่ยวกับศิลปะ

สำหรับน้องๆ ที่หลงรักงานศิลปะและอยากมีอาชีพจากสิ่งที่ตนเองรัก อาทิ กราฟิกดีไซน์ ผู้กำกับศิลป์ นักออกแบบแอนิเมชั่น ดิจิทัล มีเดีย โมชั่นกราฟิก นักออกแบบภาพประกอบ  นักออกแบบผลิตภัณฑ์ นักวิจัยและวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ นักออกแบบลายผ้า นักออกแบบเครื่องประดับ นักวิจัยศิลปะ UX/UI Design สามารถเลือกเรียน สาขาต่าง ๆ ได้ดังนี้

  • ภาควิชานฤมิตรศิลป์ สาขาเรขศิลป์ (กราฟิก) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • ภาควิชาออกแบบทัศนศิลป์ สาขาออกแบบผลิตภัณฑ์/สาขาออกแบบแฟชั่น/สาขาศิลปะเครื่องประดับ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
  • สาขานิเทศศิลป์ มหาวิทยาลัยบูรพา
  • สาขาวิชานิเทศศิลป์/สาขาวิชาภาพพิมพ์และอิลัสเตรชั่น  สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง
  • คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาขาเทคโนโลยีมัลติมีเดียและแอนิเมชั่น วิทยาลัยสันตพล อุดรธานี และมหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ
  • สถาบันกันตนา หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาแอนิเมชั่น เป็นต้น

4. สาขาการตลาดดิจิทัล คณะบริหารธุรกิจ

เป็นที่ทราบกันดีว่าช่วงที่ผ่านมา โควิดทำให้หลายสิ่งหยุดชะงักและผู้คนมากมายย้ายตัวเองไปอยู่บนแพล็ตฟอร์มออนไลน์ ทำให้หลายๆ ทักษะในรูปแบบดิจิทัลเป็นที่ยอมรับกันอย่างเปิดกว้างมากขึ้น การตลาดดิจิทัลก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น โดยจะมีการปรับการตลาดแบบเดิมให้ทำงานร่วมกันกับเทคโนโลยีต่างๆ เป็นนักวางแผนกลยุทธ์การตลาดดิจิทัล นักพัฒนาธุรกิจดิจิทัล นักการตลาดออนไลน์ และนักสื่อสารการตลาดออนไลน์ โดยคณะที่สนับสนุนสายอาชีพนี้ได้แก่

  • สาขาวิชาการตลาดดิจิทัล คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
  • สาขาวิชาการตลาดดิจิทัล คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีปทุม
  • สาขาวิชาการตลาดดิจิทัล และนวัตกรรมค้าปลีก มหาวิทยาลัยรังสติ
  • หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาการตลาดดิจิทัลและการสร้างแบรนด์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
  • คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี สาขาการตลาด จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • สาขาวิชานวัตกรรมและการแปรรูปทางดิจิทัล วิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

5. จิตวิทยา

ในปัจจุบันด้วยข้อมูลข่าวสาร ภาวะโรคระบาด ความเครียดในการดำรงชีวิตและอื่นๆ ทำให้ผู้คนมีปัญหาเรื่องเกี่ยวกับสภาพจิตใจภายในมากขึ้น ที่สำคัญคือ การไปหานักจิตวิทยาเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้รับการยอมรับมากขึ้น จนหลายครั้งเกิดปัญหาต้องรอนัดนาน หรือนักจิตวิทยามีไม่เพียงพอ ทำให้มีความเป็นไปได้สูงว่า หากเรียนจบคณะที่เกี่ยวกับจิตวิทยา ความเสี่ยงในการว่างงานจะลดน้อยลง

โดยจิตวิทยาแบ่งออกเป็นสาขาต่างๆ ดังนี้ จิตวิทยาทั่วไป (General Psychology) จิตวิทยาการศึกษา (Educational Psychology) จิตวิทยาคลินิก (Clinical Psychology) จิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ (Industrial Psychology) จิตวิทยาพัฒนาการ (Developmental Psychology) จิตวิทยาสังคม (Social Psychology) จิตวิทยาการทดลอง (Experimental Psychology) จิตวิทยาชุมชน จิตวิทยาการปรึกษา (Counseling Psychology) จิตวิทยาการแนะแนว

สำหรับมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนได้แก่

  • สาขาจิตวิทยา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
  • คณะจิตวิทยา สาขาจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • สาขาจิตวิทยาคลินิก/สาขาจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ คณะมนุษย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • สาขาจิตวิทยาคลีนิค/สาขาจิตวิทยาการการปรึกษา/สาขาจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ คณะจิตวิทยา วิทยาลัยเซนต์หลุยส์
  • สาขาจิตวิทยา คณะมนุษย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
  • สาขาจิตวิทยา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
  • สาขาวิชาจิตวิทยาการปรึกษาและการแนะแนว คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
  • สาขาวิชาจิตวิทยา วิชาเอกจิตวิทยาการปรึกษา/วิชาเอกจิตวิทยาคลินิกและชุมชน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

ฯลฯ

ยุคสมัยที่เดินหน้าอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ทำให้เราต้องเตรียมพร้อมและรวดเร็วในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ต้องเข้าใจถึงนวัตกรรมที่ทันสมัย มีความคิดสร้างสรรค์ให้เหมาะกับการเปลี่ยนแปลง ต้องเข้าใจผู้คนมากขึ้นเพื่อสื่อสารสิ่งต่างๆ ออกมาให้น่าสนใจ พร้อมทั้งมีทักษะในการใช้ชีวิตให้ดีเพื่อตัวเองและสังคมที่ไม่ว่าจะเป็นสังคมที่แท้จริง หรือสังคมเสมือนที่กำลังจะมาถึงอย่างปฏิเสธไม่ได้อย่างมีความสุข

//////////

เปิดโลกอบอุ่น สานสายใยรักครอบครัว 5 นิทานเติมเต็มจินตนาการและความสุข

โลกของนิทานเป็นโลกแห่งจินตนาการ นิทานต่อยอดจินตนาการกว้างไกลให้เด็กๆ นิทานเต็มไปด้วยคติสอนใจ และนิทานยังเป็น “สะพานเชื่อม” สายใย “ความรักความผูกพัน” ระหว่างพ่อแม่ลูกให้กระชับแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นไปอีก

กุดจี่-พรชัย แสนยะมูล นักเขียนอารมณ์ดี – กวีอารมณ์ขัน ศิลปิน บรรณาธิการร่วมสมัย ที่อ่านนิทาน เรื่องสั้น นิยาย บทกวี มามากมายตั้งแต่เด็กๆ และเขียนนิทานนามปากกา “พี่กุดจี่” 170 เล่มแล้ว มาบอกเล่าถึงประโยชน์ของนิทานที่ดีสำหรับเด็กๆ พร้อมแนะนำเคล็ดลับการเลือกนิทาน และเลือก 5 นิทานในดวงใจมาแนะนำให้พ่อแม่ผู้ปกครองหามาอ่านให้เด็กๆ ฟัง

นิทานมีประโยชน์สำหรับเด็กอย่างไร

“ต่อให้โลกพัฒนาไปไกลแค่ไหน เทคโนโลยีพัฒนาไปไกลแค่ไหนก็ตาม เราลองมองย้อนกลับไปโลกวัยเยาว์พาเรามาถึงวันนี้ได้ก็เพราะนิทาน นิทานมีคติสอนใจ ไม่ว่านิทานอีสป นิทานพื้นบ้าน นิทานจักรๆ วงศ์ๆ รวมทั้งนิทานสมัยใหม่ ที่พิมพ์ออกมาเป็นพ็อกเก็ตบุ๊ก พิมพ์ออกมาเป็นนิทานภาพ”

“นิทานคือสิ่งที่ทำให้ความรักความผูกพันระหว่างพ่อแม่กับลูกได้สานสายใยต่อกัน ขณะที่ลูกนั่งตักพ่อแม่ พ่อแม่อ่านหนังสือนิทานให้ลูกฟัง ลูกก็จะซึมซับความอบอุ่น สายใยรักที่พ่อแม่ถ่ายทอด ผ่านน้ำเสียง ผ่านภาพที่เราเปิดให้เด็กฟัง และที่สำคัญ คติสอนใจ ที่คนเขียนมอบให้ผ่านตัวหนังสือ ผ่านรูปภาพ ศิลปะในการจัดหน้ากระดาษ ศิลปะในการวาดภาพ ศิลปะในการเล่าเรื่องจะซึมซับผ่านการบอกเล่า ผ่านการอ่านนิทานภาพให้เด็กฟัง มีความสำคัญมาก เพราะช่วงแรกเกิดถึง 6 ขวบ เป็นช่วงที่สมองเด็กเปิดรับทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอีคิว ไอคิว เอ็นคิว ต่างๆ นานา สิ่งที่มีความสำคัญต่อเด็กทางอารมณ์ ทางสติปัญญา ทางความฉลาดเฉลียว รวมทั้งความอารมณ์ดีต่างๆ ความสุนทรีต่างๆ มันจะผ่านตัวหนังสือ ผ่านนิทานเหล่านี้”

“เพราะในนิทาน มีตัวละคร มีฉาก มีความขัดแย้ง มีการแก้ปัญหา มีการคลี่คายของปัญหา จนสุดท้าย นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…”

“นิทานเหมือนย่อปัญหาต่างๆ มาให้เราได้เรียนรู้ ซึ่งผู้ใหญ่ก็สามารถอ่านนิทานได้”

เด็กวัยไหนเหมาะกับนิทานแบบไหน?

” เด็กแรกเกิดถึง 6 ขวบ เหมาะอย่างยิ่งที่จะอ่านนิทานให้ฟัง โดยกว้างๆ เด็กแรกเกิดถึง 2 ขวบ เราอาจยังไม่ต้องเล่านิทาน แค่พูดคุยกับเด็กด้วยน้ำเสียงดีๆ มีรอยยิ้ม และเปิดเพลงบรรเลงให้เด็กฟัง ยังไม่ต้องมีถ้อยคำก็ได้ โตขึ้นมาหน่อยก็อ่านนิทานให้เด็กฟัง ซึ่งนิทานมีหลากหลายมาก เช่น นิทานจิตวิทยา นิทานสอนให้เด็กมีมารยาท ให้เด็กมีน้ำใจกับเพื่อน มันจะแฝงเรื่องเล่าที่ให้เปี่ยมไปด้วยจินตนาการ”

นิทานที่ดีต้องเป็นอย่างไร?

“นิทานที่ดี ต้องมีถ้อยคำ เรื่องราวที่เหมาะสม เสริมสร้างสติปัญญา เสริมสร้างอารมณ์สุนทรีย์ ลดความรุนแรงของอารมณ์ ไม่มีคำหยาบคาย ไม่มีความรุนแรง มีความอ่อนโยน ทั้งภาพ เนื้อหา เรื่องราว และมีคติสอนใจ บางทีคติสอนใจอาจจะบอกตรงๆ แบบนิทานอีสปก็ได้ แต่บางครั้งไม่ต้องก็ได้ ก็มีเรื่องราว และมีคำที่อมความให้เด็กๆ ซึบซาบไป โดยที่ไม่ต้องบอกตรงๆ ก็ได้”

“ที่เน้นว่านิทานต้องไม่หยาบคาย และไม่มีถ้อยคำที่รุนแรง เพราะเด็กเหมือนผ้าขาว ถ้าเราให้สิ่งไม่ดีเข้าไป เด็กจะซึมซับ เป็นจุดด่างดำ เด็กไม่ใช่ใบไม้ด่าง ที่พอด่างแล้ว ถึงจะมีคุณค่า พอถึงช่วงหนึ่ง เด็กจะเรียนรู้ว่า โลกเต็มไปด้วยสีเทา สีดำมากมาย เด็กต้องมีกำแพงสีขาวป้องกันสีดำ สีเทาที่จะเข้ามาจากข้างนอกมากระทบเรา เรารู้ว่าโลกนี้เต็มไปด้วยสีเทา เรารู้ว่าโลกนี้เต็มไปด้วยสีดำ แต่หัวใจเรา เราต้องรักษาให้มันขาวไว้ ไม่ใช่ว่าโลกสวย และปฏิเสธว่าโลกนี้ไม่ดำ ไม่เทา เรารู้เราเห็นสีดำ สีเทา แต่เราเรียนรู้ที่จะปกป้องหัวใจของเราให้เป็นสีขาวเท่าที่จะขาวได้ แต่ถึงเวลาหนึ่งมีสีดำ สีเทา ซึมเข้ามาในหัวใจ เราก็ต้องพร้อมที่จะให้อภัยตัวเอง และคนอื่น และเริ่มต้นระบายสีขาวลงไปในหัวใจเราใหม่”

5 นิทานที่พี่กุดจี่ประทับใจ และแนะนำนิทานที่อยากให้เด็กๆ อ่าน?

“จริงๆ มีเยอะมาก ในแต่ละช่วงวัน-เวลา ผมอ่านนิทานเยอะมาก ทั้งนิทานอีสป และนิทานแปล นิทานร่วมสมัย” พี่กุดจี่ออกตัว จากนั้นเริ่มแนะนำนิทานเล่มแรก

1. เรื่อง “พี่น้อง 999 ตัว ย้ายบ้าน”  เรื่อง : เคน คิมมูระ ภาพ : ยาสุนาริ มูรากามิ

“เป็นนิทานของญี่ปุ่น ที่พูดถึงการเดินทางของกบ พูดถึงความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก พูดถึงความรักที่ลูกมีต่อพ่อแม่ และพูดถึงอันตรายที่เกิดขึ้นระหว่างเส้นทาง ไม่ว่าจะงูหรือเหยี่ยวก็ตาม แต่สุดท้ายด้วยความรักที่พ่อมีต่อแม่ หรือความรักที่ลูกมีต่อพ่อแม่ หรือพ่อแม่มีต่อลูก ทำให้ครอบครัวของกบ 999 ตัวสามารถที่จะเดินทางฝ่าฟันอุปสรรคไปสู่ความสุขในบ่อน้ำแห่งใหม่ได้ ผมชอบมากเลย โดยใช้คำน้อยแต่กินใจความมาก ก่อให้เกิดจินตนาการสำหรับเด็กๆ และความสนุกสนาน”


2. เรื่อง “ปลา ก็คือ ปลา”  เรื่องและภาพ : ลีโอ ลิออนนี แปล : อริยา ไพฑูรย์

“นิทานเรื่องนี้ สอนว่า บางทีเราอยู่ในบริบทสิ่งแวดล้อมเดิมๆ เราอาจจะเกิดความเบื่อ ปลาอยู่ในน้ำก็เบื่อน้ำ อยู่บนฟ้าก็เบื่อฟ้า วันหนึ่งฟ้าอยากจะเป้นนก นกอยากจะเป็นปลา นิทานก็บอกเด็กๆว่า เราต้องยอมรับในสิ่งแวดล้อมของเรา เราต้องยอมรับว่าเราเป็นใคร เราถนัดอะไร อะไรเหมาะกับเรา เราต้องเป็นตัวของตัวเอง ปลาต้องอยู่ในน้ำ นกต้องอยู่บนฟ้า ปลาถ้าไปอยู่บนฟ้ามันก็ตาย นกถ้าไปอยู่ในน้ำมันก็ตาย นิทานเรื่องนี้สอนอะไรได้เยอะมาก”


3. เรื่อง “พระจันทร์อร่อยไหม” เรื่องและภาพ : ไมเคิล เกรจ์เรียช แปล : ปรีดา ปัญญาจันทร์

“เรื่องนี้เต็มไปด้วยจินตาการ เป็นเรื่องของสัตว์ต่างๆ มองเห็นพระจันทร์ แล้วอยากจะกิน พระจันทร์น่ากิน ก็เลยหาวิธีการที่จะกิน จึงมาสามัคคีต่อตัวกัน ยืนบนหลังกัน เอื้อมมือไปถึงพระจันทร์เอื้อมที่จะกิน ทางฝ่ายพระจันทร์ก็หลงเข้าใจผิดว่า สัตว์เหล่านี้กำลังเล่นซ่อนหากับตน ก็เลยเขยิบตัวออกไป สุดท้ายมีหนูตัวหนึ่งเอื้อมถึง หนูเป็นสัตว์ตัวเล็กที่สุดที่ต่อหลังกัน หนูก็บิพระจันทร์และมาแบ่งกับเพื่อนๆ นิทานน่ารักดี และแบ่งปันกัน”

“จากพระจันทร์เต็มดวงก็กลายเป็นพระจันทร์เสี้ยว ขณะที่ตัดฉากมาตอนจบ ปลาเห็นเงาพระจันทร์อยู่ในน้ำ ก็คิดว่า ไม่เห็นต้องต่อแถวกันเลย เราอยู่ในน้ำก็ได้กินพระจันทร์แล้ว เรื่องนี้เต็มไปด้วยจินตนาการและเต็มไปด้วยมุมมอง คนอยู่บนบกอาจจะเห็นมุมมองหนึ่ง คนอยู่ในน้ำอาจจะเห็นมุมมองหนึ่ง สะท้อนให้เห็นว่า สังคมเราเต็มไปด้วยคนที่หลากหลายมุมมอง เราจะอยู่ด้วยกันอย่างไร อย่างมีความสุข รู้จักแบ่งปัน และต้องยอมรับมุมมองที่แตกต่างกัน ก็ทำให้เราได้ย้อนมองสังคมของเราด้วย ซึ่งก็แล้วแต่จะตีความ”


4. เรื่องๆ “ก๊อก ก๊อก ขอค้างคืนหนึ่ง” เรื่อง : ทัน โคอิเดะ , รูป : ยาสุโกะ โคอิเดะ , แปล : พรอนงค์ นิยมค้า

“เป็นเรื่องของสัตว์หลงทางในค่ำคืนที่เหน็บหนาว และไปเจอบ้านร้างหลังหนึ่ง ก็เคาะประตูเข้าไป ไม่มีใครอยู่ แต่ก็ไปนอนอยู่บนเตียง และมีสัตว์ตัวอื่นมาเคาะประตู เข้าไปนอนอยู่บนเตียงรวมกันหลายตัวมาก ไม่รู้บ้านใคร แต่สัตว์ที่หลงทางมาก็มาอบอุ่นอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน สุดท้าย เจ้าของบ้านก็มา เป็นหมีรูปร่างน่ากลัว ทุกคนก็กลัวว่าหมีจะมาทำอะไร แต่กลับกลายเป็นว่า หมีเจ้าของบ้านเป็นหมีใจดี ให้สัตว์ทุกตัวได้คลายหนาว โดยต้มซุปให้สัตว์ให้กิน”

“เป็นนิทาน ที่เปี่ยมไปด้วยความสนุก เปี่ยมไปด้วยการผจญภัย และมีน้ำใจแบ่งปันกัน โดยภาพลักษณ์ของหมีที่สื่อมา หลายคนอาจจะกลัว แต่นิทานก็บอกเป็นนัยยะว่า อย่าตัดสินคนจากภายนอก”

“น่ารัก น่าสนใจ และเปี่ยมไปด้วยจินตนาการ”


5. เรื่อง “ช้างน้อยอยากจะเป็น”

“เป็นนิทานของผมเอง ลูกสาววาดภาพประกอบไว้ตั้งแต่เด็กๆ ส่วนผมเป็นคนเขียนเรื่อง โรงเรียนนานาชาติฝรั่งเศสนำไปสอนเด็ก เป็นนิทานร้อยแก้วที่ผมไม่ค่อยได้เขียน ส่วนใหญ่เขียนเป็นร้อยกรอง ซึ่งผมเขียนนิทานเยอะ แต่ชอบนิทานเรื่องนี้มาก”

“ช้างน้อยอยากจะเป็น สอนให้เด็กรู้ว่า บางทีเด็กมีความใฝ่ฝัน อยากจะเป็นนู่น อยากจะเป็นนี่ อยากเป็นยีราฟคอยาวๆ อยากจะเป็นหอยทาก อยากจะเป็นเสือชีต้า จะเป็นคู่ขนานและเกิดข้อเปรียบเทียบ นิทานจบก็ไม่จบ แต่จะเติมเต็มให้เด็กอยากจินตนาการต่อว่าอยากจะเป็นอะไร ที่เหลือก็เลือกที่เราเหมาะ อย่าเป็นแบบคนอื่น”

พรชัย ทิ้งท้ายว่า หนังสือนิทานมีเยอะมาก ต้องอ่านเยอะๆ จะทำให้เราเป็นคนที่ยอมรับความหลากหลาย ยอมรับความแตกต่าง

“การอ่านนิทานช่วยปลูกฝังเด็กมากมาย ถ้าเราปล่อยให้เด็กร้างไร้นิทาน จินตนาการของเด็กจะไม่ถูกเติมเต็ม นักวิชาการท่านหนึ่งได้บอกว่า บางครั้งเราไปเปลี่ยนจิตสำนึกของเด็ก ตอนเป็นวัยรุ่นก็สายเกินไป เราต้องเราปลูกฝังจิตใต้สำนึก คุณธรรมดีๆ สิ่งดีๆ ตั้งแต่แรกเกิด-6 ขวบก็จะติดตัวเด็กไป โตขึ้นเด็กก็จะจำได้”

“นิทานสอนให้เด็กมีมุมมอง มีความอ่อนโยนที่หลากหลาย และกลายเป็นคนมองโลกในแง่บวก ยิ่งโลกปัจจุบันเต็มไปด้วยความเครียด ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ โควิด เราจะผ่านมันไปได้ด้วยนิทาน ต่อให้โลกก้าวไกลไปแค่ไหน เด็กๆ ต้องมีกำแพงสีขาวนี้กั้นไว้ในหัวใจ” พรชัยทิ้งท้าย

DIY กระเป๋าผ้า เก๋ไก๋ ไม่ซ้ำใคร

อยากเปลี่ยนกระเป๋าผ้า เสื้อยืดให้เป็นลายใหม่เก๋ไก๋ไม่ซ้ำใคร มีใบเดียวในโลก ทำไว้ใช้เองก็แนว ทำขายก็ได้ราคาดี วาดรูปในแบบของเรา แล้วเปลี่ยนภาพวาดมาเป็นของใช้ ทำเองไม่ยากเลย ขั้นตอนง่าย ๆ มาเตรียมอุปกรณ์กัน

อุปกรณ์

  1. กระเป๋าผ้า/เสื้อยืด
  2. กระดาษ A4 สีขาว
  3. เตารีด
  4. ดินสอ ยางลบ
  5. สีชอล์คเขียนผ้า

วิธีทำ

  1. วางกระดาษสีขาวใต้ผ้าบริเวณที่ต้องการเพ้นท์ เพื่อกันเปื้อนด้านใน แล้ววาดลายภาพที่ต้องการลงบนกระเป๋าที่เตรียมไว้ ( ไม่ต้องลงรายละเอียดเยอะ )
  2. ระบายสี โดยใช้สีชอล์คเขียนผ้าระบายด้านในก่อน (ถ้าหากจะใช้สีดำ ให้ใช้หลังสุด เพื่อป้องกันเลอะ)
  3. ระบายสีตกแต่งให้สวยงาม เก็บรายละเอียดสี ลงสีให้เข้ม
  4. นำกระดาษสีขาววางทับบนภาพที่วาดไว้ แล้วรีดให้ทั่ว จนน้ำมันจากสีซึมออกมาบนแผ่นกระดาษที่วางไว้
  5. จะได้กระเป๋าสีสันสดใส นำไปซักสีก็ไม่หลุดติดทนนาน เก๋ไก๋ไม่ซ้ำใคร จะรับจ๊อบ
ทำกระเป๋า DIY Handmade ใบเดียวในโลกก็ยังได้นะ

เว็บไซต์นี้มีการใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายคุกกี้และ นโยบายในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า