7 กิจกรรมคลายเครียดเมื่อต้องเรียนออนไลน์อยู่บ้านเป็นเวลานาน

หลังจากที่นักเรียนในระบบโรงเรียนต้องกลายเป็นนักเรียนในระบบออนไลน์มานาน หลายบ้านตอบรับกับการเรียนออนไลน์ได้เป็นอย่างดี ขณะที่อีกหลายๆ บ้านนั้น ไม่ใช่! ปัญหาต่างๆ เกิดขึ้นหลายครั้ง ทั้งปัญหาสิ่งรบกวนสมาธิระหว่างเรียนทำให้เด็กๆ หันหาสิ่งเร้าอื่นๆ ได้ง่ายขึ้น มีการตอบโต้ระหว่างครูกับนักเรียนลดลง หรือการต้องห่างไกลจากเพื่อนๆ สุขภาพได้รับผลกระทบ ซึ่งทั้งหมดนี้นำมาซึ่งความเครียดจนกลายเป็นปัญหา

ศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย (TPAK) สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เผยผลการวิจัยในงานเสวนาออนไลน์ “ทราบแล้วเปลี่ยน” ในหัวข้อ แนวทางส่งเสริมสุขภาพเด็กในช่วงเรียนออนไลน์เด็กไทยยุคโควิด พบว่า เด็กไทยในยุคโควิดนี้ มีพฤติกรรมเนือยนิ่ง 79.0% และมีอาการเครียดสูงถึง 74.9% ซึ่งหากปล่อยไว้เป็นเวลานาน อาจจะเป็นต้นเหตุให้เกิดความเจ็บป่วยทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต เช่น โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคความดัน โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคซึมเศร้า

เพื่อป้องกันก่อนจะเกิดปัญหาที่แก้ไขได้ยาก ‘ปิดเทอมสร้างสรรค์’ มีกิจกรรมอันเป็นแนวทางแนะนำสำหรับปัญหาพฤติกรรมเนือยนิ่งและความเครียดของนักเรียนที่ยังคงต้องใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่หน้าจอดังนี้

1 กอด

การกอดโดยเฉพาะกอดกับคนที่รักนั้น ฮอร์โมนออกซิโทซิน หรือ “ฮอร์โมนกอด” จะถูกปล่อยออกมา ทำให้ระดับความสุขสูงขึ้นและลดความเครียดลงได้ ไม่ว่าคนที่คุณรักจะเป็นใครลองอ้าแขนโอบรัดกันและกันเข้าไว้ ความรักบรรเทาความเครียดได้


2 สร้างงานศิลป์

เราไม่ได้บอกให้คุณกลายร่างเป็น ปาโบล ปิกัสโซ ลีโอนาโด ดาวินชี หรือวินเซนต์ แวนโก๊ะ แต่ที่จะบอกก็คือ ขอให้คุณมีเพียงกระดาษและสี ผลจากงานวิจัยเรื่อง งานวิจัยเรื่อง “Can Coloring Mandalas Reduce Anxiety?” โดย Nancy A. Curry and Tim Kasser, Galesburg, IL ก็ยืนยันแล้วว่า มันสามารถทำให้ความเครียดและความวิตกกังวลของคุณลดลงได้ เพราะการระบายสี เป็นการทำสมาธิอย่างหนึ่ง หากไม่สะดวกวาดรูป ก็สามารถใช้เป็นหนังสือภาพระบายสี ที่ตอนนี้ผู้ผลิตก็ทำมาสำหรับทุกวัยแล้ว


3 แบ่งเวลายืดเหยียด

หากเด็กๆ หรือตัวผู้ปกครองเอง นั่งอยู่กับโต๊ะทำงาน โต๊ะเรียนหนังสือเป็นเวลานาน ลองลุกชึ้นมายืดเส้นยืดสาย จะช่วยคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อแขน ขา บ่า หลัง และสายตาที่ต้องจับจ้องจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์เป็นเวลานานได้ นอกจากนี้ยังช่วยให้ผ่อนคลายระหว่างวันได้ด้วย โดยใน 1 ชั่วโมง ต้องแบ่งเวลายืดเหยียดสั้นๆ 1 ครั้ง


4 ออกไปเดิน

การเคลื่อนไหวที่เกิดจากการเดินช่วยทำให้ร่างกายตื่นตัวมากขึ้น ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง โรคควมดันโลกหิตสูง ช่วยให้นอนหลับได้ดี นอกจากนี้ การเดินยังช่วยในด้านจิตใจและอารมณ์ ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุข คือ เซโรโทนิน ซึ่งช่วยลดอาการซึมเศร้า ความวิตกกังวลและความเครียดได้อีกด้วย และการได้เปลี่ยนบรรยากาศระหว่างทำงานหรือเรีนยนั้นก็ทำให้สมองโล่ง และแก้ปัญหาต่างๆ ได้ดีขึ้นด้วย


5 ออกกำลังกายเป็นประจำ

เมื่อต้องทำงานหรือเรียนที่บ้าน สิ่งหนึ่งที่พบก็คือ ผู้คนออกกำลังกายน้อยลง จนถึงขั้นเนือยนิ่ง แต่การออกกำลังกายไม่ว่าจะเป็นออกกำลังกายในยิม การวิ่ง ปั่นจักรยาน หรือการเล่นกีฬาชนิดต่างๆ หรือการเคลื่อนไหวใดๆ ก็ตามจะเพิ่มสารเอ็นโดรฟินในร่างกาย สารเคมีในสมองนี้ทำให้คุณรู้สึกสดชื่น เมื่อร่างกายของคุณสร้างสารเอ็นดอร์ฟินมากขึ้น ความกังวล ความเครียดก็จะหายไป นอกจากนี้งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยโอทาโก ประเทศนิวซีแลนด์ ที่ตีพิมพ์ใน Frontier in Psychology เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมายังกล่าวด้วยว่า การออกกำลังกายจะช่วยให้คุณภาพการนอนหลับดีขึ้นซึ่งจะช่วยให้สุขภาพจิตองค์รวมดีขึ้นด้วย ลองชวนคนข้างๆ ออกกำลังกายด้วยกัน การได้พูดคุยกันระหว่างออกกำลังกายก็สามารถลดความเครียดได้เช่นกัน


6 ฝึกควบคุมลมหายใจ

ใครๆ ก็หายใจได้ ถ้าจะพูดให้ถูกต้องบอกว่า ใครๆ ก็ต้องหายใจ แต่หายใจอย่างไรให้มีประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจมากที่สุด ลองหายใจเข้าทางจมูกให้ลึกอย่างช้าๆ จากนั้นพ่นลมหายใจออกทางปากยาวๆ และช้าๆ เช่นกัน จิตแพทย์จากรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา เกรกอรี สก๊อตต์ บราวน์ (Gregory Scott Brown, MD) แนะนำทฤษฎี 4-7-8 หายใจเข้า 4 วินาที กลั้นหายใจ 7 วินาที จากนั้นหายใจออก 8 วินาที ทำแบบนี้ซ้ำๆ เซ็ตละประมาณ  7 – 8 ครั้ง วันละประมาณ 2 – 3 เซ็ต การหายใจด้วยวิธีการนี้เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการผ่อนคลายความตึงเครียด เพิ่มความตื่นตัวให้ทั้งจิตใจและร่างกาย ช่วยลดความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจ ทำให้สมองปลอดโปร่ง โดยจะนั่งทำ หรือนอนราบก็ได้


7 เขียนมันออกมา

งานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่การจดบันทึกประจำวันที่มีผลต่อสุขภาพ ความสุข และความสามารถในการจัดการกับความเครียด เป็นวิธีหนึ่งในการทำงานผ่านความคิดและความรู้สึกกังวลหรือเศร้า เพราะการปล่อยให้ความเครียดเกิดขึ้นโดยไม่ทำอะไรจะยิ่งทำให้เครียดและวิตกกังวลยิ่งขึ้น แต่การเขียนจะช่วยให้ขยัดความเครียดและความกังวลเหล่านั้นออกมาได้ และเมื่อเวลาผ่าน เราได้กลับมาอ่านมันอีกครั้ง ก็จะรู้สึกได้ว่าที่ผ่านมานั้นเอาชนะความยากลำบากมาอย่างไรได้บ้าง

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมที่สามารถทำได้ง่ายๆ เพื่อลดความเครียดให้กับร่างกายและสมอง เช่น การฝึกทำสมาธิ โยคะ อ่านหนังสือ งีบหลับ ฟังเพลงที่ชอบ ฯลฯ

เหล่านี้นอกจากจะช่วยให้คลายความเครียดและลดความวิตกกังวลของเด็กๆ ได้แล้ว ยังล้วนแต่เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างคนใกล้ชิดได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ลองสังเกตคนรอบข้าง ไม่ว่าคุณจะอยู่ในฐานะ ลูก พี่ น้อง พ่อ แม่ หากเมื่อใดพวกเขามีสัญญาณความเครียด เช่น พฤติกรรมการกินเปลี่ยน การนอนแย่ลง หงุดหงิดง่าย แยกตัวจากผู้อื่น ปวดหัวหรือปวดท้องบ่อยๆ ใช้แอลกอร์ฮอล์ ฯลฯ ลองเลือกสัก 1 กิจกรรม แล้วทำมันร่วมกัน เพื่อเป็นการจับมือผ่านวิกฤตนี้ไปพร้อมๆ กันอย่างเข้มแข็ง


ข้อมูลจาก

  1. ศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย (TPAK) สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
  2. งานวิจัยเรื่อง “Can Coloring Mandalas Reduce Anxiety?” โดย Nancy A. Curry and Tim Kasser, Galesburg, IL
  3. บทความ เรื่องการเดินเพื่อสุขภาพ โดย รองศาสตราจารย์ ดร. เภสัชกรหญิง จิรภรณ์ อังวิทยาธร ภาควิชาเภสัชเคมี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
  4. งานวิจัยเรื่อง The Big Three Health Behaviors and Mental Health and Well-Being Among Young Adults: A Cross-Sectional Investigation of Sleep, Exercise, and Diet. โดย Wickham, S et al. Frontiers in Psychology. 2020 Dec. doi:10.3389/fpsyg.2020.579205

ที่วางโทรศัพท์จากไม้ไอติม

กินไอติมแล้ว อย่าเอาไม้ทิ้งนะคะ เก็บมาล้างทำความสะอาดตากให้แห้ง ก็สามารถนำมาทำสิ่งประดิษฐ์ที่ใช้งานได้นั้นก็คือที่วางโทรศัพท์มือถือนั้นเอง ขั้นตอนการทำง่ายๆ มีแค่กาวก็สามารถทำได้แล้ว มาดูวิธีทำกันเลย

อุปกรณ์

  1. ไม้ไอติมล้างทำความสะอาดให้แห้ง
  2. กาวสำหรับติดไม้ไอติม
  3. ดินสอ
  4. กรรไกร

วิธีทำ

  1. เตรียมไม้ไอติมที่ล้างทำความสะอาดแล้ว แบ่งเป็นชุดดังภาพ (4 ชิ้น, 3 ชิ้น, 2 ชิ้น, 1 ชิ้นตัดคครึ่ง)
  2. นำไม้ไอติม 4 ชิ้นทากาวซ้อนกัน และ ไม้ไอติม 3 ชิ้นทากาวซ้อนกัน และรอให้แห้ง
  3. เตรียมไม้ไอติม 2 ชิ้น วางเป็นทรงสามเหลี่ยม ใช้ดินสอวาดเป็นรอยเพื่อเป็นจุดสำหรับทากาว แล้วรอให้แห้ง
  4. นำไม้ไอติม 4 ชิ้นที่ทากาวแห้งแล้ว มาติดบนไม้ไอติม 2 ชิ้น ที่เตรียมไว้ โดยติดตามตำแหน่ง รอกาวแห้ง
  5. เตรียมไม้ไอติม 3 ชิ้น มาติดฝั่งตรงข้ามในตำแหน่งเดียวกันของไม้ไอติม 4 ชิ้น ดังภาพและรอกาวแห้ง
  6. ไม้ไอติม 2 ชิ้นที่เตรียมไว้ ทากาวไว้ที่ฐานของฝั่ง 3 ชิ้นดังภาพ รอกาวให้แห้ง

เทียนแฟนซีจากสีเทียน

จากขวดโหลที่เหลือใช้ สีเทียนที่มีอยู่ที่บ้านแล้วนั้น สามารถนำมาทำเป็นเทียนแฟนซีในขวดโหลน่ารัก ๆ ได้ ด้วยวิธีที่ง่าย ๆ โดยใช้อุปกรณ์ในบ้านก็สามารถทำได้เลย ไปดูวิธีทำกันเลย

เตรียมอุปกรณ์

  1. เทียนขาว 10 เล่ม
  2. สีเทียน 3 สี (เลือกสีตามชอบ)
  3. ชามทนความร้อนสำหรับละลายเทียน
  4. ขวดโหลใส่เทียนแฟนซี
  5. ถ้วยกระดาษ 3 ถ้วย (ผสมสี)
  6. ไม้ไอติม, ช้อน, กรรไกร

วิธีทำ

  1. ใส่เทียนขาวในชามทนความร้อน วางในภาชนะใส่น้ำทนความร้อนตั้งไฟอ่อน ๆ ให้เทียนละลาย
  2. ตั้งไฟอ่อน สังเกตเทียนจะค่อย ๆ ละลายเป็นน้ำเทียนใส จะเหลือไส้เทียนเป็นเส้นยาว ๆ คีบไส้เทียนออก
  3. นำเชือกเทียนมาพันกับไม้ไอติม เพื่อยึดไส้เทียนไว้ จุ่มไส้เทียนลงไปในขวดโหลดังภาพ
  4. แบ่งน้ำเทียนที่ละลายแล้วในถ้วยกระดาษ และหักสีเทียนใส่ตามชอบ แล้วใช้ไม้ไอติมคนให้ละลาย (หากไม่ละลาย สามารถนำเข้าไมโครเวฟละลายเพิ่มได้)
  5. เทน้ำสีเทียนที่ผสมแล้วใส่ขวดโหล แบ่งชั้นตามชอบ รอให้แห้ง แล้วสลับสีใหม่ (หากน้ำสีเทียนแห้ง สามารถเข้าไมโครเวฟเพื่อละลายใหม่ได้)
  6. ตัดไส้เทียนที่ผูกกับไม้ไอติม เช็ดคราบเทียนส่วนเกินออก เป็นอันเสร็จสิ้น

10 แหล่งเรียนออนไลน์สุดปัง เรียนดีกับมหาวิทยาลัยดังพร้อมได้ใบประกาศฟรี!

นับตั้งแต่โคโรนา ไวรัส 2019 หรือ โควิด ได้เข้ามาเคาะประตูทำความรู้จักกับประชากรทั่วโลกใบนี้ กระบวนการทุกด้านที่เกี่ยวกับออนไลน์ก็ดูเหมือนจะเติบโตแบบก้าวกระโดด ไม่ว่าเราจะพร้อมหรือไม่พร้อมจะรับมือกับมันก็ตาม

ไม่ใช่เพียงการทำงาน การเรียน หรือการดำเนินชีวิตประจำวันเท่านั้นก็ต้องเปลี่ยนมาใช้วิธีการออนไลน์ แต่ที่มีอิทธิพลมากขึ้นอย่างชัดเจนก็เห็นจะเป็น การลงเรียนในหลักสูตรออนไลน์ไม่ว่าจะเป็นความรู้เชิงวิชาการ เชิงส่งเสริมอาชีพ หรือเชิงสร้างสรรค์ ก็ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะการเรียนออนไลน์นั้นสามารถเรียนจากที่ไหนก็ได้บนโลกใบนี้ ในเวลาใดก็ได้ที่ต้องการ

ข่าวดีก็คือ แม้การล็อกดาวน์จะดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง การคลายล็อกดาวน์ยังอยู่ในภาวะคลุมเครือ มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงทั่วโลก ก็ได้ออกแบบหลักสูตรที่น่าสนใจออกมามากมายเพื่อสนองตอบความต้องการของผู้คนในยุคนี้ ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว หลักสูตรต่างๆ เหล่านี้จัดทำขึ้นเพื่อคนทุกเพศ ทุกวัย ทุกพื้นฐานระดับการศึกษา เพียงแต่หากต้องการจะศึกษาหลักสูตรคอร์ส หรือวิชาของต่างประเทศ ก็ต้องมีทักษะทางด้านภาษาอังกฤษด้วย และที่สำคัญ มันฟรี!!

มาดูกันเถอะว่า เราสามารถลงทะเบียนเพื่อลงเรียนสุดยอดหลักสูตรจากมหาวิทยาลัยชื่อดังทั่วโลกแบบไม่เสียเงินเลยสักบาท จากที่ใดได้บ้าง

หลักสูตรออนไลน์จากมหาวิทยาลัยทั่วไทย

1. Thai MOOC

Thai MOOC หรือ Thailand Massive Open Online Course: Thai MOOC โดย โครงการมหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทย (Thailand Cyber University) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศไทย เป็นการศึกษาที่สามารถเข้าเรียนรู้ในรูปแบบออนไลน์ โดยเรียนผ่านวิดีโอ บรรยายโดยอาจารย์เจ้าของวิชา มีแบบฝึกหัดหลังบทเรียน หลังจากจบหลักสูตรแล้ว


2. CHULA MOOC

คอร์สเรียนออนไลน์ฟรี จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีหลักสูตรต่างๆ ให้เลือกเรียนมากมาย เหมาะกับผู้คนทุกเพศทุกวัย ในแต่ละเดือนจะมีคอร์สเปิดใหม่สลับสับเปลี่ยนเข้ามาเรื่อยๆ


3. CMU MOOC

รวบรวมวิชาจากหลากหลายคณะ ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เข้าไว้ ที่สำคัญบางวิชาจะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของท้องถิ่นทางภาคเหนือด้วย เช่น ศิลปะล้านนา สถาปัตยกรรมและการออกแบบตลาดเชียงใหม่ สถาปัตยกรรมล้านนา อดีตและปัจจุบัน


4. MUx : Mahidol University Extension

คอร์สเรียนออนไลน์ฟรี จากมหาวิทยาลัยมหิดล มีระบบ Personal Message สามารถพูดคุยกับอาจารย์ผู้สอนได้


5. Thammasat Gen Next Academy : ธรรมศาสตร์ตลาดวิชา

เป็นรายวิชาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่มีมากมายหลายวิชาเปิดให้คนทั่วไปลงทะเบียนเรียนได้ มีทั้งฟรีและต้องเสียเงินค่าสมัคร


6. Starfish Labz

คอร์สออนไลน์ฟรี และแหล่งเรียนออนไลน์แห่งแรกของประเทศ สำหรับนักการศึกษาและผู้ปกครอง เกี่ยวกับการจัดการศึกษาแนวใหม่ การพัฒนาการเด็ก นวัตกรรม และเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ที่มีมากกว่า 100 คอร์ส ฟรีทุกคอร์ส เรียนจบรับประกาศนียบัตรทันที


หลักสูตรออนไลน์จากมหาวิทยาลัยทั่วโลก

7. Coursera

เป็นเว็บไซต์คอร์สเรียนออนไลน์ที่เกิดขึ้นโดยการร่วมมือกันระหว่างบริษัทและมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลกกว่า 200 ราย อาทิ Google, IBM, มหาวิทยาลัย สแตนฟอร์ด, อิลลินอยส์, Imperial College London, เพนซิลวาเนีย และอื่นๆ

Coursera มีทั้งคอร์สฟรีและไม่ฟรี แต่มีคอร์สที่หลากหลายให้ได้เลือกเรียนกัน


8. Edx

เป็นอีกแพล็ตฟอร์มการเรียนออนไลน์ที่โด่งดังระดับโลก และร่วมมือกับมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงมากมาย อาทิ ฮาร์วาร์ด, เบิร์กลี่ย์, MIT, บอสตัน และอื่นๆ มีคอร์สให้เลือกเรียนตามความถนัดและความชอบนับไม่ถ้วน ทั้งฟรีและมีค่าใช้จ่าย แต่ถ้าลงคอร์สฟรี แต่ต้องการใบประกาศนียบัตรต้องจ่ายเงินด้วย


9. Open Culture Online Courses

เว็บไซต์ที่รวบรวมคอร์สจากมหาวิทยาลัยหลายร้อยแห่ง กว่า 1,700 คอร์ส จากมหาวิทยาลัยระดับโลก เช่น เยล, MIT, ฮาร์วาร์ด, อ็อกฟอร์ด, และอื่นๆ นอกจากนี้ยังรวบรวมคอร์สจากคอร์สออนไลน์ ( MOOC) ที่อื่นไว้ที่นี่ที่เดียวอีกด้วย เรียกว่าคอร์สเยอะมาก หาอะไรก็เจอ


10. MIT OpenCourseWare

เป็นเว็บไซต์ที่บรรจุคอร์สออนไลน์จาก สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ หรือ Massachusetts Institute of Technology (MIT)  กว่า 2,500 หลักสูตร แบ่งปันความรู้กับผู้เรียนและนักการศึกษาทั่วโลกโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย


นอกจากนี้ยังมีคอร์สฟรีจากมหาวิทยาลัยชื่อดังทั่วโลกที่ต้องเข้าเรียนผ่านเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยโดยตรง อาทิ Harvard, Oxford, Stanford และอื่นๆ อีกมากมาย

ขอให้มีความสุขกับการเปิดโลกเพื่อพัฒนาตนเอง 🙂

ปลูกต้นหอมง่าย ๆ จากขวดพลาสติก

วันนี้เราจะมานำเสนอวิธีการปลูกต้นหอมง่าย ๆ โดยใช้วัสดุเหลือใช้ในบ้านของเรา และวัตถุดิบที่ทุก ๆ บ้านต้องมี เรามาดูวิธีกันเลย

อุปกรณ์

  1. ขวดพลาสติก 2 ขวด
  2. หัวหอมแดง 2 หัว
  3. น้ำสะอาด
  4. กรรไกร หรือ คัตเตอร์

วิธีทำ

  1. ตัดขวดพลาสติกแบ่งครึ่ง และนำน้ำใส่ในส่วนของก้นขวดประมาณครึ่งนึงของขวดที่ตัดแล้ว
  2. เตรียมหัวหอมแดง โดยตัดจุกด้านบนออก และ ส่วนรากไม่ต้องตัด
  3. เอาขวดพลาสติกส่วนหัวที่ตัดไว้ คว่ำลงในก้นขวดที่ใส่น้ำไว้แล้วในข้อ 1 แล้ววางหัวหอมลง โดยให้รากลงไปโดนส่วนของน้ำ
  4. เมื่อวางหัวหอมลงแล้วผ่านไป 1 วันจะมีต้นลำต้นโผล่ออกมาจากหัวหอมประมาณครึ่งซม. มีสีเขียวอ่อน ๆ 
  5. เมื่อเวลาผ่านไป 7 วัน ก็สามารถนำต้นหอมไปประกอบอาหารได้เลย 🙂

“ทุนการศึกษา” ช่วงชีวิตดีๆ ที่ทุกคนมีโอกาส

เคยคำนวณกันบ้างหรือไม่ว่า กว่าจะจบการศึกษานั้น ต้องใช้งบประมาณตั้งแต่อนุบาลจนถึงระดับปริญญากันไปเท่าไร ดีดลูกคิดกันรัวๆ ในหัวสมอง คาดว่าตัวเลขหกหลักน่าจะปรากฏอยู่ในหัวของคนหลายคน ขณะที่บางคนอาจจะเลยเถิดไปถึงเจ็ดหลักแปดหลักได้ ซึ่งบางคนก็ควักกระเป๋าจ่ายเอาง่ายๆ แต่ต้องยอมรับว่า ในพื้นที่ประเทศไทยนี้ ตัวเลขอย่างที่บอกอาจจะทำให้บางคนน้ำตาไหล ต้องตัดใจกับอนาคตตัวเองกันเลยทีเดียว

แต่ใช่ว่าจะไม่มีหนทางเสียเมื่อไร “ทุนการศึกษา” ยังเป็นคำที่น่าหลงไหลอยู่เสมอสำหรับนักเรียนที่ผลการเรียนดีและต้องการทุนการศึกษาเพื่อให้ตัวเอง “ไปต่อได้”

ปัญหาก็คือหลายทุนมักจะถูกมอบให้กับนักเรียนนักศึกษาที่มีผลการเรียนดี ทำให้มีอีกกลุ่มบุคคลอีกกลุ่มที่อาจจะถูกมองข้ามไป อย่างเช่น นักเรียน-นักศึกษาที่มีความสามารถโดดเด่นเฉพาะด้าน

ทักษ์ดนัย รุณเจริญ หรือ เจมส์ นักศึกษาสาขานิเทศศาตร์ เอกดิจิตอลมัลติมีเดีย คณะนิเทศศาสตร์การจัดการ ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย เป็นผู้หนึ่งที่มีความสามารถและอุทิศตนทำงานเพื่อส่วนรวมมาโดยตลอดระยะเวลาเรียนตั้งแต่ชั้นปีที่ 1 ทำให้ได้รับการคัดเลือกเป็นผู้รับทุนการศึกษาจากแบรนด์เครื่องสำอางชื่อดังซึ่งมีเกณฑ์คัดเลือกนักศึกษาผู้ได้รับทุนจาก ความสามารถ ความประพฤติ ความมีจิตอาสา และอื่นๆ

ทักษ์ดนัยคือช่างภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว รวมไปถึงตัดต่อคลิปวิดีโอ และทำสื่อต่างๆ ที่ทำงานให้ทั้งระดับคณะและมหาวิทยาลัย ซึ่งความสามารถเหล่านี้รวมถึงการอุทิศตนเพื่อทำงานให้ส่วนรวมนี้ก็ทำให้เขาเข้าเกณฑ์การได้รับทุน และเพราะได้รับทุนเพราะความสามารถ หน้าที่หนึ่งของเขาซึ่งเป็นข้อบังคับของทุนก็คือ ต้องแสดงความสามารถในขณะที่ได้รับทุนอย่างสม่ำเสมอ

“เกณฑ์ของทุนนี้คือต้องทำกิจกรรมให้คณะ มีอาจารย์ที่ปรึกษาเสนอชื่อผมไปเพราะผมทำงานให้คณะมาตลอด อย่างผมเรียนนิเทศศาสตร์ ผมก็ถ่ายรูปเป็น ถ่ายวิดีโอได้ ตัดต่อเป็น แต่งรูปเป็น ก็ทำสื่อให้คณะ อาจารย์ก็จะเขียนใบรับรองส่งให้คณะ พอได้รับทุนก็ได้จับคู่กับอาจารย์ที่ดูแลเด็กทุนเพื่อป้อนงานให้ อย่างตัวผมเข้าไปอยู่กับสื่อสารองค์กรของคณะผมก็ทำงานให้หน่วยงานสื่อสารองค์กร ทำทุกอย่างเกี่ยวกับสื่อสาร ไปออกบูธ เวลามีงานผมก็ไปเป็นช่างภาพบ้าง ไปถ่ายวิดีโอมาตัดต่อ ทำสื่อลงเพจของคณะบ้าง ซึ่งผมก็ทำเกินจำนวนที่ทางคณะและเจ้าของทุนกำหนดครับ”

ทักษ์ดนัยบอกว่าแรกทีเดียวนั้นเขาไม่คาดหวังอะไรเลย เพราะถึงแม้ว่าทางบ้านจะมีกำลังทรัพย์ไม่มาก แต่ส่วนใหญ่จะขอทุนไม่ผ่านเพราะผลการเรียนที่อยู่ในระดับกลาง แต่ด้วยทุนที่มีเกณฑ์มอบให้ตามความสามารถนี้เขาจึงได้ทุนนี้มาในที่สุด

“ผมได้ทุนมาจำนวนหนึ่งครับ แต่เจ้าของทุนจะแบ่งจ่ายเป็น 2 ก้อน โดยให้ก้อนแรกมาก่อนจากนั้นก็วัดจากผลงานครับ ถ้าเราทำงานครบตามเกณฑ์ที่กำหนดมา เราก็จะได้ก้อนที่ 2”

“ผมว่านอกจากจะดีที่ได้ทุนแล้ว ยังดีที่ได้โอกาสให้เราได้ฝึกปฏิบัติงานด้วยครับ เพราะเขากำหนดชิ้นงานตามสาขาที่เราเรียนมา อย่างผมทำสื่อ เขาก็ให้เราทำสื่อ ขณะที่สาขาอื่นก็ได้งานตามคณะที่เขาเรียน เหมือนทำงานจริงๆ เลยครับ พอได้ทุนก็เหมือนกับว่าเราไม่ได้แค่เรียน แต่ได้ประสบการณ์ด้วย”

ด้านนางสาววรางคณา คงเล่ง วิทยากรสอนภาษาจีน โรงเรียนฝึกอาชีพกรุงเทพมหานคร (ดินแดง1) ผู้ที่มุ่งมั่นหาทุนการศึกษาจนได้รับทุนจากรัฐบาลจีน ได้เข้าไปเรียนปริญญาโทในคณะการสอนภาษาจีนในฐานะภาษาต่างประเทศ มหาวิทยาลัยกว่างซี เล่าให้ฟังว่า จริงๆ ทุนการศึกษาแบบให้เปล่าของจีนมีเยอะมาก แต่คนไทยอาจจะไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก

“ตอนนั้นเรียนอยู่ที่คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปกร เอกเอเชียศึกษา เลือกภาษาจีน คิดว่าภาษาจีนในยุคนั้นก็ไม่ได้บูมมากเท่าปัจจุบัน คนเรียนก็ไม่ได้เยอะมากนะคะ เหมือนกับว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่คนสนใจซีรีส์เกาหลีกันมากกว่า พอเราเรียนภาษาจีนเราก็รู้สึกว่าไหน ๆ เราก็เรียนแล้ว ถ้าเกิดว่ามีทุนที่ทำให้เราไปเรียนต่อที่จีนได้มันก็ดี เลยลองขอทุนไปกับทางมหาวิทยาลัยค่ะ”

ซึ่งทุนที่ได้สามารถเรียกได้ว่าเป็นทุนให้เปล่าอย่างแท้จริง อีกทั้งยังมีเบี้ยเลี้ยงสำหรับนักเรียนทุนด้วย ทั้งนี้เหล่าซือวรางคณาให้ความคิดเห็นว่า น่าจะเป็นเพราะรัฐบาลจีนต้องการเผยแพร่วัฒนธรรมทางด้านภาษาให้แพร่หลาย 

“ค่าเครื่องบิน ค่าทำเอกสารวีซ่าเราออกเอง แต่ที่เหลือทางรัฐบาลจะเป็นคนจ่ายให้เราทั้งหมด ค่าเทอม ค่ากิน ค่าที่พัก เขาจะมีเบี้ยเลี้ยงให้เป็นรายเดือนแต่เหมือนกับมีค่าไฟที่เราต้องจ่ายเองถ้าเกิดว่าใช้เกินกำหนด เขาจะมีกำหนดค่าไฟว่าเราจะจ่ายให้คุณเท่านี้ถ้าคุณใช้เกินคุณต้องจ่ายที่เหลือเอง ค่าหนังสือก็สามารถ ขอใบเสร็จมาทำหนังสือเบิกได้ กระทั่งช่วงที่เราทำวิทยานิพนธ์ของเราเขาก็ให้ เขาเป็นคนออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด และให้เราอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี อันนี้ไม่เคยถามเอากับหน่วยงานหรือองค์กรไหน แต่เคยคุยกับเพื่อนชาวจีนว่ามีทุนแบบนี้จำนวนมากให้กับชาวต่างชาติ คิดว่าเขาน่าจะต้องการเผยแพร่ภาษาจีนให้เป็นที่รู้จักกับคนจำนวนมากเพื่อที่ว่าหลาย ๆ คนในโลกนี้จะได้พูดภาษาจีนได้ จะได้สื่อสารกับชาวจีนได้ง่ายขึ้น แทนที่เขาจะปรับคนข้างในประเทศเขา เขามาปรับคนข้างนอกแทน ซึ่งถือว่าฉลาดมาก เพราะเราไปก็ไปเรียนสาขาการสอน เวลาจบมาคนส่วนใหญ่ที่เรียนการสอนก็มักจะมาสอน พอมาสอนก็เป็นการเผยแพร่ภาษาจีนให้คนรู้จัก นี่อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนสนใจภาษาจีนมากขึ้น และเข้าใจสื่อจีนมากขึ้นด้วย”

เหล่าซือวรางคณามีข้อชี้แนะสำหรับเด็กๆ ที่กำลังมองหาทุนว่า แม้ตอนนี้นักเรียนนักศึกษาจะมีโอกาสเข้าหาทุนการศึกษาได้ง่ายมากขึ้นด้วยเทคโนโลยีต่างๆ แต่ที่สำคัญและไม่ควรมองข้ามก็คือ ต้องรู้ว่าความชอบของตัวเองคืออะไร

“ตอนแรกที่ไปเรียนเพราะไม่รู้ว่าจะทำงานอะไร ไม่รู้ว่าเราอยากเป็นอะไร มันทำให้เราไม่สามารถจับจุดที่ถูกต้องได้ บางทีเราอาจจะต้องลองทำในสิ่งที่เราคิดว่าเราชอบและคิดว่าเราไม่ชอบ ลองได้มีโอกาสทำให้รู้แน่ ๆ ก่อนว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่เราไม่ชอบ สิ่งนี้คือสิ่งที่เราชอบ แล้วเราก็ค่อยไปเฉพาะทางตรงนั้น ตัวเองยังโชคดีที่ตัดสินใจถูกเลือกเรียนสาขาที่ได้ทำงานที่ตัวเองชอบ เพราะเพื่อนหลายคนที่คิดว่า สาขานี้โอเคแล้วเลือกไปก่อน หรือรู้สึกว่าช่วงนี้สาขานี้ดี แต่ใจไม่ได้รัก สุดท้ายก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากสาขาที่ตัวเองเรียนมา เพราะว่ารู้สึกว่าพอเรียนแล้วมันไม่ใช่ทาง การขอทุนเพื่อเรียนต่อเป็นสิ่งที่ดียิ่งเรียนจบเร็วยิ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่ว่าการที่เราจะรู้ตัวเองก่อนว่าเราชอบอะไร ไม่ชอบอะไร มันสำคัญกว่าการที่เราจะเอาแต่เรียน ทั้งที่จริงๆ เราควรที่จะค้นหาตัวเองในระหว่างที่เรายังได้ลองอะไรได้หลายๆ อย่าง

เวลาเราทำงานเราต้องอยู่กับมันอีกครึ่งชีวิตที่เหลือ ถ้ามันเป็นสิ่งที่เรารัก เราก็จะจะทำได้โดยไม่รู้สึกว่ามันเหนื่อย ฉะนั้นอาจจะต้องรู้ก่อนว่าตัวเองสนใจทางด้านไหน แล้วก็มุ่งไปทางด้านนั้น สมัยเรียนมหาวิทยาลัยเราเรียนเป็นคนที่เรียนเยอะมาก เรียนหลายวิชา ไม่ใช่ลงเรียนเฉพาะสาขาของตัวเอง ไปเรียนสาขาอื่นด้วยเพื่ออยากรู้ว่ามันโอเคไหม วิชาแบบนี้เราชอบหรือเปล่า ลองหาทางที่ตัวเองชอบแล้วไปทางนั้น การขอทุนเป็นสิ่งที่ดี เป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง แต่การที่จะแบบมีทุนมาแล้วก็เรียน ๆ ไปเถอะ เหล่าชือว่าเราต้องหาสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้กับตัวเองเพราะเวลาเป็นสิ่งที่เรียกคืนไม่ได้ แต่ถ้าเราเจอในสิ่งที่เราชอบแล้วเรียนไปในทางที่เราชอบ มันจะคุ้มค่ามากกว่า” เหล่าซือวราคณากล่าว

สำหรับทุนการศึกษาต่างๆ นอกจากจะมีประกาศจากบริษัทเจ้าของผลิตภัณฑ์ซึ่งทำกิจกรรมเพื่อสังคมต่อเนื่องทุกปี ที่นักเรียน-นักศึกษาจะสามารถเข้าไปดูได้ในเพจหรือเว็บไซต์ของแบรนด์แล้ว ยังมีกลุ่มเฟซบุ๊กอีกหลายกลุ่มทั้งนี้อาจจะมีทั้งที่ต้องเสียเงินและไม่ต้องเสียเงิน โปรดพิจาณาตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อได้โดยตรงกับมหาวิทยาลัยที่ต้องการเข้าเรียน

นอกจากนี้ยังมีเว็บไซต์ทั้งของไทยและต่างประเทศที่รวบรวมทุนการศึกษาไว้มากมายทั่วโลก อาทิ

  • www.worldscholarshipforum.com เว็บไซต์รวบรวมรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับทุนการศึกษาทั่วโลก
  • www.scholarships.com เว็บไซต์ที่รวบรวมทุนการศึกษาทุกประเภททั่วโลกนับล้านทุนและมีการอัปเดตทุกๆ สองถึงสามเดือน
  • www.petersons.com เว็บไซต์ที่มีทุนการศึกษามากมาย รวมทั้งมีแบบสำรวจเพื่อให้ผู้หาทุนเจอกับทุนที่เหมาะสมได้ง่ายขึ้น
  • www.fastweb.com  เป็นเว็บไซต์ที่ให้บริการฟรี และมีบริการวางแผนการขอทุนและอาชีพในอนาคตให้ด้วย
  • www.scholarship.in.th เว็บไซต์สัญญชาติไทยที่รวบรวมข้อมูลข่าวสารทุนการศึกษาจากทั่วโลกทั้งระดับมัธยม ปริญญาตรี โท เอก
  • https://th.usembassy.gov/th รวบรวมทุนต่างๆ จากประเทศสหรัฐอเมริกาทุกระดับชั้น ทั้งทุนระยะสั้นและระยะยาว ดูแลของสถานทูตสหรัฐฯโดยตรง
  • www.wegointer.com รวบรวมข่าวสารของทุนต่าง ๆ ทั่วโลก และ อัพเดตอยู่ตลอด ที่สำคัญยังมีสรุปข้อมูลของแหล่งทุนต่าง ๆ

นี่เป็นเพียงตัวอย่างของผู้ได้รับทุนการศึกษาจากความสามารถและการไขว่คว้าหาโอกาสและส่วนหนึ่งที่เป็นศูนย์รวมแหล่งทุนการศึกษาเท่านั้น ซึ่งก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะมีประโยชน์ต่อนักเรียน-นักศึกษาทุกคนที่กำลังเดินอยู่บนเส้นทางแห่งการแสวงหาอนาคตนี้

“เขียนโค้ด” ให้ทันโลก ทักษะความรู้พื้นฐานแห่งโลกอนาคต

โลกดิจิทัลหมุนไว การศึกษาไทยต้องก้าวให้ทัน ด้วยยุคสมัยที่คนต่างพูดถึงเทคโนโลยี นวัตกรรม และดิจิทัล ทางกระทรวงศึกษาธิการจึงบรรจุหลักสูตร Coding หรือเรียกกันว่า ภาษาคอมพิวเตอร์ ไว้ในนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลปีแรก โดยจัดการสอน Unplug Coding สำหรับเด็กทุกชั้นปี 

สำหรับประโยชน์ของการเรียน Coding จะช่วยให้ผู้เรียนมีความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ คิดแบบมีตรรกะ และคิดแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ แต่ด้วยช่วงวัยที่แตกต่างของเด็ก ๆ ทำให้การเรียน “เขียนโค้ด” ต้องปรับการเรียนการสอนให้เหมาะสม เช่น ระดับอนุบาลเน้นเกมการศึกษา Coding และระดับประถมศึกษาจะเพิ่มการเรียนรู้แบบ Project Approach เพื่อปลูกฝังให้เด็กใฝ่รู้จากการเล่นหรือทำกิจกรรมที่สนุกสนาน ปูพื้นฐานสำคัญในการต่อยอดความรู้ในอนาคต พร้อมกับพ่วงทักษะอันโดดเด่น ได้แก่ ทักษะการอ่าน-เขียน การวางแผน การคิดแบบสร้างสรรค์มีเหตุผล และความกล้าตัดสินใจ

Coding จึงกลายเป็นทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 และแน่นอนว่า การเขียนโปรแกรมหรือเขียนโค้ด จะกลายเป็นเรื่องพื้นฐานที่หลายคนทำได้ในโลกอนาคต 

ดร.บุญชู จิตนุพงศ์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์และสารสนเทศ คณะวิทยาศาสตร์ ศรีราชา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา กล่าวถึงความสำคัญของการเรียน Coding ว่า ในสมัยก่อนเรื่องการเขียนโค้ด หรือตำแหน่งงานด้านไอที อาจเป็นเรื่องไกลตัว แต่ในปัจจุบันทุกคนใช้คอมพิวเตอร์กันหมด ทุกอย่างรอบตัวในการดำรงชีวิตล้วนเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ หากมองว่าเราคือผู้ใช้ ก็จำเป็นต้องมีผู้สร้าง การเขียนโค้ดหรือความรู้ด้าน Coding จึงเป็นเรื่องพื้นฐานที่ผู้สร้างจำเป็นต้องรู้ 

การเขียนโปรแกรมหรือการเขียนโค้ดเป็นการสื่อสารรูปแบบหนึ่ง เปลี่ยนจากภาษาไทย ภาษาอังกฤษ หรือภาษาจีน ที่เป็นการสื่อสารระหว่างบุคคล ให้กลายเป็นการสื่อสารระหว่างคนกับคอมพิวเตอร์ Coding จึงถูกเรียกว่า ภาษาคอมพิวเตอร์ อาจารย์บุญชู อธิบายเพิ่มเติมว่า การเขียนโปรแกรมหรือการสั่งการคอมพิวเตอร์ให้ทำงาน ก่อนจะสั่งการได้นั้นต้องเกิดกระบวนการคิดขึ้นมาก่อน Coding จึงจัดเป็นการเขียนรูปแบบหนึ่ง เพื่อสั่งการให้คอมพิวเตอร์กระทำการตามที่สั่งในแต่ละขั้นตอน 

“การเรียนเขียนโค้ดตั้งแต่เด็กจะช่วยทำให้เด็กมีตรรกะ คิดเป็นลำดับขั้นตอน สื่อสารได้ดียิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยเสริมทักษะด้านการแก้ไขปัญหา เพราะเด็กจะต้องคิดวิเคราะห์ว่า เมื่อเกิดปัญหาขึ้นแล้วจะหาวิธีแก้ปัญหานั้นและขั้นตอนต้องทำอย่างไร เพราะการเขียนโปรแกรมถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ผ่านพ้นอุปสรรคไปได้ ตรรกะการเขียนโค้ดจะช่วยให้เด็กวิเคราะห์ปัญหา ตลอดจนแก้ปัญหานั้นได้สำเร็จ”

หากเด็กมีพื้นฐาน Coding มาก่อน ก็จะสามารถต่อยอดสู่สายวิชาชีพที่ต้องการได้ง่ายยิ่งขึ้น ดร.บุญชู เสริมว่า การรับเด็กเข้าศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย ต้องคัดสรรเด็กที่มีตรรกะเป็นพื้นฐานสำคัญ แล้วปั้นบุคลากรเหล่านั้นสู่ตลาดแรงงานในภาคอุตสาหกรรม ตั้งแต่ตอนนี้จนถึงโลกอนาคต จำเป็นต้องมีคนที่ทำงานด้านสายไอทีอีกจำนวนมาก เพราะโลกยุคดิจิทัลมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ อยู่เสมอ และการเขียนโค้ดก็เป็นฐานของทุกวิชาที่เป็นสายวิทยาศาสตร์ทั้งหมด ซึ่งสามารถต่อยอดไปกับวิชาที่เกี่ยวข้องกับงานสายวิทยาศาสตร์ ทุกวันนี้จะเห็นได้ว่า ตำแหน่งงานไม่ได้มีเพียง Programmer หรือ Developer เท่านั้น แต่ยังมีชื่อตำแหน่งงานใหม่ ๆ ที่ต้องอาศัยความรู้ด้านการเขียนโค้ดเป็นพื้นฐาน เช่น สายงานด้านข้อมูลอย่าง Data Scientist นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล Data Engineer วิศวกรข้อมูล และ Business and Data Analyst นักวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจ นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของอาชีพที่มาพร้อมกับโลกดิจิทัล หากอยากมุ่งมั่นไปด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์ก็มีเส้นทางสายอาชีพอีกกว้างขวาง หรือสนใจงานด้าน AI (Artificial Intelligence) ก็มีตลาดแรงงานอีกมากมายที่ต้องการบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ

“ก่อนที่จะให้เด็กได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยากฝากเรื่อง Digital literacy (ทักษะความเข้าใจและใช้เทคโนโลยีดิจิทัล) ในมุมเด็ก สิ่งสำคัญต้องมีองค์ความรู้ของการใช้คอมพิวเตอร์อย่างเหมาะสมเสียก่อน สอนให้เด็กรู้เท่าทันเทคโนโลยี ใช้งานอย่างพอเหมาะ เลือกเสพย์เนื้อหาที่เหมาะกับวัย และจำนวนชั่วโมงที่ต้องใช้ในแต่ละวัน เพราะการเรียนการสอนผ่านคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องใกล้ตัวเด็ก เด็กสนุกที่จะเรียนรู้ แต่ต้องอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสมกับช่วงวัยด้วย” ดร.บุญชู ทิ้งท้าย

ด้านนายสุวิจักขณ์ ภาษิต นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะวิทยาศาสตร์ ศรีราชา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา กล่าวว่า ในช่วงมัธยมศึกษาได้เรียนเรื่องการเขียนโค้ดมาบ้าง เป็นเป็นความรู้ขั้นพื้นฐาน จนได้เข้าเรียนการเขียนโค้ดอย่างจริงจังในมหาวิทยาลัย จึงมองเห็นประโยชน์ของการเรียนวิชานี้มากขึ้น ทำให้ได้ฝึกความคิดวิเคราะห์และวางแผนงาน เพราะลำดับแรกต้องคิดก่อนว่า เขียนโปรแกรมนี้เพื่อนำไปทำอะไร วัตถุประสงค์ของการเขียนคำสั่งคืออะไร จากนั้นก็ทำตามรูปแบบขั้นตอนต่าง ๆ เมื่อหมั่นฝึกฝนก็จะเริ่มคิดวิเคราะห์ได้ดีขึ้น เช่น ถ้าติดขัดการทำงานตรงนี้ต้องไปหาข้อมูลตรงส่วนไหน ถ้าอยากรู้เรื่องนี้ต้องอ่านและทำความเข้าใจในเรื่องใด

การเรียนเขียนโค้ดจึงไม่ใช่แค่พื้นฐานความรู้เท่านั้น แต่ยังเป็นการฝึกทักษะที่สำคัญ หากได้เรียนรู้ไวก็ง่ายที่จะต่อยอดความรู้ ช่วยปูทางอาชีพได้หลากหลายในอนาคต นายสุวิจักขณ์ เสริมว่า การเขียนโค้ดไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าได้เรียนรู้เร็วก็เป็นเรื่องดี แต่ถ้าเรียนในช่วงมหาวิทยาลัยก็ยังไม่สายเกินไป เพียงแต่ต้องหมั่นศึกษา ฝึกฝนด้วยการทำซ้ำ ๆ ในตอนนี้ภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการเรียนการสอนมีอยู่หลายสิบภาษา ซึ่ง Coding จะมีภาษาที่เป็นพื้นฐานสำคัญอย่างโปรแกรมภาษาซี เมื่อรู้ภาษานี้แล้ว การไปเรียนภาษาอื่น ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยาก แค่ปรับเปลี่ยนรูปแบบของไวยากรณ์

“งานด้านสายไอทีในปัจจุบันมีมากมาย เพราะทุกบริษัทก็มีแผนกเกี่ยวกับไอทีและดิจิทัล เพื่อใช้ในการเก็บข้อมูล ดิจิทัลจึงเป็นเรื่องใกล้ตัวเรามากขึ้นกว่าสมัยก่อน แม้แต่มือถือในยุคปัจจุบันก็เป็นสมาร์ทโฟน ซึ่งต้องมีโปรแกรม มีซอฟต์แวร์ และแอปพลิเคชันต่าง ๆ จำเป็นต้องอาศัยความรู้ด้าน Coding เพื่อสร้างสรรค์ การเขียนโค้ดจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะกลายเป็นพื้นฐานความรู้ในโลกอนาคต”

แม้ว่าภาษาที่ใช้ในโลกปัจจุบันจะเป็นการสื่อสารระหว่างคนกับคน แต่อีกไม่นานจากนี้ ภาษาคอมพิวเตอร์อาจกลายเป็นหนึ่งในภาษาหลักที่คนทั่วโลกใช้พูดคุยด้วยภาษาเดียวกัน และ Coding ก็จะกลายเป็นทักษะความรู้พื้นฐานที่ใช้เชื่อมต่อกันระหว่างผู้คนทั่วทุกมุมโลก

DIY – กระถางต้นกระบองเพชร

ต้นกระบองเพชรจิ๋ว หากระถางที่ชอบในแบบของเรา สามารถนำของวัสดุเหลือใช้มาเป็นกระถางได้ ด้วยวิธีง่ายๆ ไม่เหมือนใคร หรือจะปรับเปลี่ยนการตกแต่งได้ตามต้องการเลยก็ได้น้า วิธีทำง่าย ๆ มาดูกันเลย

อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม

  1. กระป๋อง / แก้วที่ไม่ใช้แล้ว
  2. สีโปสเตอร์ / พู่กัน
  3. เชือกป่าน
  4. กาวสำหรับติดเชือก
  5. ริบบิ้นตกแต่ง

วิธีทำ

  1. นำเชือกป่านพันรอบ ๆ กระป๋องที่ไม่ใช้แล้ว แล้วทากาวตามจุด
  2. ค่อยๆ พันเชือก ปรับให้แน่นไม่ให้เห็นช่องว่าง จะได้ดังภาพ
  3. ตกแต่ง ทาด้วยสีโปสเตอร์บนเชือก ตกแต่งได้ตามต้องการ
  4. ทาสีรอบ ๆ ด้านล่างและด้านบน ขนาดเท่า ๆ กัน
  5. ย้ายต้นกระบองเพชรลงกระถางใหม่
  6. ตกแต่งให้สวยงาม

DIY – สายคล้องหน้ากากอนามัยด้วยริบบิ้นผ้า

ไปโรงเรียนต้องใส่หน้ากากทุกวัน บางเวลาต้องถอดแล้วตั้งไว้ก็สกปรก บางครั้งก็หายบ้าง เรามาทำสายคล้องให้หน้ากากอนามัยกันดีกว่า สีสันสดใส ไม่หายแน่นอน หรือว่าจะทำเป็นรายได้เสริมถักเปียหลากสีสายคล้องหน้ากากอนามัยก็ดีเลยน้า ทำง่ายมากเลย ไปดูวิธีทำกัน

อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม

  1. ริบบิ้นผ้ายาว 80 ซม. 3 เส้น
  2. กาวสำหรับติดผ้า (กาว pritt)
  3. ตะขอแขวน 2 ตัว
  4. ตัวยึดเชือก 1 อัน
  5. กรรไกร

วิธีทำ

  1. เตรียมริบบิ้นผ้า 3 เส้นติดกาวขอบด้านบน รอให้แห้งสนิท
  2. ถักเปีย 3 เส้น (ซ้ายทับขวาสลับไปเรื่อย ๆ) ถ้าริบบิ้นใหญ่ไปให้พับครึ่งเพื่อถักเปียง่ายขึ้น
  3. ถักจนหมดเส้นริบบิ้น ตัดริบบิ้นให้เท่ากัน แล้วทากาวตรงปลายริบบิ้น รอให้แห้งสนิท
  4. สอดปลายริบบิ้นทั้ง 2 ข้างเข้าในช่องของตัวยึดเชือก แล้วค่อย ๆ ขยับตัวยึดไปที่ตรงกลางของสายคล้อง
  5. พับปลายริบบิ้น สอดเข้าในตะขอ แล้วทากาว กดให้แน่น รอให้แห้งสนิท (ทั้ง 2 ข้าง)
  6. ได้สายคล้องหน้ากากอนามัยเก๋ไก๋ไม่ซ้ำใคร

8 วิธีดึงดูดใจอย่างไร

ให้เจ้านายเปลี่ยนคุณจาก “เด็กฝึกงาน” เป็น “พนักงาน” และกฎหมายเกี่ยวกับการฝึกงาน

ไม่ว่าจะด้วยสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 สภาพเศรษฐกิจ หรือสังคม วัฒนธรรม และนวัตกรรมที่เปลี่ยนไป ทำให้ตอนนี้เราได้ข่าวเกี่ยวกับบัณฑิตใหม่ล้นตลาดแรงงานมากมาย หลายคนหันไปมองการสร้างอาชีพอิสระ ขณะที่บางสายอาชีพ ความอิสระไม่ได้ตอบโจทย์

แล้วจะทำอย่างไร?

ประเด็นสำคัญคือนอกจากการเรียนดี เรียนเก่งแล้ว ประสบการณ์การทำงานก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นักศึกษาโดดเด่นออกมามากขึ้น เป็นที่สนใจของเจ้าของสถานประกอบการมากขึ้น เพราะการฝึกงานนอกจาก “ผ่าน-ไม่ผ่าน” แล้ว สิ่งที่เอาแรงงานและความรู้ทั้งหมดที่ร่ำเรียนมาไปแลกก็อาจจะรวมถึง ทักษะการปฏิบัติงาน ประสบการณ์ในที่ทำงาน และความรู้ที่มากขึ้นเกี่ยวกับอุตสาหกรรมนั้นๆ และยิ่งน้องๆ เก็บเกี่ยวตรงนี้ได้มากเท่าไร ความสว่างสดใสในตัวก็จะยิ่งเป็นที่น่าจับตามากขึ้นเท่านั้น

ทักษะที่ควรนำไปแลกเปลี่ยนเป็นประสบการณ์ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่เรียกว่า “ฝึกงาน” อันจะนำมาซึ่ง “ประสบการณ์” จนอาจจะเลื่อนขั้นไปเป็น “พนักงาน” ได้นั้น มีดังต่อไปนี้

1 การสื่อสาร

ทักษะในการเขียนและพูดอย่างมืออาชีพเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งเจ้าของสถานประกอบการ หรือฝ่ายบุคคลจะสามารถดูทักษะการเขียนของคุณในเรซูเม่ ส่วนทักษะการพูดอาจจะมาจากการตอบคำถามต่างๆ ตั้งแต่เจอกันครั้งแรก ไม่ว่าวันนั้นจะเป็นวันสอบสัมภาษณ์หรือไม่ ความสามารถในการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเปลี่ยนความคิดเป็นข้อมูลแล้วถ่ายทอดออกมาได้ดีเหมาะสมกับกาละเทศะถือเป็นกุญแจสำคัญในทุกสายอาชีพเลยก็ว่าได้ไม่ว่าจะเป็นกับหัวหน้างาน เพื่อนร่วมงาน หรือลูกค้าของคุณ หรือแม้กระทั่งเมื่อคุณต้องทำงานอิสระ และทุกคนต่างก็ตระหนักดีว่า การสื่อสารเป็นทักษะที่มีค่า

2 ทักษะในการทำงานร่วมกับคนอื่น

การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นเด็กฝึกงานด้วยกัน พนักงาน เจ้าของ หรือลูกค้า เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเดียวกันได้ นักศึกษาฝึกงานจำเป็นต้องรู้จุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเองเพื่อที่คุณจะได้รู้ว่าจะนำความสามารถที่มีออกมาช่วยทีมให้ผู้อื่นได้ประจักษ์อย่างไร แต่ทั้งนี้ก็ต้องมีทิ้งการเรียนรู้และฝึกฝนทักษะในด้านอื่นๆ ที่ยังไม่ชำนาญด้วย เพราะในฐานะเด็กฝึกงาน คุณอาจจะถูกส่งไปหลากหลายแผนกในบริษัท จงเก็บเกี่ยวโอกาสที่จะได้เรียนรู้งานทั้งระบบเข้าไว้ เพราะในระยะยาวมันคือประโยชน์ที่จะนำไปใช้ในการทำงานได้ตลอดชีวิต ส่วนในระยะสั้น คนอื่นๆ ในบริษัทก็จะได้เห็นความสามารถที่เพิ่มขึ้นหรือแตกต่างออกไปของคุณด้วย

3 การจัดการเวลา

ทั้งนี้ไม่ได้หมายถึงการไม่ไปฝึกงานสายเพียงอย่างเดียว แต่ยังหมายถึงการรับมือกับการทำงานหลายชิ้น หรืองานเร่งรีบ ซึ่งท้าทายความสามารถในการจัดการเวลาของน้องๆ เป็นอย่างมาก เพราะมันอาจจะหมายถึง น้องๆ มีความสามารถในการจัดเรียงความสำคัญก่อนหลังได้นั่นเอง

4 การคิดเชิงวิพากษ์

การคิดเชิงวิพากษ์หมายถึงความสามารถในการวิเคราะห์ และประเมินสถานการณ์หรือปัญหา เข้าใจปัญหาจากทุกมุมไม่ว่าปัญหานั้นจะเกิดจากเทคนิค บุคคลอื่นๆ หรือ ตัวเราเอง เพื่อนำเสนอแนวทางแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญและต้องเจอแทบจะทุกวันในโลกของการทำงาน

5 ความสามารถทางเทคนิค

แม้ทุกคนจะรู้ว่าน้องๆ เป็นเด็กฝึกงาน และจะไม่มีใครคาดหวังว่าจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญแต่อย่างใด แต่ทักษะพื้นฐานเบื้องต้นรวมถึงของอุตสาหกรรมนั้นๆ ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะนำติดตัวไปด้วย เพื่อแสดงให้เห็นถึงความพร้อมและความใส่ใจที่จะไปฝึกงานยังที่นั้นๆ

6 ถามคำถาม

ใช้ประโยชน์ในการเป็นเด็กฝึกงาน ถามหาความรู้ให้มากที่สุด ในฐานะเด็กฝึกงาน เจ้านายไม่คาดหวังให้รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับงานหรืออุตสาหกรรมนั้นๆ แม้จะเป็นอุตสาหกรรที่ร่ำเรียนมาอยู่แล้ว และการถามคำถามยังหมายถึงความใส่ใจที่จะเรียนรู้ที่น้องๆ มีให้กับงานและการฝึกงานอีกด้วย

7 หาที่ปรึกษา

เรียนรู้จากคนที่น้องๆ ชื่นชม ที่ปรึกษาที่ดีคือคนที่รู้สึกสนุกและเต็มใจจะแบ่งปันความรู้และความเชี่ยวชาญและต้องการเห็นน้องใหม่ในอุตสาหกรรมเดียวกับพวกเขาประสบความสำเร็จ

8 กระตือรือร้น!

หากน้องๆ ต้องการจะเปลี่ยนจากเด็กฝึกงานเป็นพนักงานหลังจากการฝึกงานในช่วงเวลาสั้นๆ สิ้นสุดลง จงแสดงความกระตือรือร้นในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสถานประกอบการนั้นๆ เริ่มตั้งแต่เพื่อนร่วมงานและหัวหน้างานเป็นต้นไป


นี่เป็นเพียงทักษะเบื้องต้นเท่านั้นสำหรับผู้ที่เตรียมพร้อมที่จะเป็น “เด็กฝึกงานที่น่าจับตามอง” แต่การไม่หยุดเรียนรู้จะทำให้น้องๆ ได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้น

เมื่อเด็กฝึกงานต้องดูแลตัวเองด้วย    

จากบทความทางวิชาการเรื่อง “แนวทางการให้การคุ้มครองการฝึกปฏิบัติงานของนักศึกษาสหกิจศึกษา : เทียบเคียงกับการคุ้มครองผู้ได้รับการฝึกเตรียมเข้าทำงานตามกฎหมายแรงงาน” โดย นวกาล สิรารุจานนท์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ ระบุว่า สหกิจศึกษาเป็นการเรียนการสอนซึ่งผสมผสานการเรียนในห้องเรียนร่วมกับการปฏิบัติงานจริงในสถานประกอบการ ซึ่งไม่ถือว่านักศึกษาที่กำลังเรียนสหกิจศึกษาหรือที่คนทั่วไปเรียกว่า ฝึกงาน นั้น ไม่ใช่ลูกจ้าง หลายครั้งเมื่อเหิดเหตุร้ายแรงขึ้นกับเด็กฝึกงานจึงเกิดช่องว่างและการไม่ได้รับความรับผิดชอบที่ดีอย่างที่เป็นข่าวหลายครั้ง เพราะปัจจุบันการฝึกปฏิบัติงานของนักศึกษาสหกิจศึกษาไม่มีกฎหมายที่มีเนื้อหาเฉพาะในด้านการ คุ้มครองการฝึกปฏิบัติงานของนักศึกษาสหกิจศึกษา ส่งผลให้มิอาจนำเอาบทบัญญัติของ กฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในเรื่องการคุ้มครองแรงงาน แก่ลูกจ้างมาใช้บังคับกับนักเรียน นิสิต นักศึกษาสหกิจศึกษาตามความหมายที่เราเข้าใจ ซึ่งในปัจจุบันมีเพียงประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง หลักเกณฑ์เกี่ยว กับการคุ้มครองผู้ได้รับการฝึกเตรียมเข้าทำงาน ซึ่ง เป็นกฎหมายลำดับรองที่ออกตามความในพระราช

บัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. 2545 ที่ สามารถนำมาใช้เทียบเคียงในการคุ้มครองการทำงาน หรือฝึกปฏิบัติงานของนักเรียน นิสิต นักศึกษาสหกิจ ศึกษา แต่ก็มิใช่กฎหมายที่มีวัตถุประสงค์โดยตรงที่จะ มุ่งให้ความคุ้มครองการทำงานหรือฝึกปฏิบัติงานแก่ นักเรียน นิสิต นักศึกษาสหกิจศึกษา นอกจากนี้ยังพบ ว่าประกาศกระทรวงฯ ฉบับดังกล่าวมีเนื้อหาที่เกี่ยว กับการให้ความคุ้มครองการทำงานหรือฝึกปฏิบัติ งานที่ยังไม่ชัดเจนครบทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน ประเด็นการคุ้มครองในกรณีการประสบอันตรายหรือ เจ็บป่วยที่เป็นผลมาจากการทำงานโดยตรง ดังนั้นจึงสมควรที่จะมีการพิจารณาบัญญัติกฎหมายเฉพาะที่กำหนดการคุ้มครองการทำงานหรือฝึกปฏิบัติงานเป็นกรณีพิเศษสำาหรับนักเรียน นิสิต นักศึกษาสหกิจศึกษา

แม้ว่าหลักการต่างๆ ที่จัดสร้างขึ้นมาสำหรับการได้เรียนรู้กับการปฏิบัติงานจริงนั้นจะเป็นเรื่องที่หอมหวานสำหรับการศึกษาหาความรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์มากเพียงใด แต่สิ่งหนึ่งที่จะทำให้น้องๆ ได้มีโอกาสใช้ประสบการณ์ในช่วงเวลานั้นให้ได้ยาวนานมากที่สุด ก็คือเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าวและอุดช่องว่างของกฎหมายในประเด็นนี้ ภาครัฐควรที่จะพิจารณาการคุ้มครองการทำงานหรือฝึกปฏิบัติงาน ของนักเรียน นิสิต นักศึกษาสหกิจศึกษาซึ่งถือเป็น เยาวชนที่เป็นกำลังสำาคัญของชาติต่อไปในอนาคต ทั้งนี้ อาจทำได้ใน 2 กรณีคือ

กรณีที่หนึ่ง พิจารณาขยายการคุ้มครอง การทำงานตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2551) โดยออกเป็น ประกาศกระทรวงแรงงานซึ่งอาศัยอำานาจตามความ ในมาตรา 6 คล้ายกับการคุ้มครองแรงงานในกลุ่ม อาชีพพิเศษ เพื่อให้ความคุ้มครองเป็นการเฉพาะ แก่การทำงานหรือฝึกปฏิบัติงานของนักเรียน นิสิตนักศึกษาได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายแรงงานที่มีอยู่ในปัจจุบัน หรือกรณีที่สอง พิจารณาการออกกฎหมายพิเศษ

เพื่อคุ้มครองผู้ฝึกปฏิบัติงานที่เป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษาสหกิจศึกษาโดยเฉพาะ โดยการคุ้มครอง ทั่วไป เช่น เวลาทำงาน เวลาพัก วันหยุด และวันลา อาจพิจารณาจากการคุ้มครองการผู้ฝึกปฏิบัติงานตาม ประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง หลักเกณฑ์เกี่ยวกับ การคุ้มครองผู้ได้รับการฝึกเตรียมเข้าทำงานที่มีอยู่แล้ว แต่ควรเพิ่มเติมบทบัญญัติในประเด็นที่ความคุ้มครองในปัจจุบันยังไปไม่ถึง อาทิเช่น บทบัญญัติที่เกี่ยวกับการคุ้มครองจากการประสบอันตรายหรือเจ็บ ป่วยที่เกิดจากการทำงานซึ่งอาจพิจารณาเทียบเคียงกับกฎหมายเงินทดแทนและกำหนดให้เป็นหน้าที่สถานประกอบการที่จะต้องเป็นผู้ดำเนินการในเรื่อง นี้อย่างจริงจัง ตลอดจนให้มีกลไกในการตรวจสอบ การปฏิบัติตามและควรมีการกำหนดโทษหากมีการฝ่าฝืน และบทบัญญัติที่เกี่ยวกับการคุ้มครองเงินค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการฝึกปฏิบัติงาน ตลอดจนบทบัญญัติที่เกี่ยวกับ การคุ้มครองการล่วงละเมิดทางเพศระหว่างผู้ดำเนินการฝึกและผู้รับการฝึกซึ่งเป็นเยาวชนที่อยู่ในวัยเรียน เพื่อเป็นการป้องปรามมิให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา เป็นต้น นอกจากนอาจศึกษาเปรียบเทียบลักษณะการ คุ้มครองผู้ฝึกปฏิบัติงาน (Interns) ของต่างประเทศ ที่มีแนวปฏิบัติที่ดี (Best Practice) เช่น การทำงาน ร่วมกันของสถาบันการศึกษาและแหล่งฝึกงานที่จะ สรุปหรือแนะนำเกี่ยวกับการจัดสภาพแวดล้อมใน การทำงาน ตลอดจนการเตรียมตัวทำงานและผู้ที่จะ สามารถให้คำาแนะนำได้ในระหว่างการฝึกปฏิบัติงาน เพื่อเป็นการยกระดับมาตรการการคุ้มครองการฝึก ปฏิบัติงานของนักเรียนหรือนักศึกษาสหกิจศึกษาให้ มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

นอกจากจะศึกษาหาความรู้ วิเคราะห์ วิจัยเกี่ยวกับอุตสาหกรรมที่สนใจจะทำงานแล้ว การเตรียมความพร้อมในด้านกฎหมายและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องก็เป็นเรื่องที่ต้องศึกษาอย่างใกล้ชิดเช่นเดียวกัน

สำหรับหน่วยงานที่ยังคงเปิดรับสมัครนักศึกษาฝึกงาน อาทิ

1 บริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า จำกัด

2 พระนครฟิลม์

  • ตำแหน่ง Graphic Design / Editor
  • รายละเอียดเพิ่มเติม FB:พระนครฟิลม์

3 Interchange Thailand

  • ตำแหน่ง Multimedia / Online marketing
  • ส่งใบสมัครได้ที่ Email: intern@interchangethailand.com
  • เบอร์ติดต่อ 02-245-3174​ 083-021-0979
  • FB:Interchange Thailand

หรือสามารถเช็กได้ตามเว็บไซต์หางานต่างๆ อาทิ https://www.workventure.com, th.jobsdb.com ฯลฯ


ข้อมูลจาก

  • บทความทางวิชาการเรื่อง “แนวทางการให้การคุ้มครองการฝึกปฏิบัติงานของนักศึกษาสหกิจศึกษา : เทียบเคียงกับการคุ้มครองผู้ได้รับการฝึกเตรียมเข้าทำงานตามกฎหมายแรงงาน” โดย นวกาล สิรารุจานนท์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ
  • https://www.wayup.com/guide/top-10-skills-employers-want-intern/
  • https://www.thebalancecareers.com/top-tips-for-interns-1986781

ปลดปล่อยพรสวรรค์ในตัวลูก วิธีเลี้ยงลูกให้รู้จักความชอบของตัวเอง

ในปัจจุบันมีอาชีพหลากหลายที่น่าสนใจ ทั้งยังมีกิจกรรมมากมายที่ดึงดูดให้พ่อแม่อยากส่งลูกไปเรียนรู้เพื่อค้นพบพรสวรรค์ในตัวเอง แต่ไม่ใช่แค่การเปิดโลกเท่านั้นที่พ่อแม่ต้องใส่ใจ การเปิดใจของพ่อแม่ก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะเป็นแรงผลักดันให้ลูกน้อยปลดปล่อยพรสวรรค์ในตัวลูกออกมา

ยกตัวอย่างมหาเศรษฐีอย่าง บิล เกตส์ หนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ ที่เลี้ยงลูกผ่านการปลูงฝังให้ตระหนักถึงปัญหาสุขภาพ การแพทย์ และด้านสาธารณสุข จนลูกสาวคนโต เจนนิเฟอร์ เกตส์ ใฝ่ฝันอยากเป็นหมอ แต่การปลูงฝังไม่ใช่การบังคับ โดยเจนนิเฟอร์เล่าว่า ทั้งพ่อและแม่ไม่เคยปิดกั้นในสิ่งที่ลูกอยากทำ ทั้งยังสนับสนุนความสนใจในด้านอื่นด้วย

การสนับสนุนในสิ่งที่ลูกชอบจึงเป็นความสำคัญลำดับต้น ๆ ในการช่วยให้ลูกค้นหาตัวเองได้ดียิ่งขึ้น

วิธีเลี้ยงลูกให้รู้จักความชอบของตัวเอง

เลี้ยงลูกต้องให้ลูกลอง

ถ้าจะพูดเรื่องพรสวรรค์ พ่อแม่มักจะนึกถึงว่า ตัวเราเองเก่งอะไร แล้วสนับสนุนลูกไปตามสิ่งที่พ่อแม่ต้องการ อยากให้ชอบหรืออยากให้เป็น แต่จริง ๆ แล้วลูกจะชอบหรือเปล่า สิ่งที่น้อยคนนักจะนึกถึงคือ พรสวรรค์ย่อมคู่กับพรแสวง ความชอบหรือความถนัดจึงเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาได้ จึงควรให้ความสำคัญกับความชอบของลูกเสียก่อน

เรียนรู้โดยไม่ต้องเร่งรีบ

อย่าไปคาดหวังว่าลูกต้องรู้ว่าตัวเองชอบอะไรเร็ว ๆ หรือกดดันลูกด้วยการพาไปเรียนหลาย ๆ อย่าง อัดแน่นในแต่ละสัปดาห์ จะทำให้ลูกเบื่อและท้อ จนไม่อยากค้นหาความชอบอีกเลย นอกจากนี้ ยังต้องดูด้วยว่ายุคสมัยนี้เด็กสนใจอะไรมากกว่าการตั้งต้นจากความสนใจของพ่อแม่เมื่อครั้งวัยเยาว์ แล้วพาลูกไปเรียนรู้สิ่งใหม่ที่เหมาะกับยุคสมัย

ลองผิด ลองถูก

ให้เวลาลูกได้เรียนรู้ผ่านการทำผิดถูก และเสริมสร้างประสบการณ์ด้วยตัวลูกเอง ขณะเดียวกันลูกก็ต้องรู้จักแพ้รู้จักชนะควบคู่กันไปด้วย ในเวลาที่ลูกกำลังเรียนรู้อยู่นั้น ลูกอาจรู้สึกท้อ อยากล้มเลิกกลางทาง จะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่พ่อแม่จะได้สอนเรื่องความเพียรพยายามไม่ล้มเลิกง่าย ๆ ขณะเดียวกันก็ต้องเรียนรู้ร่วมไปลูกเพื่อกระชับความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว

ไม่รู้ว่าชอบอะไร ลองค้นลึกถึงความชอบเพื่อต่อยอด

สำหรับเด็ก ๆ ที่ยังไม่รู้ว่าชอบอะไร แต่ผ่านกระบวนการเรียนรู้ต่าง ๆ แล้ว ให้ลองเรียงลำดับความชอบว่า สิ่งไหนที่ทำแล้วสนุกที่สุด จากนั้นมองหาสิ่งที่ถนัดเป็นพิเศษ แล้วลงมือทำสิ่งนั้น ๆ ที่สำคัญต้องตั้งเป้าหมายในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อฝึกความพยายาม เริ่มต้นด้วยเป้าหมายง่าย ๆ เช่น โจทย์เลขที่แก้ไม่ได้ หรือทำแบบทดสอบในเวลาที่สั้นลง 

พัฒนาทักษะสำคัญสู่โลกอนาคต

ขณะที่พัฒนาพรสวรรค์สู่ความสามารถในโลกอนาคต ก็จำเป็นต้องศึกษาทักษะที่จำเป็น เพื่อปูทางพื้นฐานความรู้เพิ่มเติมควบคู่กันไป

  • เรียนภาษาเพิ่มเติม ไม่ใช่แค่ภาษาไทย ภาษาอังกฤษเท่านั้น แต่ด้วยโลกที่เชื่อมถึงกันทำให้การเรียนภาษาอื่นๆ จำเป็นไม่แพ้กัน แอปพลิเคชันแนะนำ > 50languages
  • รู้ลึกเรื่องวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม ศึกษาคำศัพท์ด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม เป็นพื้นฐานความรู้เพื่อต่อยอด แอปพลิเคชันแนะนำ > Engineering & Science Guide
  • คณิตศาสตร์พื้นฐานวิชาสำคัญ จำเป็นในการสอบและศึกษาเพื่อเป็นพื้นฐานอาชีพต่าง ๆ ในอนาคต แอปพลิเคชันแนะนำ > Photomath

มาปลดปล่อยพรสวรรค์พร้อมเสริมสร้างทักษะสำคัญตั้งแต่วันนี้ เพื่อปูหนทางสู่อาชีพที่ตั้งต้นจากความชอบสู่ความสำเร็จในอนาคต

DIY – เต้าหู้ไข่ ทำเองง่าย ๆ ลดโซเดียม

เต้าหู้ไข่ เมนูโปรดของหลาย ๆ คน รู้หรือไม่ว่า เต้าหู้ไข่ที่วางขายตามตลาด แฝงด้วยโซเดียม ไม่เหมาะสำหรับเด็ก ๆ ที่ทานเป็นประจำ วันนี้เรามาลดโซเดียมกัน มาทำเต้าหู้ไข่ทำเองง่าย ๆ แค่มีไข่และนมถั่วเหลืองก็ทำได้แล้วค่ะ ทำไม่ยากเลย เนื้อนุ่มเนียน ลองไปทำกันนะคะ

อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม

  1. น้ำเต้าหู้รสจืด 250 มิลลิลิตร
  2. ไข่ไก่ 3-4 ฟอง (ปริมาณเท่ากับน้ำเต้าหู้)
  3. พิมพ์สำหรับนึ่งเต้าหู้
  4. ที่กรองกระชอน / ตะกร้อ
  5. พาชนะผสมไข่
  6. หม้อสำหรับนึ่ง

วิธีทำ

  1. เตรียมน้ำเต้าหู้ และไข่ไก่แยกชามผสมในปริมาณที่เท่า ๆ กัน
  2. นำไข่กับน้ำเต้าหู้ผสมให้เข้ากัน ใช้ตะกร้อคนส่วนผสมให้เข้ากัน (คนอย่างเบามือ ไม่ให้เกิดฟองอากาศ)
  3. ใช้ตะแกรงกรองประมาณ 3 รอบ เพื่อไล่ฟองอากาศออก และได้เนื้อที่เนียนสวย
  4. เทใส่พิมพ์ที่เตรียมไว้ แล้วนำไปนึ่ง (นึ่งไฟอ่อน 25 นาที ระวังอย่าให้น้ำเดือดจัด)
  5. เสร็จแล้วว จะได้เนื้อเต้าหู้เนียนนุ่ม เด้งดึงน่าทานค่ะ

เว็บไซต์นี้มีการใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายคุกกี้และ นโยบายในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า