DIY – Template New Year’s Resolution 2022 มาร่วมกันตั้งเป้าหมายปณิธานปีใหม่กัน

New Year’s New Me

ใกล้จะถึงปีใหม่แล้ว เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดอีกช่วงเวลานึง ก่อนที่จะถึงปีใหม่นั้น ก็เป็นช่วงที่ดีที่ได้มีโอกาสได้มองย้อนกลับไปในปีที่ผ่านมา ใช้เวลากับตัวเองและครอบครัว เช่น ได้พูดคุยกันถึงช่วงเวลาที่ดีที่สุดในปีที่ผ่านมา สิ่งไหนที่ชื่นชอบ / ไม่ชอบเกี่ยวกับความสำเร็จในสิ่งที่ผ่านมา เรามาตรวจสอบเป้าหมายทั้งหมดที่เคยได้ตั้งไวในช่วงหลาย ๆ เดือนที่ผ่านมา

เรามาใช้โอกาสในช่วงเวลานี้ ทิ้งความล้มเหลวผิดพลาดทั้งหมดไว้ (เพราะว่ามันเกิดขึ้นแล้ว อย่าไปกังวลสิ่งที่ผ่านมา) เรามากดปุ่ม Reset แล้วเริ่มก้าวเข้าสู่ปีใหม่ปี 2565 ด้วยความตั้งมั่น และตั้งใจกับเป้าหมายใหม่ด้วยกัน

ถ้าหากให้ย้อนมองกลับไปในปีที่ผ่านมา คิดว่าคงเป็นปีที่ไม่สนุกหลายๆ อย่างสำหรับหลาย ๆ คน โดยเฉพาะเหตุการณ์สำคัญนั่นก็คือ สถานการณ์โควิด-19 ทำให้เกิดผลกระทบทุก ๆ ส่วน นักเรียน นักศึกษาก็ต้อง Learn Form Home ไม่ได้เจอเพื่อน ๆ อยู่แต่หน้าจอ แต่ในปีหน้านี้ก็จะดีขึ้นแล้วทุกคน จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่แน่นอน และเรามาเตรียมพร้อมฉลองต้อนรับปีใหม่ 2565 ด้วยความระมัดระวังและดูแลตัวเองให้ดีที่สุด เพื่อป้องกันและห่างไกลจากโรคโควิด-19

ก่อนที่จะเริ่มต้นปีใหม่ เรามาวางเป้าหมาย ตั้งปณิธาน ในปี 2565 กัน โดยทางทีมได้ทำการออกแบบรูปแบบ Template ใช้เขียนในรูปแบบที่เรียบง่าย มีทั้งหมด 5 ไฟล์ด้วยกัน สามารถดาวน์โหลดไปใช้งานกันได้เลย

ตัวอย่าง New Year’s Resolution

  • เรียนรู้ทักษะใหม่อย่างน้อย 1 อย่าง
  • นอนหลับพักผ่อน 7­-8 ชั่วโมง
  • ออกกำลังกายสัปดาห์ละ 2-5 วัน
  • ตั้งเป้าเก็บเงินแสนให้ได้ใน 1 ปี
  • ทำบุญเดือนละ 1 ครั้ง
  • อ่านหนังสือเดือนละ 1 เล่ม
  • ทำบัญชีรายรับรายจ่าย
  • ทำบันทึกความสุข
  • เล่นโทรศัพท์ Social ให้น้อยลง

5 ไฟล์ประกอบด้วย

  1. เป้าหมายปี 2565
  2. ตั้งเป้าหมายปณิธานของปี 2565
  3. ตั้งเป้าหมายในแต่ละเดือน
  4. มองย้อนกลับไปปี 2564
  5. สิ่งที่ตั้งใจในปี 2565

ก่อนจะหมดปี 2564 นี้ เรามามองย้อนกลับไปและทบทวนสิ่งที่ผ่านมา แล้วมาเริ่มกำหนดเป้าหมาย ตั้งความหวัง กำหนดปณิธานด้วยกัน เขียนบันทึกไว้เป็นความตั้งใจของเรา ว่าปีหน้า 2565 นี้มีความหวัง ความฝัน สิ่งที่ตั้งใจต่าง ๆ ทั้งหมดบันทึกลงในไฟล์นี้ เมื่อถึงสิ้นปี เรามาอ่านกันว่าทำได้กันกี่ข้อ

ขอให้ปีหน้า ปี 2565 นี้เป็นปีที่ดีสำหรับทุกคนนะคะ 🙂

ดาวน์โหลดฟรี

ปรับคำดูถูกเป็นแรงผลักดัน… “ฝ้าย ใช้เท้าแต่งหน้า” เน้นสร้างคุณค่าในตัวเองมากกว่า หยุดการบูลลี่จากคนอื่น

หลายคนอาจจะมองว่าคนพิการนั้นน่าสงสาร เพราะมีความแตกต่างจากคนปกติ ในเรื่องของกายภาพจนไม่สามารถทรงคุณค่าในตัวเองได้ แต่สำหรับ “ฝ้าย ใช้เท้าแต่งหน้า” หรือ “ฝ้าย บุญธิดา ชินวงษ์” บิวตี้บล็อกเกอร์ชื่อดัง ผู้มีร่างกายผิดปกติมาตั้งแต่กำเนิด แม้จะไม่มีแขน มีขาขวา ขาซ้ายที่ไม่เท่ากัน มีปอดเพียงข้างเดียว และหลังคด กลับไม่เคยคิดแบบนั้น เธอกลับมองว่าตัวเองได้ผิดปกติหรือแตกต่างจากคนอื่นเลย แถมยังคอยสร้างเสียงหัวเราะ รอยยิ้ม และแรงบันดาลใจให้กับสาวๆ อีกมากมาย ในเรื่องของความสวยงามในแบบฉบับของตนเอง ด้วยการทำคลิปแต่งหน้าด้วยเท้าเป็นร้อยคลิปผ่านทาง Facebook, TikTok และ YouTube จนเป็นที่รู้จักและได้ยอมรับจากแบรนด์สินค้า และแฟนคลับทั่วประเทศ ในเรื่องของการก้าวข้ามคำ Bullying หรือ Body Shaming แต่กลับมุ่งมั่นตามความฝัน และสร้างคุณค่าในตนเองจนประสบความสำเร็จ เปลี่ยนคำสบประมาทดูถูกให้กลายเป็นแรงผลักดันให้ชีวิตดียิ่งขึ้น ได้เป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้ามากมาย และสร้างรายได้ให้กับครอบครัว จนมีแบรนด์เครื่องสำอางเป็นของตัวเอง ด้วยวัยเพียง 22 ปีเท่านั้น!!!

ซึ่ง “ฝ้าย” ที่ปัจจุบันศึกษาอยู่ชั้นปี 3 ในคณะนิเทศศาสตร์ สาขาสื่อดิจิตอลและการสร้างสรรค์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ได้เล่าถึงวิถีชีวิต แนวคิด และแรงบันดาลใจในเรื่องนี้ อย่างมีความสุข และสนุกสนานว่า ตอนที่ตัดสินใจทำคลิปแรกในการใช้เท้าแต่งหน้า ก็เริ่มมาจากความคิดง่าย ๆ ของเด็กสาวคนหนึ่ง คือ อยากสวยเหมือนเพื่อนๆ

“ตอนนั้นอยู่ชั้นมัธยมปลายและเริ่มเป็นสาวแล้ว เลยไปหาคลิปในยูทูปดูว่า วิธีแต่งหน้าใสๆ ไปโรงเรียนต้องทำยังไง ดูเสร็จฝ้ายก็มาแต่งและลองทำคลิปตามเลย ตอนแรกคิดว่าอยากเล่นสนุกๆ เฉยๆ เลยบอกเพื่อนไปว่าจะลงคลิปแต่งหน้านะดูไหม? เพื่อนถามกลับว่าแต่งยังไง? ฝ้ายเลยบอกว่าจะใช้เท้าแต่ง เพื่อนว่ากล้าลงก็กล้าดูนะ ฝ้ายก็เลยตัดสินใจทำเลยค่ะ สรุปว่าเพื่อนแชร์ออกไปแล้วมีคนแชร์ต่อเยอะมาก ยอดไลค์คืนเดียวเกือบแสน ทั้งๆ ที่ตอนทำคลิป เรามีอุปกรณ์แค่ 3 อย่างคือ แป้ง ลิปสติก และดินสอเขียนคิ้วเท่านั้น  แล้วตอนที่แต่งออกมา ก็คือไม่ได้ออกมาสวยอะไรด้วย เรียกได้ว่าบ้งเลยดีกว่าค่ะ คือมันแย่มาก คิ้วโก่งเป็นสะพานพระรามแปดเลย (หัวเราะ) ก็มีคนเข้ามาคอมเมนท์ ทั้งชมและให้กำลังใจ แล้วก็มีที่มาบูลลี่เรื่องเสื้อผ้า เรื่องแขนของเราด้วย ว่าจะถ้าอยากดัง ต้องไปตัดแขนเหมือนเราไหม ต้องใส่เสื้อผ้าปลอมแบบนี้ไหม ซึ่งตอนนั้นฝ้ายก็ไม่ได้คิดอะไรค่ะ เสื้อที่ฝ้ายใส่ในคลิปฝ้ายก็ไม่รู้ว่ามันของจริงของปลอมอะไรเลย เลยคิดว่าเขาคงจะแซวเล่นๆ สนุกๆ หรือเปล่า บางคนก็มีมาคอมเม้นท์ว่า อย่างเราคงไม่มีเงิน ไม่มีปัญญาใช้ของแท้หรอกอะไรแบบนั้น

ซึ่งถ้าถามว่าฝ้ายรู้สึกแย่กับคำพูดหรือคอมเมนท์เหล่านั้นไหม ฝ้ายไม่ได้สนใจเลยนะคะ คิดว่าเราอยากทำอะไรก็ทำ เราเอาเวลาไปใส่ใจกับคอมเม้นท์ดีๆ ที่เขามองว่าเราเป็นกำลังใจ เป็นแรงบันดาลใจให้เขาดีกว่า เลยทำให้ฝ้ายอยากจะทำคลิปต่อไปอีกมากกว่า

ฝ้ายมองว่าการที่เขาชอบบูลลี่คนอื่น นั่นก็เพราะว่าเขาอยากให้เราเดินตามเกมเขา เลยพูดเล่นเอาสนุกกันเฉยๆ ซึ่งนั่นก็เป็นแค่จุดสีดำจุดเล็กๆ บนกระดาษขาวแผ่นใหญ่ เป็นแค่คนกลุ่มเล็กๆ ที่พยายามแต่จะพ่นคำแย่ๆ ใส่คนอื่นเท่านั้น เราจึงควรโฟกัสที่กระดาษสีขาวทั้งแผ่นมากกว่า อย่าไปให้ค่ากับจุดเล็กๆ แบบนั้น เพราะจริงๆ แล้ว ฝ้ายไม่เคยมอง หรือคิดว่าตัวเองแตกต่างจากใครเลย แต่ด้วยความที่บางทีคนปกติมักจะตีกรอบคนพิการว่าน่าสงสารนะที่แตกต่าง แต่ฝ้ายมองต่างและอยากให้ลองเปลี่ยนมุมมองตรงนี้ดูนะคะ ไม่อยากให้ใช้คำว่า ”สงสาร” แต่อยากให้เปลี่ยนเป็นคำว่า “ส่งเสริม” มากกว่าค่ะ ส่วนใครที่ชอบพูดแย่ๆ ใส่เราก็ไม่ต้องไปสนใจเขา ให้มองคนที่รักและแคร์เราอีกมากมายดีกว่า ตัวฝ้ายเองก็ได้เจอเพื่อน และมีครอบครัวที่ดีๆ ที่น่ารัก ฝ้ายเลยมองว่า เราควรหันมาทำชีวิตเราเองให้ดีๆ กว่า สร้างคุณค่าให้กับตัวเองดีกว่าค่ะ ไม่ต้องไปเปลี่ยนใคร เริ่มความคิดของตัวเรา”

ซึ่งทำให้สาวน้อยของเราภูมิใจในตัวเองมาก

“ฝ้ายรู้สึกดีใจและภูมิใจในตัวเองเลยค่ะ ที่เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับในวันนี้ พ่อกับแม่ก็ดีใจและภูมิใจที่เรามาจนถึงจุดนี้ เพราะตอนเด็กๆ เป็นคนไม่มีความฝัน แต่พอได้ลองทำ ก็เอ๊ะ!!! เราก็ทำได้นี่ เลยอยากให้ทุกคนภูมิใจในคุณค่าของตัวเองอย่างที่ฝ้ายรู้สึกภูมิใจมากๆ เช่นกันค่ะ”

วันนี้สาวน้อยที่ฟันฝ่าทุกคำบูลลี่มาแล้วจึอยากส่งกำลังใจให้น้องๆ พี่ๆ เพื่อนๆ ที่ต้องเจอกับเรื่องของการบูลลี่ หรือเผชิญกับคำสบประมาทต่างๆ

“ฝ้ายขอเป็นกำลังใจเล็กๆ ให้ตรงนี้ ทุกคนคือคนที่เก่งมากๆ ไม่ว่าจะผ่านหรือเจอกับปัญหาอะไรมา ถ้าผ่านมาได้ คือเก่งมากๆ แล้ว ใครที่กำลังตามหาความฝัน หรืออยากทำอะไรอยู่ ฝ้ายอยากให้ลงมือทำเลยค่ะ ไม่ต้องรอเวลา ไม่ต้องฟังคำใคร ว่าเค้าจะว่าหรือจะชมเรา เดินหน้าทำสิ่งที่อยากทำไปเลยให้เต็มที่ แล้วเราจะรู้เองว่าเราทำได้หรือไม่ ตอนนี้ฝ้ายมีรายการในยูทูปเป็นของตัวเอง ชื่อว่า “แล้วแต่ตีน” รายการนี้ฝ้ายทำหน้าที่พิธีกรเอง ทำงานร่วมกับทีม เพราะอยากให้เห็นว่า คนพิการก็มีศักยภาพนะ มีความสามารถ และทำอะไรในแบบที่คนทั่วไปทำได้เหมือนกัน ให้เห็นว่าฝ้ายเองก็สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของร่างกายได้ ออกไปข้างนอก ไปทำกิจกรรมต่างๆ ที่คนอื่นทำกันได้ ไม่มีแขนก็ใช้เท้าทำได้”

ได้รับกำลังใจ และแรงบันดาลใจจากสาวเก่งแกร่ง ฝ้าย บุญธิดา ชินวงษ์” หรือ “ฝ้าย ใช้เท้าแต่งหน้า” กันไปแบบเต็มๆ หวังว่าใครที่กำลังเผชิญกับช่วงเวลายากลำบาก คงจะพอมีแรงใจฮึดขึ้นสู้ หรืออย่างน้อยๆ ก็พอมีพลังใจในการขับเคลื่อนคุณค่าที่มีในตัวเองให้คนอื่นได้เห็น เพื่อสู้กับคำสบประมาทด้วยรอยยิ้มที่เจิดจรัสแบบน้องฝ้ายดูสักครั้ง

===============================

VR GAME ปลูกจิตสำนึกโลกเสมือน สู่การเปลี่ยนแปลงโลกจริงได้ ด้วยเกมแยกขยะ

อาจจะดูเป็นภาพใหญ่ หากต้องการจะเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง เพื่อช่วยโลกให้ดีขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของ Climate Change ที่ส่งผลกระทบต่อคนทั่วโลก แต่วันนี้… กลับมีทีมเยาวชนกลุ่มเล็กๆ ที่มารวมตัวกัน แล้วคิดโครงการดีๆ เพื่อปลูกจิตสำนึกให้กับเด็กๆ ด้วยการเล่นเกมผ่านโลกเสมือน (VR GAME) แบบง่ายๆ แต่สามารถหยั่งรากฐาน ที่จะช่วยเปลี่ยนโลกอย่างยั่งยืนได้ในอนาคต

จนประสบความสำเร็จคว้า รางวัลชนะเลิศ ประเภทเยาวชน ในการส่งผลงานเข้าร่วมประกวดไอเดียนวัตกรรม “Virtual Climate : Red Summit” ที่จัดโดยสหพันธ์สภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ (IFRC) ในนามทีมอาสายุวกาชาด “NEO RCY Team” จากสำนักงานอาสายุวกาชาด สภากาชาดไทย ผู้เป็นตัวแทนประเทศไทย ในการส่งโครงการ VR GAME (Virtual Game) ให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ และรู้จักวิธีในการแยกขยะแบบง่ายๆ เพื่อเปลี่ยนแปลงโลกในครั้งนี้

ตัวแทนของทีม “น้องเจเล่ ธีรณิชา ปราบริปู” นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะศิลปะศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สาขาภาษาศาสตร์ ได้เล่าถึงแนวคิดในการปลูกความสนุกเพื่อก่อให้เกิดจิตสำนึกในการเปลี่ยนแปลงโลก ผ่านเกมสนุกๆ และง่าย เพื่อให้เด็กๆ สามารถเข้าใจเรื่องของการแยกขยะได้แบบไม่ยัดเยียดนี้ว่า…

“จุดเริ่มต้นของหนูมาจากการเข้าร่วมชมรมอาสายุวกาชาด ตอนที่อยู่โรงเรียน ท่าวังผาพิทยาคม จ.น่าน ค่ะ ตอนนั้นหนูอยู่ ม.4 อายุแค่ 16 ปี คุณครูไก่ ชนนิศา เมืองมูล คุณครูที่ปรึกษาประจำชมรมอาสายุวกาชาด ที่โรงเรียนเลยชวนมาเรียนรู้พื้นฐานต่างๆ ในเรื่องของการเป็นอาสายุวกาชาดก่อน ซึ่งชมรมอาสายุวกาชาดที่อยู่ จะขึ้นตรงกับสำนักงานยุวกาชาด สภากาชาดไทย ทำให้ได้มาเจอกับ พี่หน่อย พิมพิศา ศุภะวัฒนะบดี (วิทยาจารย์ ระดับ3 สำนักงานยุวกาชาดฯ) ที่มาอบรมให้ แล้วช่วงนั้นพอดีมีให้สอบชิงทุนไปต่างประเทศ ซึ่งปกติทางสำนักงานยุวกาชาดจะส่งตัวแทนไปปีละ 1-2คน ซึ่งทำให้เจเล่ได้มีโอกาสไปประเทศ อิตาลี ซึ่งเป็นประเทศที่ก่อกำเนิดองค์กรยุวกาชาดโลกเลยค่ะ ได้ไปเรียนรู้เรื่องของ Climate Change แบบเต็มๆ 3 เดือน ซึ่งตอนนั้นเรื่องนี้ถือเป็นประเด็นหลักที่ทั่วโลกให้ความสนใจเป็นพิเศษ รวมถึงเรื่องของการทำงานจิตอาสา ในฐานะอาสายุวกาชาดด้วย เพราะเป็นช่วงของการจัดงานใหญ่ ที่ทางองค์กรกาชาด  หรือ The International Federation of Red Cross and Red Crescent Societies หรือ IFRC ครบรอบ 100 ปี พอดีด้วย ตอนนั้นเลยถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ และทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของภาวะโลกร้อนจริงๆ ค่ะ”

ส่วนเรื่องของการส่งโครงการเข้าประกวด ทางองค์กรกาชาดจะมีการส่งจดหมายส่งมาที่สำนักงานยุวกาชาดอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่เคยมีใครส่งไปแบบจริงๆ จังๆ พอดีเพื่อนเจเล่เขาสนใจโครงการนี้ ก็เลยมาคุยกันก็เลยมองในมุมของการรณรงค์อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกันค่ะ เพราะเราเองก็เคยไปเรียนมา และก็ตรงกับหัวข้อเกี่ยวกับเรื่องของ “Innovative for Climate Change” ที่ทางนั้นต้องการพอดี ก็เลยมาตกผลึกที่เกม VR ที่เป็นเกมใส่แว่น 3 มิติแล้วเข้าไปอยู่ในโลกเสมือน มีด่านที่ขยับเลเวลความยากขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะเราเชื่อว่าเด็กๆ น่าจะชอบเล่นเกมกันอยู่แล้ว ก็เลยคิดโครงการ “เกมเก็บขยะ” โดยใช้ชื่อโครงการว่า “Weast ไม่ Mai Weast” หรือ ขยะจะไม่กลายเป็นของเสียอีกต่อไป เพราะเรามองว่า มันเป็นนวัตกรรมที่สามารถนำมาใช้ในชีวิตจริงได้ โดยเน้นในเรื่องของการแยกขยะ ผ่าน Virtual Variety Game (VR GAME) ที่จะทำให้ผู้เล่นหรือเด็กๆ ได้ตระหนักถึงกระบวนการในการแยกขยะได้อย่างเหมาะสม ผ่านฉากหรือสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน 4 รูปแบบ เป็นเกมที่ทุกคนสามารถเข้าใจ และเข้าถึงได้ง่าย และเหมาะกับทุกช่วงอายุ ซึ่งเกมนี้จะเป็นแพลตฟอร์มที่ผู้เล่นสามารถโต้ตอบและมีส่วนร่วมในเกมโดยประสบการณ์ตรง ที่จะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง หรือในชีวิตประจำวันได้

ซึ่งในตอนนั้นทั่วโลกมีทีมที่ส่งโครงการเข้าประกวดทั้งหมดประมาณ 80 ประเทศได้ แต่แล้วก็ถูกคัดเลือกให้เหลือ 30 ประเทศ 30 โครงการ แล้วก็คัดอีกทีจนเหลือแค่ 10 ทีม จาก 10 ประเทศ เพื่อที่จะส่งโครงการแบบละเอียด ก่อนจะเตรียมพรีเซนท์ให้คณะกรรมการได้ฟังจริงอีกครั้งค่ะ แต่ละประเทศก็ต่างส่งวิทยาการและนวัตกรรมในแบบของตัวเองไป แต่ในที่สุดเราก็ได้รางวัลชนะเลิศมา

และแรงบันดาลใจอีกอย่างในการคิดโครงการ ก็น่าจะมาจากสิ่งที่เกิดขึ้นแถวบ้านของเจเล่ที่จังหวัดน่านด้วยค่ะ เพราะว่าที่นั่นมีทั้งเรื่องของไฟป่า แล้วก็เรื่องของน้ำเสีย เพราะบ้านของเจเล่อยู่ติดกับแม่น้ำน่านเลย เมื่อก่อนเคยกระโดดเล่นน้ำได้ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้แล้ว น้ำเสียหนักมาก มันเลยทำให้เราตระหนักถึงปัญหาตรงนี้

เลยคิดว่าน่าจะดีนะ ถ้าเราทำเกมนี้ขึ้นมาเพื่อที่จะช่วยสร้างจิตสำนึก และปลูกฝังเรื่องการแยกขยะให้กับเด็กๆ ได้ตั้งแต่ตอนนี้ เพราะในที่สุด มันจะสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้จริงในอนาคต เพราะเมื่อเขาได้เล่น เขาก็จะได้เรียนรู้ พอรู้ปัญหาแล้ว ก็จะไม่ทำให้มันเกิดขึ้นอีก ซึ่งในอนาคตข้างหน้า คิดไว้ว่าจะขยายแพลตฟอร์มต่อไปใน Google และใน Facebook ด้วยค่ะ น้องๆ จะได้เล่นได้ง่ายขึ้น ไม่จำเป็นต้องใช้แว่น VR ด้วย ถือเป็นการให้เขาได้ทำความเข้าใจแบบง่ายๆ โดยไม่จำเป็นต้องยัดเยียดเชิงวิชาการความรู้ แต่ให้ได้ความรู้สึกสนุกสนาน จะได้ซึมซับไปเอง ซึ่งเจเล่ใช้เทคนิคนี้คล้ายกับการสอนหนังสือที่ทำอยู่ค่ะ

ซึ่งเรื่องของปัญหาในการแยกขยะก็คือจุดเริ่มต้นในการเปลี่ยนโลก หากเราเริ่มจากตัวเราเอง ลงมือทำก่อน มีความเข้าใจก่อน ทางราชการจัดให้มีถังขยะให้ครบประเภท เพื่อที่จะสามารถแยกประเภทให้ทิ้งได้ง่าย ขยะก็จะไม่เป็นขยะ ไม่ส่งกลิ่นเหม็น ไม่ต้องลำบากพวกพี่ๆ พนักงานแยกขยะ ต้องมาเพิ่มงานและทำงานหนักมากอย่างทุกวันนี้ เจเล่เคยไปที่โรงเก็บขยะตอนเรียนวิชาหน้าที่พลเมืองมาด้วย มันเลยทำให้เราเข้าใจถึงปัญหาและการทำงานตรงนี้ค่อนข้างเยอะ สงสารพี่ๆ เขามากค่ะ ต้องสูดกลิ่นแบบนั้นทุกวัน ถ้ามีการจัดการที่ดี ก็น่าจะช่วยเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีได้มากกว่านี้ค่ะ “

งานนี้ไม่ว่าจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง Climate Change เล็กๆ ในรูปแบบของความสนุกผ่านเกมเสมือนอย่าง VR GAME ของทีมเยาวชนไทย ทีมอาสายุวกาชาด “NEO RCY Team” และ “น้องเจเล่” คิดจะสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้มากขนาดไหน แต่เชื่อว่าอย่างน้อยๆ หลายคนก็คงเริ่มคิด ที่จะเรียนรู้และปลูกจิตสำนึกที่เริ่มจากตัวเอง เพื่อเปลี่ยนแปลงโลกจริงไปสู่สิ่งที่ดีกว่าในวันข้างหน้าแล้วอย่างแน่นอน

DIY ขวดน้ำและเป้เป็นอุปกรณ์ออกกำลังกาย

อยู่บ้านก็ออกกำลังกายได้ ใช้ของแค่ 2 อย่างก็ทำได้แล้ว โดยวันนี้เราจะเอา ขวดน้ำและกระเป๋าเป้ มาทำเป็น Bulgarian Bag หรือถุงทรายถ่วงน้ำหนัก น้ำหนักที่เหล่าบรรดานักออกกำลังกายในฟิตเนสนิยมมาใช้ออกกำลังกาย เพิ่มประสิทธิภาพของกล้ามเนื้อให้แข็งแรงขึ้น

วิธีการทำง่าย ๆ ก็คือ หาขวดน้ำ ขวด 500 มิลลิลิตร ประมาณ 4-6 ขวดมาใส่ในกระเป๋าของเราได้เลย หรือใครอยากใช้ขวดน้ำ 1.5 ลิตรก็ได้เหมือนกัน การใส่ขวดน้ำเอาตามน้ำหนักที่ไหวนะคะ

วันนี้มาแนะนำท่าออกกำลังกายกันด้วย

ท่า Lunges

ท่าออกกำลังกายเพื่อกระชับต้นขาและสะโพก 

วิธีการ เริ่มจากการยืนตรง ขาแยกออกระดับไหล่ ก้าวขาข้างหนึ่งออกไปด้านหน้า ย่อเข่าลง หัวเข่าทำมุม 90 องศา ที่สำคัญหลังต้องตรง ค้างไว้ 2 วินาทีและกลับยืนท่าเดิม ก่อนจะสลับข้างและทำซ้ำ (ข้างละ12-15 ครั้ง/เซต)ท่านี้ถือขวดน้ำเพื่อถ่วงน้ำหนัก

**เข่าด้านหลังที่ย่อลง หากไม่แตะพื้นได้จะช่วยกระชับได้มากกว่า

ท่า Lateral dumbbell raise

ท่าออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อไหล่

วิธีการ เริ่มจากการยืนวางเท้าห่างกันระดับไหล่ ลำตัวตั้งตรง ก่อนยกขวดน้ำขึ้นช้า ๆ แขนเป็นแนวตรง ยื่นไปด้านข้าง ค้างไว้ 2 วินาที ทำซ้ำ 15-20 ครั้ง/เซต

**ท่านี้สามารถนั่งทำได้

ท่า Front dumbbell raise

ท่าออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อไหล่

วิธีการ เริ่มโดยการวางเท้าห่างกันระดับไหล่ ลำตัวตั้งตรง ยกขวดน้ำขึ้นช้า ๆ ทีละข้าง แขนเป็นแนวตรง ยื่นไปข้างหน้า ค้างไว้ 2 วินาที ทำซ้ำข้างละ 15-20 ครั้ง/ เซต

ท่า Squat

ท่าออกกำลังกายเพื่อ กล้ามเนื้อต้นด้านหน้า  สะโพกและหน้าท้องให้แข็งแรงขึ้นด้วย 

วิธีการ เริ่มจากการยืนแยกขาให้กว้างประมาณไหล่ สองมือประสานบริเวณหลังศรีษะ เกร็งหน้าท้อง หลังตรง ค่อย ๆ ย่อเข่าลงมาจนได้ประมาณ 90 องศา ทิ้งก้นและสะโพกไปด้านหลัง ค้างไว้ 1 วิและค่อย ๆ ยืดขึ้นทำซ้ำ 20 ครั้ง/เซต

สำหรับใครที่ไม่ถนัดการประสานมือหลังศรีษะ สามารถยื่นแขนตรงไปด้านหน้าสองข้าง เพื่อช่วยสร้างสมดุลให้ร่างกายก็ได้เช่นกัน วิธีนี้จะง่ายมากขึ้น

หรือลองลดน้ำหนัก DIY Bulgarian bag มาสักครึ่งหนึ่ง (ใช้ขวดน้ำ 500ml เพียง 2-3 ขวด) เพิ่มน้ำหนักการ Squat ให้ยากขึ้นโดยการยืดแขนสุดและวางเจ้า DIY Bulgarian bag เอาไว้บนท่อนแขนก็ได้เช่นกัน

ข้อควรระวัง

  • หลังต้องตรง ย่อเข่าลงไป โดยที่ให้ลำตัวขึ้นและลงในแนวดิ่ง ทำขึ้น-ลงช้าๆ จะช่วยบริหารและเผาผลาญกว่าการเล่นเร็วๆ ค่ะ
  • ใครที่มีปัญหาในเรื่องของน้ำหนักตัวที่มากเกินไป มีปัญหาเรื่องข้อเข่าต่างๆ เสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บซ้ำซ้อน ไม่ควรทำ

ท่า Upright Row

ท่าออกกำลังกายเพื่อกล้ามเนื้อหลังและไหล่

วิธีการ เพียงยืนให้สบาย (แยกขาเท่าบริเวณไหล่ได้) หิ้วกระเป๋าเป้โดยใช้หูจับด้านบนไว้ ก่อนจะค่อย ๆ ยกขึ้น โดยเกร็งกล้ามเนื้อไหล่ หลัง และหน้าท้อง ที่สำคัญต้องค่อย ๆ ยกขึ้นโดยใช้แรงจากกล้ามเนื้อ ยกขึ้นค้างไว้ 3-5 วินาที ทำซ้ำ 12-15 ครั้ง/เซต

แค่นี้ก็ได้ DIY ออกกำลังกายง่าย ๆแล้วค่ะ

DIY ลูกข่างแผ่นซีดี

วัสดุอุปกรณ์

  1. แผ่นซีดี
  2. ลูกปิงปอง
  3. ฝาขวดน้ำ
  4. กาว

วิธีทำ

  1. นำแผ่นซีดี ด้านสีเงิน เงาๆ มาติดกาวตรงกลางและนำฝาขวดมาแปะไว้ตรงกลางที่ทากาว และรอให้กาวแห้ง
  2. หลังจากนั้นก็พลิกแผ่นซีดี อีกข้างหนึ่ง และนำลูกปิงปองมาติดกาวตรงกลางลูกและนำไปแปะติดกับตรงกลางแผ่นซีดี และรอให้กาวแห้ง
  3. เราก็จะได้ลูกข่างแผ่นซีดี จากนั้นเราก็นำลูกข่างแผ่นซีดีมาหมุนบนพื้น

วิธีเล่น/หลักการวิทยาศาสตร์           

  • นำลูกข่างแผ่นซีดี มาหมุนบนพื้นที่เรียบ การเล่นลูกข่างแผ่นซีดีจะสอนทักษะวิทยาศาสตร์ เรื่อง “การเกิดแสงและการสะท้อนของแสง” ซึ่งแสงที่เกิดขึ้น มาจากแสงที่มากระทบกับวัตถุ (แผ่นซีดี)

เรียนแบบไหน?…คือ “ใช่” สำหรับเด็กไทย

รูปแบบสังคมที่เปลี่ยนไป สภาวะแวดล้อมที่ผันผวน รวมถึงวิถีการดำรงชีวิตที่แตกต่าง ถึงเวลาแล้วหรือยัง? ที่เครื่องมือทางการศึกษาของไทย ซึ่งได้แก่ “ระบบการศึกษา” จำเป็นจะต้องได้รับการสังคยานาเสียใหม่ เพื่อปรับตัวและปรับใช้ให้เข้ากับความเป็นไปในสังคมยุคปัจจุบัน

หลายความคิดเห็นถูกตีโจทย์ เพื่อมุ่งพัฒนาเสริมสร้างปัญญา ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน แต่ดูเหมือนหลายเสียงจะถูกปัดตก เพียงเพราะไม่บรรจบกับความคิดของคนรุ่นเก่า

บทความนี้จึงอยากชวนทุกท่าน…มองมุมกว้าง…โลกข้างหน้า ย่อมไม่ใช่ของเรา หากต้องวาดเส้นทางชี้ชะตาของพวกเขา เด็กๆ เหล่านี้อยากบอกอะไรกับเรา เพื่อให้พวกเขาได้ดึงศักยภาพที่แท้จริงจากระบบการศึกษาของไทย!?

ลองมาฟังเสียงสะท้อนเล็กๆ จากนักเรียน นักศึกษากัน

นางสาวนีรชา วารีรำพึงเพลิน

นางสาวนีรชา วารีรำพึงเพลิน วัย 17 ปี  นักศึกษาชั้นปีที่ 1 สาขาสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า ที่ผ่านมาเด็กใช้เวลากับการเรียนมากเกินไป รวมถึงส่วนใหญ่เนื้อหาของการเรียนก็เน้นไปที่ทฤษฎีมากกว่าการปฏิบัติจริงทำให้ค่อนข้างแคบ ไม่ได้เปิดกว้างอย่างที่ควรจะเป็น

“หนูมองว่าการศึกษาไทยค่อนข้างที่จะหนักเกินไปค่ะ ตั้งแต่เด็กจนโต เหมือนเราถูกสอนให้อยู่ในกรอบ หรือจะเรียกว่าอยู่ในกะลาเลยก็ว่าได้ เวลาเรียนยาวมาก คือตั้งแต่ 8 โมงเช้า ถึง 5 โมงเย็น และตำราเรียนหรือวิชาที่เรียนไม่ค่อยตอบโจทย์กับสายการเรียนที่เราจะต้องไปเจอในมหาวิทยาลัย เพราะว่าเรายังต้องไปเรียนเสริม อย่างหนูเองก็ต้องไปเรียนเสริมนอกโรงเรียน ไปต่อยอดเอาเอง เพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย หนูอยากให้เปลี่ยนตำราหรือหนังสือเรียนบทใหม่ๆ ให้ตอบโจทย์กับปัจจุบันให้มากกว่านี้ และอยากให้เน้นที่การปฏิบัติมากกว่าทฤษฎี อยากให้สอนในสิ่งที่ตรงโจทย์กับความต้องการของเด็ก และโรงเรียนควรให้โอกาสเด็กได้ยอมรับในความสามารถของตัวเอง มากกว่าเห็นความเก่งของคนอื่นแล้วต้องไปทำตาม หนูมองว่าการศึกษาไทยค่อนข้างแคบ ไม่เปิดกว้างทางความคิดเท่าที่ควรค่ะ

อีกส่วนที่สำคัญคือการสอนของคุณครูค่ะ บางครั้งสิ่งที่ครูสอน กับสิ่งที่ออกสอบ เป็นคนละเรื่องเลยค่ะ ทั้งที่ตำราที่บังคับให้ซื้อ เป็นตำราที่คุณครูเขียนเอง เนื้อหาข้างในคือเยอะมาก แต่พอถึงเวลาสอบ เรากลับต้องไปค้นคว้าหาข้อมูลในห้องสมุด เพื่อจับใจความเอง หนูคิดว่าถ้ามีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการศึกษา น่าจะทำให้ประเทศเรามีหัวกะทิของประเทศเพิ่มขึ้นขึ้น อาจจะได้คนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาบริหารประเทศได้มากกว่านี้ค่ะ”


นางสาวจัยดาอ์ สมาน

ด้านนางสาวจัยดาอ์ สมาน อายุ 17 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 สายศิลป์ภาษา (อังกฤษ-จีน) โรงเรียนสตรีภูเก็ต กล่าวว่า เนื้อหาการเรียนการสอนของไทยยังล้าสมัยอยู่บ้าง

“หนูอยากให้มีการเปลี่ยนแปลงด้านเนื้อหาการเรียนการสอน ให้ทันสมัยมากขึ้นค่ะ เนื้อหาที่เรียนทุกวันนี้หนูมองว่ายังไม่ค่อยครอบคลุมในเรื่องทางสังคมเท่าที่ควร และค่อนข้างที่จะมีความอนุรักษ์นิยม รวมถึงอยากให้การศึกษาไทย มีการปูพื้นฐานให้เกิดความเข้าใจ ไม่มีการเหยียดหรือดูถูกผู้อื่น และในปัจจุบันเรามีเพศที่หลากหลายมากขึ้น ก็อยากให้เพิ่มเติมในเรื่องสิทธิส่วนบุคคล ให้มีความเข้าใจกันและกัน

ในด้านศาสนาอยากให้มีการสอนให้เข้าใจในทุกๆ ด้านของศาสนาอย่างเท่าเทียม ไม่อยากให้เจาะจงไปทางศาสนาใดศาสนาหนึ่งค่ะ อยากให้เด็กมีอิสระมากขึ้น ในการเลือกเรียน มีส่วนร่วมในการเรียน และส่งเสริมความหลากหลายของนักเรียนแต่ละคน ความชอบ ความถนัด ที่แต่ละคนมีไม่เหมือนกัน ในส่วนของคุณครู อยากให้มีการสอนที่ทันสมัยมากขึ้นค่ะ ไม่ใช่แค่ให้อ่านจากในตำรา แต่อยากให้มีการแสดงความคิดเห็น การคิดวิเคราะห์ให้มากขึ้น เพื่อให้เรากล้าที่จะคิด กล้าที่จะแสดงออก เป็นการเรียนการสอนแบบ Critical Thinking ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ใช้ความคิดเยอะขึ้นค่ะ”


นายสหรัฐ ชำนาญรักษา

ส่วนนายสหรัฐ ชำนาญรักษา อายุ 16 ปี  นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 สายศิลป์ภาษา โรงเรียนสวนกุหลาบจิรประวัติ นครสวรรค์ บอกว่า ‘การบ้าน’ คือสิ่งที่ต้องมีการพูดถึงมากที่สุด

“สำหรับผมเรื่องที่อยากให้มีการปรับเปลี่ยนมากที่สุดคือเรื่องของ “การบ้าน” ครับ ปัจจุบันนี้การบ้านเยอะมากครับ โดยเฉพาะเมื่อมาเรียนออนไลน์ ส่วนตัวผมไม่มีปัญหากับรูปแบบการสอนที่มีอยู่นะครับ ผมว่ามีความหลากหลายที่เพียงพอแล้ว เพราะฉะนั้นรูปแบบการศึกษาแบบเดิมก็ได้ครับ แต่ขอให้ลดภาระเรื่องการบ้านลง หลังจากเราเลิกเรียนในแต่ละวันแล้ว เราควรได้ใช้เวลาที่เป็นอิสระบ้าง ไม่ควรจะต้องมาแบกภาระทำการบ้านต่อ หลังจากที่เราเรียนมาทั้งวันแล้ว ซึ่งตอนนี้ผมมีการบ้านแทบทุกวัน และแทบจะทุกวิชา ผมอยากให้ลดปริมาณการบ้านลงสัก 10-20% น่าจะดีครับ สำหรับเรื่องของระเบียบวินัย ผมว่าเป็นเรื่องปกติที่ทุกโรงเรียนต้องมีกฎระเบียบของตัวเองครับ ผมเป็นนักกีฬาของโรงเรียน เล่นฟุตบอลกับฟุตซอลครับ เพราะฉะนั้นส่วนของทฤษฎีสำหรับผมถือว่าเพียงพอแล้วครับ ก็เลยอยากมีเวลาไปซ้อมกีฬา เสริมทักษะให้กับตนเองมากกว่า เพราะที่โรงเรียนจะมีนักกีฬาประมาณ 30% ของนักเรียนทั้งชั้นครับ”

นอกจากความในใจของนักเรียนแล้ว เราก็มีความคิดเห็นของอาจารย์ที่ทำงานในระบบการศึกษาไทยเต็มตัวมาร่วมแชร์ความคิดเห็นกันด้วย


นายฐิติวัฒน์ แก้วชูทอง

โดยนายฐิติวัฒน์ แก้วชูทอง อายุ 25 ปี คุณครูประจำภาควิชาภาษาไทย โรงเรียนนานาชาติทรีนีตี้ บอกว่า เรื่องหลักสูตรการศึกษานั้น จำเป็นต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก

“ถ้าถามว่าอยากให้เปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาไปในทิศทางไหน ผมรู้สึกว่า อันดับแรกคือต้องเปลี่ยนหลักสูตรก่อนเลยครับ หลักสูตรที่เด็กสามารถเข้าถึงได้ง่าย ไม่ยากเกินไป และเขาสามารถนำไปใช้ได้ในชีวิตประจำวัน อย่างเช่นวิชาภาษาอังกฤษ ที่ครูไทยเอาแต่อัดแกรมม่าให้เด็ก โดยที่ไม่ได้สอนว่าหลักการใช้จริงๆ คืออะไร ทำให้เราไม่กล้าที่จะพูด และไม่สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริงๆ ผมอยากให้หลักสูตรไทยลดในเรื่องของทฤษฎีให้น้อยลง และให้ความสำคัญกับกิจกรรมมากขึ้น อาจจะจัดกิจกรรมให้เด็กมีความกล้าแสดงออกในการพูด การสื่อสาร สนทนา อย่างที่โรงเรียนนานาชาติจะค่อนข้างให้อิสระกับเด็กและครู ในเรื่องการคิดการสอน เด็กจะมีความกล้าแสดงออกที่จะแลกเปลี่ยนความคิดกับคุณครู และการเรียนจะไม่ได้เข้มข้นเหมือนโรงเรียนไทย ที่จะต้องเรียนหนักทุกคราบ ที่นี่เด็กจะมีการทำโปรเจกต์ หรือมีการนั่งคุยพูดถึงเนื้อการเรียนกัน ผมมองว่าตรงนี้ทำให้เด็กรู้สึกสบายใจที่จะเรียนครับ

โรงเรียนไทยส่วนใหญ่ จะเข้มในเรื่อง personality มากกว่า ไปโฟกัสที่ทรงผม การแต่งกาย ที่ทำให้เด็กรู้สึกเหมือนโดนบังคับให้อยู่ในกรอบ อีกหนึ่งอย่างที่ผมรู้สึกว่าต้องปรับคือ ตัวคุณครูเอง ต้องเปิดรับความคิดของเด็กให้มากกว่านี้ ไม่ใช่แค่ปฏิรูปการศึกษา แต่อยากให้ปรับเปลี่ยนในเรื่องของความคิดคุณครูด้วยครับ ไม่เกี่ยวว่าฉันมีอายุมากกว่าเธอ เธอจะต้องฟังฉัน เหมือนผมมาสอนที่นี่ ผมอายุมากกว่าเขาไม่กี่ปี แต่ในห้องเรียน ผมก็เป็นฝ่ายที่รับฟังเขาเหมือนกัน ทุกโรงเรียนล้วนมีกฎระเบียบ แต่เราแค่ต้องมีเทคนิคในการพูด ที่ไม่ทำให้ดูเป็นการกดดัน หรือเคร่งครัดเขาเกินไป”

“ผมไม่ได้มองว่าโรงเรียนนานาชาติดีไปหมดทุกอย่าง ทุกโรงเรียนล้วนมีข้อดีข้อเสียที่ต่างกัน แต่ในมุมมองของผมที่ผมเรียนโรงเรียนไทยมา ผมเห็นข้อผิดพลาดที่เรารู้สึกว่าจริงๆ ควรได้ดีกว่านี้ อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ผมคิดว่าควรปรับใช้ในโรงเรียนไทยมากๆ คือการบูลลี่ เพราะว่าโรงเรียนนานาชาติให้ความสำคัญเรื่องบูลลี่เป็นอันดับ 1 เพราะเขารวมหลากหลายเชื้อชาติ เขามีวิธีจัดการกับปัญหาเมื่อเกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี ไม่ให้เด็กรู้สึกเป็นปมด้อย เหมือนอย่างที่เด็กไทยมักจะเจอ เวลาที่พูดภาษาอังกฤษผิด แล้วเพื่อนๆ ในชั้นเรียนหัวเราะเยาะ ทำให้เขาขาดความมั่นใจ และไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษในที่สุด”


นางสาวจันจิรา ปัทมะสังข์

ด้านนางสาวจันจิรา ปัทมะสังข์ อายุ 29 ปี คุณครูโรงเรียนแสงทองวิทยา อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา กล่าวว่า ระบบการศึกษาดูจะเปลี่ยนยาก แต่อยากให้เริ่มในเรื่องที่ทำได้เลยทันทีก่อน

“ถ้าจะให้ประเทศไทยเปลี่ยนระบบการศึกษาเลย อาจจะดูยากเกินไป แต่ถ้าในความคิดของครู อยากให้เด็กเรียนน้อยลงเน้นการปฏิบัติให้มากขึ้น ให้เขาได้ลงมือทำจริงๆ เรียนรู้จริงๆ โดยเฉพาะเรื่องมารยาทไทย การพูด หรือแม้กระทั่งการเอาใจใส่ต่อผู้อื่น เพราะตอนนี้เหมือนเป็นการแข่งขันกันเรียนมากกว่า เรียนเพื่อไปสอบแข่งขัน ถามว่านำไปใช้จริงได้ไหม ได้…แต่คือนำไปใช้ในการสอบแข่งขัน เด็กที่เก่งก็จะเก่งไปเลย เพราะได้รับการสนับสนุนที่ดีจากครอบครัว แต่เด็กบางคนที่ไม่เก่ง แล้วครอบครัวไม่มีเวลา ก็จะเป็นปัญหาในเรื่องการเรียนของเด็กต่อไปค่ะ”


ข้อเสนอแนะหรือการแสดงความคิดเห็น ล้วนไม่มีคำบ่งชี้ว่าผิดหรือถูก แต่เป็นการปลูกน้ำเชื้อให้เกิดการสังเคราะห์ คิดวิเคราะห์ และแผ่ขยาย หากการเรียนการสอนเป็นมากกว่าการชี้ชะตา ถูก หรือ ผิด อย่างเดิมๆ ที่เข้าใจ การปลูกฝังให้เด็กไทยได้เรียนรู้และแสดงความคิดในระยะที่ปลอดภัย ก็อาจช่วยให้สังคมไทยมีความเคารพในการคิดต่างของแต่ละบุคคลได้อย่างน่าชื่นชม

ชั้นใส่ของสามเหลี่ยมจากลังกระดาษ

ลังกระดาษพัสดุเยอะมากมาย เลือกอันแข็งแรง ๆ สะอาด ๆ มาทำชั้นใส่ของจุกจิกน่ารัก ๆ ไม่มีที่ไหนขายแน่นอน วิธีทำก็ไม่ยากเลย มาดูกัน

อุปกรณ์

  1. กระดาษลัง
  2. สก๊อตเทปตกแต่งหรือสติ๊กเกอร์
  3. กาว
  4. ไม้บรรทัด ดินสอ
  5. คัตเตอร์ / กรรไกร

วิธีทำ

  1. ตัดกระดาษลังกว้าง 4 นิ้ว ยาว 12 นิ้ว 
โดยตัดทั้งหมด 9 แผ่น
  2. ขีดเส้นทำรอยไว้ โดยวางกระดาษที่ตัดไว้แนวนอน วัดระยะห่างทุก ๆ 3 นิ้ว ทั้ง 9 แผ่น
  3. พับตามรอยที่ขีดไว้ โดยใช้ไม้บรรทัดช่วยในการพับเข้าหากันให้เป้นรอยไว้ ทั้ง 9 แผ่น
  4. แปะสก๊อตเทปให้ยาวกว่าขอบกระดาษประมาณ 1 นิ้ว แล้วใช้กรรไกรตัดครึ่งตรงส่วนที่วงไว้ ทั้ง 9 แผ่น
  5. ติดสติกเกอร์รอบ ๆ ทั้ง 3 ด้าน เก็บขอบให้เรียบร้อย
  6. นำมาซ้อนต่อกัน แถวแรก 3 ชิ้น ทากาวติดทั้งสองด้าน รอให้แห้งแล้วต่อขึ้นไปสลับด้านดังภาพเป็นทรงสามเหลี่ยม

“บริหารจัดการเงิน” รัฐ-พ่อแม่ต้องส่งเสริมช่วยเปลี่ยนอนาคตที่ดีให้เด็กได้ โค้ชหนุ่มบอก ควรถูกบรรจุในหลักสูตรกระทรวงศึกษา

โลกเราทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ยิ่งการระบาดของโควิด-19 ที่สร้างผลกระทบไปทั่วโลก ยิ่งเร้าความเปลี่ยนแปลงมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสังคม เศรษฐกิจ รวมถึงสิ่งแวดล้อม ภาวะโลกร้อนที่กำลังขยายตัวส่งผลกระทบเป็นวงกว้างมากขึ้นทุกทีๆ

การเตรียมพร้อม “ทักษะ” เพื่อให้เด็กยุคใหม่เท่าทันกับความเปลี่ยนแปลงจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรได้รับการส่งเสริมอย่างจริงจัง

หนึ่งในนั้น คือ ทักษะเรื่อง “การจัดการการเงิน” ทักษะที่เด็กยุคใหม่ควรได้รับการส่งเสริมทั้งที่บ้านและโรงเรียน เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับโลกที่พวกเขาจะต้องเผชิญมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

โค้ชหนุ่ม-จักรพงษ์ เมษพันธุ์ เจ้าของเพจมันนี่โค้ช (Money Coach) เผยเหตุผลว่า ทำไมเด็กต้องมีความรู้เรื่อง “การจัดการการเงิน” เพราะ “ความรู้เรื่องการเงินเป็นวิชาที่คุ้มมาก เรียนครั้งเดียวใช้ได้ตลอดชีวิต”

สำหรับโค้ชหนุ่ม เจ้าของเพจ Money Coach สอนเรื่องการจัดการการเงิน ในคอนเซ็ปสร้างแรงบันดาลใจและนำพาคนไทยไปสู่สุขภาพการเงินที่ดี และมีความสุข มีผู้ติดตามเพจกว่า 7 แสนคน มีลูกชาย 2 คน ที่กำลังอยู่ในวัยประถมและมัธยม

โค้ชหนุ่ม เคยส่งลูกๆ เข้าเรียนตามระบบในโรงเรียน แต่เมื่อเห็นระบบการศึกษาปัจจุบันไม่ตอบโจทย์การแปลงเปลี่ยนของโลกยุคใหม่ จึงได้จัดการศึกษาให้ลูกเรียนที่บ้าน ในลักษณะโฮมสคูล (Home School) 

 “ถ้าวันหนึ่งเราไม่อยู่ คำถามคือลูกเราจะอยู่อย่างไร ทักษะในโรงเรียนที่ให้อยู่ทุกวันนี้พอไหม” โค้ชหนุ่มตั้งคำถามกับระบบการศึกษาปัจจุบัน

“ในชีวิตของคนๆ หนึ่งต้องมีทักษะอะไร คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ ผมว่าไม่ใช่ แต่คนๆ หนึ่งต้องรู้จักทักษะการเอาตัวรอด การฝึกแก้ปัญหา การรับมือกับความผิดหวัง การอยู่กับผู้คน ความเห็นอกเห็นใจ ภาษา รวมทั้งการสร้างรายได้”

“นี่จึงเป็นที่มาของโฮมสคูลที่เราออกแบบการเรียนการสอนของเราเอง ภายใต้กรอบคิดที่ว่า ถ้าวันนึง พ่อแม่ไม่อยู่ ลูกจะอยู่ได้ และอยู่ได้อย่างดีด้วย”

กระนั้น แม้จะให้ลูกเรียนโฮมสคูล แต่โค้ชหนุ่มก็ “ไม่ปิดกั้น” เส้นทางการศึกษา ยังคงวางเส้นทางเพื่อให้ลูกกลับไปสู่ระบบได้เหมือนเดิม

โค้ชหนุ่ม ระบุว่า ทักษะใหม่ที่เด็กยุคใหม่ควรมี ประกอบด้วย

  1. ทักษะความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มาก
  2. ทักษะความคิดแบบมีตรรกะ มีเหตุมีผล ซึ่งโยงไปเรื่องของการคิดให้อยู่กรอบเชิงกฎหมาย กรอบของศีลธรรมอันดีสอนลูก คนเราทำอะไรก็ได้ ไม่ควรกระทบสิทธิคนอื่น
  3. ทักษะการเป็นคนรักการเรียนรู้ อันนี้ต้องฝึก ไม่ใช่พรสวรรค์ ทักษะนี้จะเกิดขึ้นมาจากการตั้งคำถาม ถ้ากระตุ้นจากการตั้งคำถาม จากนั้นไปสู่ขั้นตอนการค้นคว้า ทำให้เด็กเป็นนักเรียนรู้ เพราะการเรียนรู้ไม่รู้จบ
  4. ทักษะความอดทน หรือความทนทาน ความทนทานต่อทุกๆ เรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
  5. ทักษะการจัดการการเงิน
  6. ทักษะดิจิทัล
  7. ทักษะเรื่องความปลอดภัย การใช้ชีวิตโดยการคำนึงถึงความปลอดภัยหรือเซฟตี้ไว้ก่อน
  8. ทักษะด้านภาษา ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ หรือภาษาอื่นๆ

สำหรับ “ทักษะด้านการเงิน” นั้น โค้ชหนุ่ม แนะนำผู้ปกครองสอนลูกเรื่องการจัดการการเงิน โดยแบ่งเป็นระดับ ดังนี้      

“อนุบาล-ประถมต้น” ยังไม่ต้องใช้คำว่าเงิน สอนให้ลูกดูแลข้าวของเครื่องใช้ของเขาได้ดี ดินสอใช้ได้นาน ให้ชื่นชม เก่งมากเลย หรือคุยกับเขา ถ้าเป็นแม่จะซื้อของแพคใหญ่จะดีกว่า เพราะลูกกินอยู่แล้ว ใช้อยู่แล้ว อาจจะสอนง่ายๆ แบบนี้ก็ได้

“ประถมปลาย” วัยนี้จะเริ่มเข้าใจเรื่องตัวเลข สอนจากการให้ค่าขนม โดยมีกติกา กินเท่าไหร่ก็ได้ แต่ขอให้เหลือกลับมา แล้วถามเขา ให้ค่าขนมไปใช้อะไรบ้าง ถ้าวันไหนใช้หมด ก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่ต้องซีเรียส

นอกจากนี้ เราอาจมีกระปุกออมสินให้เขาเก็บเงิน เมื่อเก็บเงินได้ก็พาไปธนาคารเปิดบัญชี ไปใช้บริการเครื่องมือทางการเงิน เป็นกิจกรรมง่ายๆ ที่ให้เขาได้ทำจากประสบการณ์จริง

“มัธยมต้น” สอนด้วยการเริ่มให้เงินเป็นสัปดาห์ ให้เงินเป็นเดือน เพื่อฝึกจัดการการเงินของเขาเอง ให้เขาฝึกทำตัวเลขทางการเงิน บอกว่า ไม่เป็นไรถ้าใช้หมดก่อน แล้วมาคุยกัน ถือเป็นการสอนเรื่องเงินที่ครบวงจรและมีเหตุมีผล ส่วนการออมก็เน้นมากขึ้น เริ่มสอนเครื่องมือง่ายๆ เกี่ยวกับการเงิน เช่น สลากออมทรัพย์ เป็นต้น

“ม.ปลาย” สามารถสอนเรื่องการลงทุนต่างๆ ได้แล้ว รวมถึงสอนการสร้างรายได้

“ทั้งหมด 4 อย่าง 1.การปลูกฝังฐานการใช้จ่ายประหยัด 2.การบริหารการเงิน 3.การหารายได้ 4.การลงทุน แค่นี้เอง ความรู้การเงินเป็นวิชาที่คุ้มมาก เพราะเรียนครั้งเดียว ใช้ได้ตลอดชีวิต”

เมื่อความรู้เรื่องการเงินเป็นสิ่งสำคัญ โค้ชหนุ่ม จึงผลักดันเรื่องนี้ให้คนไทยมีความรู้เรื่องการเงินมาตลอด 16 ปี ล่าสุดเปิดคอร์สการเงินออนไลน์สำหรับเด็กม.ต้น ซึ่งมีน้องๆ เรียนหลักสูตรนี้แล้ว 1,000 กว่าคน นอกจากนี้ยังมีหลักสูตรเฟิร์ส จ๊อบเปอร์ สำหรับเด็กจบใหม่ รวมถึงหลักสูตรแฟมิลี่ไฟแนนซ์ สำหรับผู้ปกครองด้วย

“ผมอยากให้มีการบรรจุเรื่องการจัดการเงินลงในหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ผ่านมาสอนแต่เรื่องการออม ซึ่งไม่เพียงพอ เพราะโลกของการเงินไปไกลกว่านั้นแล้ว”

โคชหนุ่ม

“การสอนการเงินควรสอนให้ใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ยกตัวอย่างง่ายๆ เรื่องใบแจ้งหนี้ค่าไฟ ต้องดูยังไง ค่าไฟทำไมเพิ่มทำไมลด หรือจะผสมไว้ในวิชาเลขก็ได้”

อย่างไรก็ตาม โค้ชหนุ่มย้ำว่า สิ่งหนึ่งที่ต้องสอนควบคู่ไปกับเรื่องเงินคือ เงินไม่ใช่สิ่งสำคัญในชีวิต เมื่อสอนเรื่องเงิน เราต้องพยายามแทรกในมุมต่างๆ ทำให้เขาใช้ชีวิตพอเหมาะพอสม จัดการชีวิตให้มีความสุขโดยที่ปราศจากปัญหาเรื่องการเงิน

“ถ้าคนๆ หนึ่งไม่ปัญหาเรื่องการเงิน ระหว่างทางมีการป้องกันของชีวิต เกิดอุบัติเหตุจัดการได้ เกษียณไม่มีหนี้ มีเงินเก็บเงินกินเงินใช้ตามฐานะ จัดการเงินได้ มีชีวิตที่หมดกังวลเรื่องเงินๆ ทองๆ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ เพราะการที่ประชาชนที่เป็นหน่วยเล็กที่สุด ดูแลตัวเองได้อย่างเหมาะสม คน 70 เปอร์เซ็นต์ของประเทศดูแลตัวเองได้ ประเทศก็จะมั่งคั่งได้

เพราะมีความรู้ที่สำคัญในการดำรงชีวิต ก็เป็นเรื่องจำเป็นที่เด็กควรมีความรู้เรื่องการเงินตั้งแต่วันเรียน ปลูกฝังตั้งแต่เด็กๆ ชีวิตที่ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินๆ ทองๆ เพราะบริหารจัดการเงินเป็นก็จะมีความสุขได้”

โค้ชหนุ่มทิ้งท้าย


ขอบคุณรูปจากเพจ Money Coach

สลามทำความสะอาด ทำเองได้ง่ายจัง

ปัญหาเรื่องฝุ่นติดตามซอกมุมของแป้นพิมพ์ รีโมท โทรศัพท์ ก็สามารถจัดการปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ด้วย “สลามทำมือ” ใช้วัสดุที่ปลอดภัยในบ้านเรา ทำเองง่าย ๆ สนุกด้วย มาดูวิธีกัน

อุปกรณ์

  1. สบู่เหลว
  2. กาวใส
  3. แป้งเย็นเภสัช
  4. สีผสมอาหาร
  5. พาชนะสำหรับผสม / ช้อนตวง

วิธีทำ

  1. ตวงสบู่เหลว 2 ช้อนโต๊ะ และแป้งเย็นเภสัช 3 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน
  2. เทกาวน้ำ 4-5 ช้อนโต๊ะใส่อีกภาชนะ แล้วเทส่วนผสมที่ 1 มารวมกัน คนให้เข้ากัน
  3. ผสมให้เข้ากัน แล้วใช้มือนวดส่วนผสมทั้งหมดเป็นเนื้อเดียวกันคล้ายแป้งโดว ลักษณะเนื้อละเอียด
  4. นวดเป็นเนื้อละเอียดเนื้อเดียวกัน แล้วใส่สีผสมอาหารตามชอบ (ใส่นิดเดียว) แล้วนวดเป็นเนื้อเดียวกัน
  5. นวดเป็นเนื้อเดียวกัน หากเหลวเกินไป นำไปแช่ช่องฟรีซ 1 ชม. (ผสมหลาย ๆ สีตามต้องการได้นะคะ)​ แล้วนำมาใช้งานได้เลย นำมาเช็ดฝุ่นตามแป้นพิมพ์ รีโมท์ โทรศัพท์มือถือได้เลยยย แบบนี้ก็ใสวิ้งๆ แล้วหละ

ที่เก็บถุงพลาสติกจากขวดน้ำพลาสติกใบใหญ่

มีถุงพลาสติกเยอะมาก ยังใช้งานได้ แต่ไม่มีที่เก็บถุงที่ใช้งานสะดวก วันนี้เราเอาอุปกรณ์ที่มีอยู่ในบ้าน มาดัดแปลงทำเป็นที่เก็บถุงพลาสติกไม่ต้องทิ้ง สามารถใช้งานได้สะดวก เพียงดึงมาใช้ได้ทีละถุงไม่เกะกะ เพียงหาที่แขวนไว้ก็ใช้งานได้เลย มาดูอุปกรณ์และวิธีทำกัน

อุปกรณ์

  1. ขวดน้ำพลาสติกใบใหญ่
  2. คัตเตอร์ / มีด
  3. ด้าย / เข็มใหญ่สำหรับเจาะฝา
  4. เชือก
  5. ถุงพลาสติกที่สะอาดสำหรับใช้งาน

วิธีทำ

  1. ใช้คัตเตอร์ตัดก้นขวดทั้ง 3 ด้าน เว้นขอบด้านหลังไว้ โดยมีระยะห่างประมาณ 2 นิ้ว (ทำที่เปิดสำหรับใส่ถุง)
  2. นำฝาขวดมาวางตำแหน่งที่ลูกศรชี้ แล้วเจาะรูเย็บให้เป็นลักษณะกระดุมยึด
  3. เจาะรูให้ใส่เชือกลงไปได้ แล้วนำเชือกสอดเข้าไป แล้วผูกยึดด้านในไว้ เพื่อทำที่แขวนกับกระดุม 
  4. นำหูถือขวดน้ำออก แล้วไปเจาะแขวนกับเชือก โดยจะฝั่งตรงข้ามกับกระดุม (ทำเป็นที่แขวนขวดน้ำ)
  5. ได้ขวดสำหรับใส่ถุงพลาสติกเรียบร้อย แขวนที่ต้องการ 
  6. พับถุงเป็นแนวยาว โดยให้ปลายถุงของใบที่ 1 สอดกับหูหิ้วของใบที่ 2 พับทับทำซ้ำต่อๆ กันแล้วนำไปใส่ในขวดที่เตรียมไว้

เตรียมความพร้อมก่อนโกอินเตอร์!! เปิดโผ 10 อันดับ ประเทศน่าเรียน และทุนฟรีทุกระดับการศึกษา

พร้อมไหมที่จะ go to สู่ความสำเร็จในโลกใบใหม่?!?… มาเตรียมความพร้อมไปกับแผนการศึกษาในฝัน และสิ่งที่จะต้องทำ ก่อนการเดินทางไปเรียนต่อยังต่างประเทศในแบบที่ตั้งเป้า กับหัวข้อ “เปิดโผ 10 อันดับ ประเทศน่าเรียน ที่จะบอกทุกขั้นตอนให้ได้รู้ พร้อมทุนการศึกษาฟรี!!! ที่รวบรวมไว้ ตั้งแต่ระดับมัธยม จนปริญญาตรี โท เอก แบบไม่ควรพลาด

เริ่มต้นกันที่อันดับของประเทศสุดฮิตติดท็อปชาร์ตสูงสุดตลอดกาล 10 อันดับแรก และทุนเรียนฟรีในประเทศต่าง ๆ ที่หลายคนให้ความสนใจ และตั้งเป้าไว้ว่าจะไปศึกษาต่อกันเลย…

สหราชอาณาจักร (United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland : อังกฤษ)

ประเทศมีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่น่าสนใจ มีมหาวิทยาลัยให้เลือกเรียนหลากหลาย ด้านทุนเรียนฟรีก็มี Chevening  ที่เป็นทุนสำหรับการเรียนต่อปริญญาโท เป็นเวลา 1 ปี ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Foreign and Commonwealth Office (FCO) และองค์กรที่ร่วมมืออื่น ๆ และครอบคลุมค่าเรียน ค่าเดินทาง ค่าที่พัก และค่ากินอยู่ ไว้ทั้งหมด หรือทุน Gates Cambridge Scholarship ณ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ สำหรับปริญญาโท และเอก ที่รับเฉพาะผู้ที่ไม่ใช่พลเมืองของตนเอง แถมยังเป็นทุนแบบเต็มจำนวนอีกต่างหาก

สหรัฐอเมริกา (United States of America : อเมริกา)

ประเทศที่เต็มไปด้วยอิสระและความหลากหลายของผู้คน อีกทั้งยังมีมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก และโอกาสในการทำงานต่อได้ทันที ทุนเรียนฟรีเต็มจำนวน (ในปีแรก) ที่ครอบคลุมทั้งค่าเรียน ค่าหนังสืออุปกรณ์ ค่ากินอยู่ ค่าเดินทาง รวมไปถึงประกันสุขภาพ อย่างทุน Fulbright Scholarship สำหรับศึกษาต่อระดับปริญญาโท หรือเอก 

ออสเตรเลีย (Australia : เครือรัฐออสเตรเลีย)

ประเทศที่คนไทยให้ความสนใจ เพราะค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก เปิดโอกาสในการทำงานระหว่างเรียน และใช้คะแนน IELTS ที่สูงเกินไป โดยมีทุนเรียนฟรีอย่างสำหรับนักศึกษาต่างชาติ อย่าง Endeavour Scholarship ที่แบ่งทุนออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ทุนปริญญาโท (ไม่เกิน 2 ปี), ปริญญาเอก (4 ปี) หรือ Endeavour Postgraduate Scholarship), ทุนเพื่อการวิจัย (Endeavour Research Fellowship สำหรับการวิจัยระยะสั้น ในปริญญาโทหรือปริญญาเอก), ทุนอาชีวศึกษา และฝึกอบรม (Endeavour Vocational Education and Training Scholarship เพื่อศึกษาต่อระดับประกาศนียบัตรอนุปริญญา อนุปริญญาชั้นสูงหรืออนุปริญญา) และทุน Endeavour Executive Fellowship (สำหรับการศึกษาดูงานเพื่อการพัฒนาบุคลากร) แต่ต้องเป็นผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และจบปริญญาตรีมาแล้ว

สิงคโปร์ (Republic of Singapore : สาธารณรัฐสิงคโปร์)

ประเทศที่มีมาตรฐานทางการศึกษาสูง แต่มีการผสมผสานวัฒนธรรมระหว่างตะวันออกและตะวันตกไว้อย่างลงตัว เติบโตเร็วทั้งอุตสาหกรรม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี ที่สำคัญคือเดินทางสะดวก และค่าใช้จ่ายไม่สูงจนเกินไป และที่นี่ยังมีทุนให้เปล่า เรียนฟรีสำหรับระดับชั้นมัธยม อย่าง ASEAN Scholarship for Thailand สำหรับนักเรียนไทยโดยเฉพาะ โดยแบ่งเป็น 2 ระดับชั้น ระยะเวลา 2–4 ปี คือ ระดับมัธยมศึกษาปีที่3 (4 ปี) และระดับเตรียมอุดมศึกษา (2 ปี)

นิวซีแลนด์ (New Zealand)

ประเทศที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม มีธรรมชาติที่สวยงาม ผู้คนเป็นมิตร ซึ่งผู้ที่เรียนจะได้รับประสบการณ์ทางการศึกษาและความผ่อนคลายที่ดีเยี่ยมไปพร้อมกัน รวมทั้งมีทุนเรียนฟรี ทั้งแบบที่สนับสนุนโดยรัฐบาล และสนับสนุนโดยมหาวิทยาลัย ซึ่งสามารถเลือกมหาวิทยาลัย และสถาบันเทคโนโลยีได้หลากหลายแห่งตามความชอบได้เลย

เกาหลีใต้ (Republic of Korea : สาธารณรัฐเกาหลี) 

ประเทศน้องใหม่ติดโผมาแรงสูงสุด เพราะเกาหลีมีความน่าสนใจพร้อมพรั่งในทุกด้าน ทั้งการศึกษาและชีวิตความเป็นอยู่ แม้จะมีความกดดันในการแข่งขันที่ค่อนข้างสูง แต่ก็มีทุนเรียนฟรีให้เลือก เช่น ทุน GKS (Global Korea Scholarship) ที่รัฐบาลเมอบให้นักศึกษาต่างชาติ ทั้งระดับปริญญาตรี และโท เป็นทุนให้เปล่าแบบไม่จำกัดสาขาวิชาที่เรียนด้วย แต่การจะไปที่นี่ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ต้องเรียนรู้ภาษาเกาหลีเบื้องต้นก่อนเดินทางไปเรียนด้วย

ญี่ปุ่น (Japan)

ประเทศที่มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมเฉพาะตัว แต่ในเรื่องของอาหารการกิน และความเป็นอยู่ คนไทยเองอาจจะค่อนข้างคุ้นเคย มีสิ่งอำนวยความสะดวก และการคมนาคมที่ยอดเยี่ยม มีสิ่งแวดล้อมที่ดีติดอันดับต้นๆ ของโลก ผู้ที่มีโอกาสศึกษาต่อที่นี่มีโอกาสที่จะได้เข้าทำงานค่อนข้างสูง อีกทั้งยังมีทุนรัฐบาลให้เรียนฟรีที่มีชื่อว่า MEXT (Monbukagakusho Scholarship) ที่มีให้เลือกแบบครอบคลุมถึง 7 ประเภท แต่ผู้ที่จะได้รับทุนนี้ ต้องมีอายุไม่เกิน 25 ปีเท่านั้น

จีน (Republic of China : สาธารณรัฐประชาชนจีน)

ประเทศที่มีคนใช้ภาษาเยอะเป็นอันดับต้นๆ ของโลก มีคอร์สเรียนที่น่าสนใจหลากหลาย ค่าเรียนถูก และมีทุนการศึกษาฟรีมอบให้กับนักศึกษาเป็นจำนวนมาก นั่นก็คือ ทุนรัฐบาล อย่าง CSC (China Scholarship Council) ที่ให้กับนักศึกษาต่างชาติตั้งแต่ระดับปริญญาตรี โท เอก รวมถึงทุนเรียนภาษา 1 ปี และทุนวิจัย โดยแบ่งออกเป็น ทุนแบบเต็มจำนวน ซึ่งจะยกเว้นค่าธรรมเนียม ค่าเล่าเรียน ค่าอุปกรณ์การศึกษา รวมถึงค่าที่พัก กับทุนการศึกษาที่ให้บางส่วน และยกเว้นค่าใช้จ่ายบางอย่าง

เยอรมนี (Germany :  สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี)

ประเทศที่มีอิสรภาพทางการศึกษา มีประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่และน่าสนใจ มีตัวช่วยทางการเงินเพื่อการศึกษา ให้โอกาสและมอบประสบการณ์ในการทำงานจริงระหว่างเรียน แถมยังค่าเรียนต่ำกว่าประเทศใกล้เคียง ที่มีทุนเรียนฟรีอย่าง DAAD (DAAD Helmut-Schmidt-Programme Masters Scholarships) สำหรับระดับปริญญาโท และเอก รวมถึงทุนวิจัยระยะสั้นและยาวที่สถาบันในประเทศเยอรมนี ซึ่งมีการสนับสนุนทั้งค่าเล่าเรียน และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ บางส่วน รวมทั้งยังสามารถพาครอบครัวมาอยู่ด้วยได้

แคนาดา (Canada)

ประเทศที่มีการเรียนการสอนเป็นที่ยอมรับจากทั่วโลก คุณภาพสูงเทียบเท่ากับสหรัฐอเมริกา มีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่น่าสนใจ ทำงานพาร์ตไทน์ได้ทั้งนอกและในมหาวิทยาลัย ทำให้ผู้เรียนสามารถมีโอกาสประสบสำเร็จในการประกอบอาชีพ มีทุนการศึกษา อย่าง International Undergraduate Scholarships หลายหลักสูตร ให้นักศึกษาต่างชาติได้เลือก ทั้งแบบเต็มจำนวน และออกให้บางส่วน แบบที่ค่าใช้จ่ายไม่ได้สูงมากเกินไป

ส่วนน้อง ๆ ระดับชั้นมัธยมก็ไม่ต้องน้อยใจไป เพราะยังมีทุน EF (EF Foundation for Foreign Study) ที่จะช่วยส่งเสริมความก้าวหน้าทางด้านการศึกษาให้กับนักเรียนที่มีความทุ่มเท และมีคุณสมบัติโดดเด่น เพื่อไปแลกเปลี่ยนภาษาและวัฒนธรรม เป็นเวลา 1 ปี โดยสามาถเลือกเดินทางได้ 3 ประเทศ คือ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และสาธารณรัฐไอร์แลนด์ ที่จะช่วยให้น้อง ๆ ได้รับประสบการณ์ครบถ้วน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ใครที่คิดว่า 1 ปีนานเกินไป จะเลือกทุน EF ระยะสั้น เพื่อเรียนภาษาในโรงเรียน EF International Language Campuses อย่างเดียวก็ได้ ทั้งใน สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น แคนาดา นิวซีแลนด์ ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย สิงคโปร์ และเยอรมัน เป็นต้น 

เมื่อเลือกที่เรียนได้แล้ว… ทีนี้จะต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง ก่อนออกเดินทางล่ะ??

ควรเลือกว่าจะเรียนอะไร ~ จริง ๆ แล้วขั้นตอนนี้แทบจะต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก ๆ ของการวางแผนเรียนต่อต่างประเทศเลยนะ เพราะจะช่วยให้เราเลือกที่เรียนที่เหมาะสม และตรงกับสิ่งที่เราจะเรียนมากที่สุด ซึ่งตรงนี้ก็อาจจะต้องไปเช็คลิสต์ดูอีกที ว่าประเทศที่เราอยากไปนั้นมีมหาวิทยาลัยที่มีสาขา หรือคณะที่เราต้องการเรียนอยู่หรือเปล่า

ควรเช็คให้ดีว่าขอทุนเรียนได้ไหม ~ เชื่อไหมว่าถ้าเราศึกษาขั้นตอนนี้ให้ถ่องแท้ การเรียนต่อต่างประเทศใของเราในครั้งนี้ อาจไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรเลย เพราะในบางประเทศมีทุนเรียนฟรีแบบเต็มจำนวน ที่จะช่วยเซฟให้กับเราโดยไม่มีข้อผูกมัดใด ๆ เลยด้วยซ้ำ

ควรรู้ว่าจะต้องสมัครเรียนเมื่อไหร่ ~ ส่วนใหญ่แล้วในต่างประเทศ จะเปิดรับสมัครใน 3 ช่วงนี้คือ ฤดูใบไม้ผลิ ใบไม้ร่วง และฤดูหนาว โดยจะเปิดรับทางออนไลน์ ประมาณ 4-5 เดือนก่อนเปิดเทอมจริง คือสมัครตั้งแต่ช่วงกันยายน และเดินทางช่วงกรกฎาคม-สิงหาคม เพื่อเตรียมความพร้อม หาที่พัก หรืออาจจะต้องเรียนปรับพื้นฐานทางด้านภาษาก่อน

ควรคำนวณค่าใช้จ่ายให้ดี ~ ซึ่งจุดนี้เราจะต้องตั้งธงงบประมาณไว้ก่อน แล้วจึงค่อยๆ ไล่เจาะลึกลงไปในรายละเอียดว่า ค่าเล่าเรียน ค่าที่พัก ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าประกัน และค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน จะตกอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่ อยู่ในงบที่เราตั้งธงไว้แต่แรกหรือไม่

ควรพักที่ไหนและใช้ชีวิตอย่างไร ~ เช็คทำเลที่ตั้งและความปลอดภัยให้ดี บางที่อาจจะมีหอพักของมหาวิทยาลัยให้ แต่ถ้าต้องพักข้างนอก ก็ต้องดูรายละเอียดการจองหรือการชำระเงินล่วงหน้า ควรหาข้อมูลและเปรียบเทียบราคาจากหลายๆ แหล่ง ว่าอยู่ไกลจากที่เรียนไหม และสามารถทำอาหารได้หรือไม่ เพราะถ้าอยู่ใกล้และสามารถทำอาหารได้ ก็จะได้ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้อีกสเต็ปหนึ่งนั่นเอง

ควรทำงานด้วยเรียนด้วยดีไหม ~ ต้องศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนว่า วีซ่านักเรียนที่ไปนั้น เป็นวีซ่าที่สามารถทำงาน PART-TIME ได้ และทำได้กี่ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เช่น ในสหราชอาณาจักร สามารถทำงานได้ ไม่เกิน 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ระหว่างเปิดเทอม และ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในช่วงปิดเทอม ส่วนระดับมหาวิทยาลัยจะต้องเป็น  Full Time Student เป็นต้น

ควรต้องฝึกภาษาก่อนไหม ~ สำหรับประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก เรื่องของภาษาอาจต้องมีการใช้คะแนนสอบวัดผลประกอบการสมัครเรียนด้วย เช่น คะแนน TOEFL หรือ IELTS โดยเฉพาะทางแถบยุโรป และอเมริกา แต่ถ้าเป็นทางฝั่งเอเชีย ในบางประเทศจะยังพออนุโลมให้ใช้คะแนน Toic ได้บ้าง ยิ่งถ้าเป็นนักเรียนทุน เรื่องภาษายิ่งเป็นเรื่องสำคัญ เพราะในบางประเทศอาจต้องเพิ่มทักษะพื้นฐานภาษาถิ่นเข้าไปด้วย เช่นใน จีน เกาหลี ญี่ปุ่น เป็นต้น รวมถึงคะแนน SAT สำหรับผู้ที่ต้องการไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา หรือสิงคโปร์ ควรมีไว้

ควรล็อคเป้าคะแนนสอบที่เท่าไหร่ ~ ถ้าหากเป็นTOEFL iBT ที่คะแนนเต็ม 120 คะแนน ส่วนมากคือต้องเกิน 70 คะแนนขึ้นไป แต่ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยชื่อดังต้อง 100 คะแนนขึ้นเป็นต้น ส่วน IELTS คะแนนเต็มอยู่ที่ 9.0 ต้องได้ 5.5 คะแนนขึ้นไป แต่ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยชื่อดัง ก็จะต้องได้ 7.0 ขึ้นไป ส่วนผู้ที่ต้องการสมัครทุนก็ต้องได้ 6.0 ขึ้นไป เป็นต้น

ควรเตรียมเอกสารสำคัญอะไรบ้างในการขอวีซ่าเพื่อเดินทาง…

~ เอกสารส่วนตัว : พาสปอร์ตเล่มจริงพร้อมสำเนา, รูปถ่าย, สำเนาบัตรประชาชน, สำเนาสูติบัตร (กรณีผู้สมัครอายุต่ำกกว่า18 ปี), สำเนาทะเบียนบ้าน, หลักฐานหรือใบแสดงผลการศึกษา, หลักฐานการทำงาน (หากผู้สมัครทำงานแล้ว) และเอกสารการตรวจสุขภาพ สำหรับนักเรียนที่ลงทะเบียนเรียนระยะยาว 6 เดือนขึ้นไป ซึ่งแต่ละสถานทูตในแต่ละประเทศ อาจมีข้อกำหนดที่แตกต่างกันไป

~ เอกสารของผู้ปกครองหรือสปอนเซอร์ : สำเนาบัตรประชาชน, สำเนาทะเบียนบ้าน, หลักฐานการทำงาน และหลักฐานการเงิน (Statement) รวมถึงที่มาของแหล่งรายได้สปอนเซอร์ โดยสปอนเซอร์ควรต้องเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดกับผู้สมัครอย่าง พ่อ แม่ หรือคนในครอบครัว ที่สามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ได้ง่าย ไม่ซับซ้อน เพื่อให้ผลการพิจารณาเป็นไปโดยง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น

~ เอกสารตอบรับการเข้าเรียน ใบตอบรับเข้าเรียน ใบเสร็จรับเงิน และ Health Insurance ของสถาบันศึกษาที่กำลังจะไปเรียนต่อ ซึ่งเอกสารนี้ถือเป็นเอกสารสำคัญ ที่ต้องมีตราประทับรับรองจากสถาบันฯ จึงจะสามารถขอวีซ่านักเรียนได้

และเมื่อเตรียมงบประมาณ ข้อมูลพื้นฐาน เอกสารทุกอย่างจนครบสมบูรณ์แล้ว ก็ถึงเวลาเตรียมตัว เตรียมใจ และออกเดินทางสู่ความสำเร็จกัน

3 สิ่งอันตรายทางด้านสุขภาพ เมื่อเด็กๆ ต้องเรียนออนไลน์ และวิธีที่ทำให้ทั้งครูและนักเรียนแฮปปี้ในการเรียนออนไลน์ไปด้วยกัน

แม้หลายคนจะเริ่มเชื่อแล้วว่า วิถีชีวิตที่ไวรัสโควิด-19 หยิบยื่นให้เราโดยที่ไม่ร้องขอนี้มันจะอยู่กับเราไปอีกอย่างยาวนาน จนบางคนเอ่ยขึ้นมาว่ามันอาจจะไม่กลับไปเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว และนี่คือความปกติใหม่ หรือ นิว นอร์มอล (New Normal) แต่เราจะปล่อยให้นิว นอร์มอล มันดำเนินไปตามใจชอบได้จริงหรือ?!

ความ (จำเป็นต้อง) เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนั้นไม่ได้สามารถทำได้ในเวลาชั่วข้ามคืน นั่นทำให้เกิดหลายเรื่องที่อันตรายและควรต้องจับตามองกันอย่างจริงจัง การเรียนหรือการทำงานออนไลน์ผ่านเครื่องมือสื่อสารที่กลายเป็นภัยเงียบ และทำอันตรายทั้งร่างกายและจิตใจของผู้คนโดยไม่รู้ตัว อาทิ

  1. การต้องนั่งเรียน สอน หรือทำงานอยู่หน้าจอเป็นเวลานานก็ก่อให้เกิดสารพัดโรค เช่น โรคอ้วน สมาธิสั้น ส่งผลเสียต่อสุขภาพตา
  2. เกิดพฤติกรรมเนือยนิ่งเฉื่อยชา ต้องนั่งเป็นส่วนใหญ่ในแต่ละวัน ทั้งที่โรงเรียนและเล่นโซเชียลมีเดียที่บ้าน พวกเขาก็ติดนิสัยเฉื่อยชาได้ ขณะที่เด็กที่ไม่เฉื่อยชาและออกกำลังกายเป็นประจำมีแนวโน้มจะเริ่มและรักษานิสัยที่ดีต่อสุขภาพไว้มากกว่า พวกเขามีแนวโน้มจะอาบน้ำเป็นประจำ มีอนามัยที่ดี และกินอาหารที่มีประโยชน์มากกว่า เมื่อนิสัยนี้ฝังลึกแล้ว ก็มีแนวโน้มจะติดตัวไปถึงวัยผู้ใหญ่
  3. เป็นโรคซึมเศร้าเพราะเกิดความเครียดความกังวลเกี่ยวกับการเรียนและปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน ครอบครัว เพื่อน และการดำรงชีวิต

ทั้งนี้เพื่อให้เด็กๆ มีความสุขและสุขภาพแข็งแรงมากยิ่งขึ้น มีวิธีใดบ้างที่ครูและผู้ปกครองซึ่งแม้จะมีความเครียดและความวิตกกังวลไม่แพ้กันต้องช่วยเด็กที่อาจจะรับมือกับสถานการณ์ปัจจุบันนี้ดีได้ไม่เท่า ผู้รู้หลายท่านบอกไว้ดังนี้

สถาบัน International Virtual Learning Academy หรือ IVLA เชื่อว่า ความสุขของบุคคลนั้นมีความสัมพันธ์กับความสามารถในการเรียนรู้ของนักเรียนจริง

ชอว์น เอเกอร์ (Shawn Achor) กูรูทางด้านความสุข เจ้าของโปรแกรม Orange Frog เพื่อสอนเรื่องปรัชญาความสุข โดยมีเป้าหมายคือ “การสอนความสุข” การสร้างสภาพแวดล้อมที่มีความสุขมากขึ้นโดยเสริมสร้างนิสัยเชิงบวก กล่าวว่า ความสุขและทัศนคติที่ดีจะส่งเสริม หลายด้าน อาทิ จะทำให้เด็กๆ สุขภาพดีและมีส่วนร่วมกับการเรียนการสอนเพิ่มขึ้น พัฒนาการของเด็กๆ เพิ่มมากขึ้น และประสบความสำเร็จมากขึ้น

“การสอนความสุข” คือหลักการสำคัญของ Orange Frog ซึ่งก็มีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่จากบทความของ เดวิด เลวิน (David Levine) จากเว็บไซต์ US New & World Report เปิดเผยว่า โครงการ Orange ได้ดำเนินการในเมือง ชวมเบิร์ก รัฐอิลลินอยส์ โดย Schaumburg Township Elementary District 54 ภายใน 3 ปีของผลสำฤทธิ์ทางการศึกษาของเด็กๆ ในรัฐอิลลินอยส์เพิ่มขึ้นจาก 73 % มาอยู่ที่  95%  ผลลัพธ์น่าประทับใจมากจน แอนดรูว์ ดูรอส (Andrew DuRoss) ผู้กำกับการเขต 54 กล่าวว่า

“ผมคิดว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดที่ผมทำในฐานะผู้ดูแลกิจการโรงเรียน”

ดังนั้นจึงถือได้ว่าถึงจะไม่มีงานวิจัยใดรองรับ แต่ด้วยวิธีการแสนง่ายแต่แลกมาด้วยความสุของเด็กๆ ก็น่าทดลองทำมากทีเดียว

การสอนความสุข มีวิธีการง่ายๆ อย่างเช่น

ยิ้ม

รอยยิ้มสามารถช่วยให้นักเรียนผ่อนคลายมากขึ้นได้ นี่เป็นเทคนิคที่ทรงพลังและเรียบง่าย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญสนับสนุนให้ “ฝืนยิ้มปลอม” หากจำเป็น

บันทึกเรื่องราวดีๆ

ลองจดเรื่องราวดีๆ ลงในสมุด ยิ่งจดจะยิ่งเสริมสร้างให้รู้จักสรรหาและชื่นชมสิ่งดีๆ ในชีวิตได้มากขึ้น ซึ่งนั่นก็จะทำให้ชีวิตมีแต่พลังบวกเพิ่มมากขึ้น การบันทึกความสุขนี้ เป็นสิ่งที่ทุกคนควรทำ

การเรียนรู้ทางสังคมและอารมณ์ (Social and Emotional Learning SEL)

นี่เป็นเทคนิคที่เน้นการให้ความรู้แก่นักเรียนเกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้พวกเขามีความสุข เป้าหมายคือสร้างความตระหนักรู้และเสริมสร้างพลังอำนาจภายในตัวนักเรียนโดยเน้นที่แนวคิดหลัก เช่น ความเห็นอกเห็นใจ ความกล้าหาญ ความซาบซึ้ง และการให้อภัย

ออกกำลังกาย

การเคลื่อนไหวร่างกายของเราจะเพิ่มความสุข โดยการนำกิจกรรมการออกกำลังกายขั้นพื้นฐานมารวมไว้ในโปรแกรมการศึกษาของนักเรียน หรืออาจจะหาเวลาออกกำลังเพิ่มขึ้นด้วยตนเอง เพื่อชดเชยเวลาที่นั่งติดที่นานเกินไปก็ได้จะทำให้ทั้งสภาวะทางร่างกายและจิตใจของนักเรียนดีขึ้น ผลการศึกษาของภาควิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์พบว่า การออกกำลังกายสามารถเปลี่ยนรูปร่างและการทำงานของสมองเด็กได้ ความเข้าใจว่าการดำเนินชีวิตอย่างกระฉับกระเฉงในวัยเด็กว่ามีประโยชน์ต่อระบบประสาทด้านการรู้คิดอย่างไร จึงมีผลสำคัญมากทั้งด้านสาธารณสุขและการศึกษา

เล่นดนตรี

การเพิ่มสีสันให้กับดนตรีเป็นอีกเทคนิคง่ายๆ ที่พิสูจน์แล้วว่าส่งผลดีต่อนักเรียน การเล่นดนตรีไม่เพียงแต่ส่งเสริมบรรยากาศที่ผ่อนคลายเท่านั้น แต่ยังช่วยลดความดันโลหิตและลดความวิตกกังวลได้อีกด้วย

ด้านกรมสุขภาพจิตของไทยเปิดเผยว่า สหประชาชาติได้ออกมาเตือนทั่วโลกแล้วว่า ให้เตรียมรับมือในพร้อมในเพราะคนทั่วโลกจะได้รับผลกระทบทางด้านจิตใจ เนื่องจากต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่มีความตาย ความเจ็บป่วย ความเศร้า โดดเดี่ยว ความยากจน และความเครียด อันเป็นผลจากโรคโควิด-19 ไม่เว้นแม้กระทั่งนักเรีนยที่นั่งเรียนออนไลน์อยู่กับบ้าน

สำหรับปัญหาที่เด็กไทยต้องเจอระหว่างการเรียนออนไลน์นั้นก็คือ ความเครียดเกี่ยวกับการเรียน การสอบ โดยเฉพาะเมื่อต้องสอบเข้าโรงเรียนใหม่หรือมหาวิทยาลัย การบ้านเยอะ และปัญหาเรื่องอุปกรณ์ในการเรียนออนไลน์ซึ่งบางบ้านไม่สามารถหามาใช้งานได้ เหล่านี้ทำให้เกิดความเครียดและผู้ปกครองซึ่งอาจจะเครียดกว่าแต่ความสามารถในการรับมือกับความเครียดมากกว่าก็ต้องจับสังเกตอาการของเด็กๆ เพื่อจะได้ช่วยเหลือได้ทันท่วงทีหากว่าพวกเขาต้องการ โดยวิธีง่ายๆ ดังต่อไปนี้

  1. จับสังเกตความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์และพฤติกรรมต่าง ว่าแสดงความวิตกกังวลหรือไม่ หากพบให้ดูแลอย่างใกล้ชิด แสดงความรักความห่วงใย พร้อมรับฟังและอยู่เคียงข้าง ชวนทำกิจกรรมร่วมกัน อาทิ ทำอาหาร ปลูกต้นไม้ หรือกิจกรรมที่ลูกชอบ หาทางผ่อนคลายให้ลูกแล้วรอจนกว่าลูกพร้อมที่จะระบายให้ฟัง
  2. เติมพลังบวก กำลังใจที่ดีเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากในสภาวะที่ร่างกายและจิตใจ่อนแอ พยายามใช้คำพูดทางด้านบวก มองปัญหาว่ามีทางออก เรื่องนี้หากครอบครัวเข้าใจจะช่วยให้อาการเครียดและวิตกกังวลต่างๆ ของเด็กลดลงได้มาก

นอกจากนี้ยังมีการจัดสร้างเว็บไซต์นวัตกรรม ‘My HERO’ เยียวยาความเครียดจากพิษโควิด โดย สสส.ร่วมมือกับ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว.) พัฒนาเครื่องมือนวัตกรรมใจ เว็บไซต์ My HERO ที่ http://bsri.swu.ac.th/myhero/  เพื่อเป็นเครื่องมือออนไลน์สำหรับรู้เท่าทันสภาวะใจตนเอง ช่วยดูแลจิตใจ และสร้างเสริมสุขภาพจิตคนไทยในวิกฤติต่างๆ

My HERO ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ คือ

  1. H-Hope การมีความหวัง
  2. E-Efficacy การเชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง
  3. R-Resiliency ความยืดหยุ่นทางจิตใจเมื่อเจออุปสรรค
  4. O-Optimism การมองโลกในแง่ดี สร้างมุมมองบวกต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน&อนาคต

ดร.นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ โฆษกกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า

คนไทยได้รับผลกระทบด้านสุขภาพจิตมาก มีการคาดการณ์ตั้งแต่การระบาดระลอกแรก เพราะมีการศึกษาว่าเมื่อเกิดโรคระบาดระลอกแรกนั้น ปัญหาทางกายอาจจะจบที่ใส่หน้ากาก แต่ปัญหาสุขภาพจิตยังต่อยอดไปอีก 3-5 ปี ความเครียด เศร้า ความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายจะสูงขึ้นตามอัตราการแพร่ระบาด

การขยับร่างกายระหว่างวัน การบริหารจิตใจด้วยการเลือกทำและมองในสิ่งที่เป็นสุข เป็นกุญแจสำคัญในการช่วยเรื่องผลกระทบทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่เกิดจากพฤติกรรมที่ต้องเปลี่ยนไป เพื่อให้ครอบครัว บ้าน โรงเรียน ที่ทำงานและทุกซอกส่วนเล็กๆ ของสังคมได้ประคับประคองกันและกันให้ผ่านช่วงวิกฤตไปได้


ที่มา :

  • “7 เหตุผลที่การนั่งเรียนนาน ๆ ส่งผลต่อสุขภาพของเด็ก” สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
  • “5 Ways to Teach Happiness in an Online Learning Environment” โดย International Virtual Learning Academy
  • “ลดความตึงเครียดของเด็กเรียนออนไลน์” กรมสุขภาพจิต
  • “สสส. เปิดเว็บไซต์ My HERO ชวนสร้างพลังสู้ ฝ่าวิกฤติโควิด” สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

เว็บไซต์นี้มีการใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายคุกกี้และ นโยบายในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า