กิจกรรมโครงการอบรมเด็กรักดี จังหวัดเพชรบุรี

หลักสูตรการจัดกิจกรรม การพัฒนาผลิตภัณฑ์พื้นถิ่น

หลักสูตรกิจกรรมร้องเล่นเต้นอ่าน วันหยุดสุดหรรษา จังหวัดเลย

วัตถุประสงค์หลัก

  • เพื่อสร้างแกนนำอาสาสมัครส่งเสริมการอ่านในชุมชน
  • เพื่อพัฒนาศักยภาพด้านจิตใจ อารมณ์ และสังคมของเด็กและเยาวชน
  • เพื่อให้เด็กและเยาวชนในชุมชนได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์

ระยะเวลาในการทำกิจกรรม

วันหยุดเสาร์หรืออาทิตย์ เดือนละ 1 ครั้ง

ช่วงอายุผู้เข้าร่วมกิจกรรม

๓ – ๑๒ ปี (ระดับประถมศึกษา)

จำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรม (ต่อครั้ง)

๒๐ – ๓๐ คน

ขั้นตอนหลัก (ตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมงานก่อนเกิดงานจนเสร็จสิ้นกิจกรรม)        

  1. ประชุมคณะทำงาน และประสานงาน
  2. อบรมพัฒนาศักยภาพแกนนำอาสาสมัคร และออกแบบกิจกรรม
  3. จัดกิจกรรม ร้อง เล่น เต้น อ่าน วันหยุดสุดหรรษา
  4. ประชุมสรุปงานหลังทำกิจกรรม

อุปกรณ์

  1. ปากกาเมจิก ดินสอ สี
  2. กระดาษแข็ง (สำหรับทำหน้ากาก) กระดาษภาพตัวการ์ตูนต่างๆ
  3. หนังสือนิทาน
  4. ของรางวัล 

ผลที่คาดว่าจะได้รับ

  1. เกิดแกนนำอาสาสมัครในชุมชนเพิ่มมากขึ้น
  2. เด็กและเยาวชนมีศักยภาพด้านจิตใจ อารมณ์ และสังคมที่ดีขึ้น
  3. เด็กและเยาวชนได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์

กิจกรรมดนตรีกระบี่กระบองจังหวัดสระบุรี

วัตถุประสงค์หลัก

  1. เพื่อสร้างความสามัคคี
  2. เพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรมไทย
  3. เพื่อต่อยอดโครงการและสร้างจิตสำนึก

ระยะเวลาในการทำกิจกรรม

3 เดือน (มีนาคม – พฤษภาคม 63)

ช่วงอายุผู้เข้าร่วมกิจกรรม

10 – 19 ปี

จำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรม (ต่อครั้ง)

30 คน

ขั้นตอนหลัก (ตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมงานก่อนเกิดงานจนเสร็จสิ้นกิจกรรม)   

  1. ชี้แจงความเป็นมาของกิจกรรม
  2. วัตถุประสงค์
  3. วิธีการดำเนินงาน
  4. ประโยชน์ที่จะได้รับ

อุปกรณ์

  1. เครื่องดนตรีไทย เช่น ระนาดเอก ฆ้องวงใหญ่ ฯลฯ
  2. อาวุธ เช่น ดาบหวาย พลอง ไม้ศอก โล่ หอก ง้าว ฯลฯ

ผลที่คาดว่าจะได้รับ

  1. เยาวชนมีจิตสำนึก ให้รู้รักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น รักบ้านเกิด
  2. เพื่อให้เด็กและเยาวชนใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ในช่วงปิดภาคเรียน
  3. การมีส่วนร่วม สร้างความสามัคคีในชุมชน เด็กและเยาวชนมีความกล้าแสดงออก
  4. เพื่อให้เยาวชนได้รับองค์ความรู้ใหม่ ห่างไกลยาเสพติด สร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน
  5. เรียนรู้ภาวะของการเป็นผู้นำ สืบสานต้นกล้าทางวัฒนธรรม

กิจกรรมพี่สอนน้องจังหวัดอุบลราชธานี

วัตถุประสงค์หลัก

  1. เพื่อให้เด็กและเยาวชนในพื้นที่ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์
  2. เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างช่วงวัย
  3. เพื่อฝึกทักษะการอบรมเลี้ยงดูเด็กใน ศพด.

ระยะเวลาในการทำกิจกรรม

ฝึกทักษะ (14-18) 2 วัน 1 คืน / ลงกิจกรรม ศพด. 1 วัน จำนวน 8 ครั้ง

ช่วงอายุผู้เข้าร่วมกิจกรรม

10 – 18 ปี และ 0 – 4 ปี

จำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรม (ต่อครั้ง)

พี่ 5 – 7 คน / น้อง ศพด. 15 – 25 คน / ผู้ปกครอง 5 – 10 คน

ขั้นตอนหลัก (ตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมงานก่อนเกิดงานจนเสร็จสิ้นกิจกรรม)   

  1. ประชาสัมพันธ์และชี้แจงโครงการ
  2. ดำเนินการอบรมเพื่อเพิ่มทักษะในการทำสื่อที่จะใช้ในกิจกรรมพี่สอนน้อง
  3. กำหนดแผนงานในการลงพื้นที่ ศพด. และกำหนดกลุ่ม / กิจกรรมในการลงพื้นที่
  4. ดำเนินกิจกรรมตามแผน

อุปกรณ์

  1. เครื่องมือ / สื่อ ในการฝึกอบรม
  2. อุปกรณ์ เช่น กระดาษ กาว สี กรรไกร ฯลฯ เพื่อใช้ในการผลิตสื่อ

ผลที่คาดว่าจะได้รับ

  1. เด็กและเยาวชนในพื้นที่ได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์
  2. เด็กและเยาวชนเกิดความสัมพันธ์กันในระหว่างช่วงวัย
  3. เด็กและเยาวชนเกิดทักษะในการเลี้ยงดูน้องใน ศพด.

กิจกรรมปิดเทอมสร้างสรรค์จังหวัดขอนแก่น

วัตถุประสงค์หลัก

  1. เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้เรียนรู้ทักษะเชิงสร้างสรรค์ตามความถนัดและสนใจ
  2. เพื่อให้เด็กและเยาวชนค้นพบความฝันและมีเป้าหมายชีวิต
  3. เพื่อให้เด็กและเยาวชนใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ห่างไกลจากยาเสพติดและอบายมุข
  4. เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้ทำกิจกรรมจิตอาสาช่วยเหลือผู้อื่น

ระยะเวลาในการทำกิจกรรม

12 มกราคม ถึง 15 เมษายน 2563

ช่วงอายุผู้เข้าร่วมกิจกรรม

11 – 25 ปี

จำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรม (ต่อครั้ง)

150 คน

ขั้นตอนหลัก (ตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมงานก่อนเกิดงานจนเสร็จสิ้นกิจกรรม)   

  1. ประชุมคณะทำงานและแบ่งงาน (พฤศจิกายน 2562)
  2. ประชาสัมพันธ์โครงการ (ธันวาคม 2562 – มกราคม 2563)
  3. ดำเนินกิจกรรม
    1. กิจกรรมที่ 1 พี่สอนน้อง (12 มกราคม – 28 มีนาคม 2563)
    2. กิจกรรมที่ 2 บ้านหลังเรียน (12 มกราคม – 12 เมษายน 2563)
    3. กิจกรรมที่ 3 รณรงค์ห่างไกลอบายมุข (12 เมษายน – 15 เมษายน 2563)
  4. ถอดบทเรียน

อุปกรณ์

  1. อุปกรณ์สำนักงาน
  2. เอกสารประกอบกิจกรรม (คู่มือเรียนรู้ / สมุดบันทึกกิจกรรม)
  3. อุปกรณ์โสต / สื่อเรียนรู้
  4. อุปกรณ์กีฬา
  5. เสื้อยืด

ผลที่คาดว่าจะได้รับ

  1. เด็กและเยาวชนได้เข้าร่วมกิจกรรมตามระยะเวลาที่กำหนด
  2. เด็กและเยาวชนได้มีการพัฒนาทักษะชีวิตทางด้านที่ตนสนใจ
  3. เด็กและเยาวชนได้มีภูมิคุ้มกันด้านยาเสพติด
  4. เด็กและเยาวชนได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์โดยการทำกิจกรรมจิตอาสาช่วยเหลือผู้อื่น
  5. เด็กและเยาวชนสามารถนำทักษะความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้เพื่อช่วยเยาวชนในสังคม เป็นโครงการต้นแบบในการพัฒนาเด็กและเยาวชนในจังหวัดขอนแก่น

กิจกรรมหมอน้อยกะสินจังหวัดกาฬสินธุ์

วัตถุประสงค์หลัก

  1. เพื่อสร้างเด็กและเยาวชนให้มีจิตอาสาในการดูแลผู้สูงอายุ ผู้ประสบปัญหาหรือด้อยโอกาส
  2. เพื่อสร้างศักยภาพให้กับเด็กและเยาวชนด้านการพยาบาล ในการเตรียมความพร้อมเพื่อศึกษาต่อด้านสาธารณะสุข

ระยะเวลาในการทำกิจกรรม

ช่วงปิดเทอม

ช่วงอายุผู้เข้าร่วมกิจกรรม

มัธยมศึกษาปีที่ 5 – 6

จำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรม (ต่อครั้ง)  

50 คน

ขั้นตอนหลัก (ตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมงานก่อนเกิดงานจนเสร็จสิ้นกิจกรรม)   

  1. รับสมัครกลุ่มเป้าหมายเข้าร่วมกิจกรรม
  2. จัดประชุมชี้แจงเพื่อปฐมนิเทศการปฏิบัติงาน หลักสูตร 1 วัน
  3. จัดกลุ่มลงพื้นที่ตามสถานพยาบาล
  4. ประเมินผลจากผู้ครอบคลุม / ดูแล

อุปกรณ์

  1. เครื่องมือพื้นฐานด้านการแพทย์ เช่น กระเป่าปฐมพยาบาลเบื้องต้น

ผลที่คาดว่าจะได้รับ

  1. เกิดแกนนำเครือข่ายหมอน้อยกะสินในการดูแลผู้สูงอายุ ผู้ประสบปัญหาหรือด้อยโอกาส
  2. เด็กและเยาวชนมีความรู้ / ทักษะด้านการบริการพยาบาลในการเตรียมความพร้อมเพื่อศึกษาต่อ

หลักสูตรกิจกรรมพื้นที่นี้ดีจังเลยจังหวัดเลย

ที่มา

พื้นที่สร้างสรรค์ คือพื้นที่สร้างประสบการณ์ สร้างโอกาสให้เด็กได้เติบโตพัฒนาตามวัย มุ่งตอบสนองความต้องการของเด็ก ครอบครัว และชุมชน เพราะเด็กและเยาวชนเป็นวัยแห่งการเรียนรู้ แต่สภาพแวดล้อมในปัจจุบันกลับเต็มไปด้วยความเสี่ยงและไม่เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้นอกห้องเรียน ภาคีเครือข่ายด้านเด็กและเยาวชนในจังหวัดตระหนักและเล็งเห็นปัญหาดังกล่าว จึงได้ระดมความร่วมมือกันเพื่อให้เกิดกิจกรรมสร้างสรรค์ที่พัฒนาทักษะของเด็กและเยาวชนอย่างหลากหลาย และเกิดพื้นที่สร้างสรรค์ตามวัตถุประสงค์ในพื้นที่จังหวัดเลย

ปีที่ผ่านมา ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากหน่วยงานภาครัฐฯ และได้รับการอนุเคราะห์ให้ใช้พื้นที่บริเวณจวนผู้ว่าฯ ในการจัดกิจกรรมเป็นประจำทุกสัปดาห์ ซึ่งจะสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามความต้องการของเด็กและเยาวชน ความพร้อมของวิทยากร ความพร้อมของสถานที่ และปัจจัยด้านอื่นๆ หลังจากการดำเนินโครงการพื้นที่นี้ดีจังเลยมาระยะหนึ่ง พบว่าเด็กและเยาวชน รวมถึงพ่อแม่ผู้ปกครองในพื้นที่ให้ความสนใจจำนวนมาก และอยากให้มีกิจกรรมและพื้นที่สร้างสรรค์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต

วัตถุประสงค์หลัก

  1. เพื่อให้มีพื้นที่สร้างสรรค์ในการทำกิจกรรมสำหรับเด็กและเยาวชน
  2. เพื่อให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้รับความรู้ ทักษะ ที่หลากหลาย
  3. เพื่อให้เกิดเครือข่ายจิตอาสาในการร่วมทำกิจกรรม

ระยะเวลาในการทำกิจกรรม

1 ปี

ช่วงอายุผู้เข้าร่วมกิจกรรม

๗ – ๑๒ ปี (ระดับประถมศึกษา)

จำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรม (ต่อครั้ง)  

๑๕ – ๒๐ คน

ขั้นตอนหลัก (ตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมงานก่อนเกิดงานจนเสร็จสิ้นกิจกรรม)     

  1. รวบรวมแนวคิด วิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการดำเนินโครงการ และประสานเครือข่าย
  2. เสนอโครงการ
  3. ดำเนินโครงการ
  4. สรุปผลการดำเนินโครงการ

อุปกรณ์

  1. อุปกรณ์สำนักงาน เช่น ปากกา กระดาษ
  2. วัสดุ/อุปกรณ์ขึ้นอยู่กับรูปแบบกิจกรรม

ผลที่คาดว่าจะได้รับ

  1. เกิดพื้นที่สร้างสรรค์ในการทำกิจกรรมสำหรับเด็กและเยาวชน
  2. ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้รับความรู้ ทักษะ ที่หลากหลาย
  3. เกิดเครือข่ายจิตอาสาในการร่วมทำกิจกรรม

เมื่อปัญญาประดิษฐ์มีแนวโน้มจะคุกคามอาชีพสิ่งที่เด็กยุคปัจจุบันควรทำคือ…

แม้จะไม่รู้แน่ชัด หรืออย่างไม่เป็นทางการ แต่หลายคนต่างก็ต้องยอมรับแล้วว่า ปัญญาประดิษฐ์  (Artificial Intelligence – AI) ก็ได้คืบคลานเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตคนเราช้าๆ มาเป็นเวลานานพอสมควรแล้ว ในทางหนึ่ง AI สร้างความสะดวกสบายให้กับผู้คนอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ในอีกทาง มันก็คือตัวร้าย เป็น ดิจิทัล ดิสรัปชัน (Digital Disruption) ที่หลายคนอาจจะโดนผลกระทบของมันไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย ในขณะที่บางคนอย่างเด็กๆ ที่มีหลายงานวิจัยให้ผลว่า อีกไม่ 5 – 10 ปีข้างหน้า ปัญญาประดิษฐ์จะเข้ามามีบทบาทไปจนถึงแทนที่มนุษย์ในตลาดแรงงานทีเดียว งานนี้นอกจากตื่นตระหนกแล้ว เราสามารถรับมือกับมันได้อย่างไรบ้าง

คุณธานัท จารุฤทธิไกร ผู้บริหารฝ่ายการตลาดบริษัท อัลทิมาไลฟ์ จำกัด ผู้ผลิต “ธิมา” เลขา AI อัจฉริยะ ให้ความคิดเห็นเรื่องนี้ว่า AI เข้ามามีบทบาทในสายอาชีพต่างๆ ทั่วโลกสักระยะแล้ว อาทิเช่น งานเกี่ยวกับศาล ทนายความ หมอ เป็นต้น โดยส่วนใหญ่จะเป็นการเก็บรวมรวมข้อมูลทั่วโลกนับล้านๆ ข้อมูล แล้วนำข้อมูลนั้นมาวิเคราะห์

“ซึ่งแน่นอนว่า ด้วยข้อมูลที่มากมายขนาดนั้นมันมีโอกาสทำให้มนุษย์ที่ทำอาชีพนั้นๆ อยู่ตกงานได้เลยทีเดียว เพราะความแม่นยำย่อมมีมากกว่าอยู่แล้ว” คุณธานัทกล่าว

และนี่ไม่ใช่เป็นการคาดการณ์อนาคต แต่สิ่งเหล่านี้ได้เกิดขึ้นแล้ว ที่เห็นได้ชัดคืออุตสาหกรรมโรงงาน ซึ่งบางแห่งสามารถใช้AIแทนมนุษย์ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว แต่คุณธานัทบอกว่า สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สามารถเตรียมตัวรับมือได้ และหากเตรียมตัวไว้ดีตั้งแต่เนิ่นๆ โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในอาชีพก็มารอยู่ไม่ไกลเลย

“สมมติว่าผู้พิพากษาทั้งโลกนี้ มีคดีความประมาณพันล้านกว่าคดี หลายคดีก็จะใช้วิจารณญาณของศาลดังนั้น ดังนั้นผู้พิพากษาจะต้องดูว่าในอดีตเขาตัดสินกันมาแบบไหน โดยมีเงื่อนไขแบบใด ก็จะอ้างอิงและถือเป็นบรรทัดฐาน ประเด็นคือ ปัจจุบันมีAIเข้ามาช่วยเก็บข้อมูลว่า หากมีคดีแบบนี้แล้ว ทั้งโลกในอดีตเคยตัดสินกันแบบไหน  ผู้พิพากษาก็สามารถดูเป็นสถิติได้ หรือกับทนายความที่ต้องท่องจำมาตรากฎหมายหลายร้อยมาตรานั้น AI ก็สามารถบอกได้ว่าจะต้องต่อสู้ด้วยมาตราใดๆหรือในวงการแพทย์ หมอแต่ละคนอาจจะวินิจฉัยไม่เหมือนกัน แต่สมมติว่าให้AIเรียนรู้ฟิล์มเอ็กซเรย์ ว่าหากเป็นแบบนี้คือมะเร็ง แต่อีกแบบไม่เป็น ให้AIอ่านก็จะแม่นกว่าคน เพราะมีข้อมูลนับล้านชุด หรือวงการขายของออนไลน์ ถ้ามีคนขายของออนไลน์ได้วันละ 500 ออเดอร์ก็จะตอบคำถามเองไม่ไหว ก็จะจ้างแอดมิน บางหน่วยงานจ้างแอดมินเยอะ แต่บางหน่วยก็ลงทุนทางด้านAIเยอะมาก ตอบคำถามเยอะๆ มนุษย์จะทำไม่ได้ แต่AIทำได้ ไม่เหนื่อย หลายบริษัทจะหันมาทางนี้ชัดเจน

อนาคตหน่วยงานจะมอง 3 อย่าง อะไรที่ช่วยเพิ่มยอดขายได้ อะไรที่ลดค่าใช้จ่าย อะไรจะลดเวลาได้ เหล่านี้ก็จะเห็นได้ว่ามันทำให้หลายอาชีพอาจจะตกงานได้

ถ้าเรารู้แบบนี้แล้ว ก็ต้องเลือกวิชาเรียน ดูว่าอาชีพไหนที่AIแทนไม่ได้ อาชีพที่ได้ผลประโยชน์ที่สุด คือ โปรแกรมเมอร์เขียนAI ปัจจุบันนี้อาชีพที่ไม่ได้ผลกระทบเลยคือโปรแกรมเมอร์ แม้จะว่ามีโควิด ตอนนี้ขาดแคลนด้วยซ้ำเพราะทุกคนไปออนไลน์กันหมด ถือว่าเป็นอาชีพที่มาแรง และอาชีพเกี่ยวกับออนไลน์ เช่นการขายของออนไลน์ ทุกวันนี้คนที่ขายออนไลน์เก่งๆ ก็เป็นที่ปรึกษาบริษัทใหญ่ๆ แต่ถ้าเป็นอาชีพอื่น เช่น อยากเป็นหมอ ระหว่างทางก็ให้ศึกษาAI ไปด้วย อย่างน้อยให้พอรู้ในฐานะยูสเซอร์ กล้าพูดเลยว่า ถ้าหมอคนไหนสามรารถใช้AIในการอ่านฟิล์มเอ็กซเรย์ได้ก็จะได้รับการยอมรับมากกว่า หรือในสำนักงานบัญชี สมมติว่ามีนักบัญชีคนหนึ่งใช้AIช่วยทำบัญชี ช่วยทำงบดุล ช่วยตรวจสอบความถูกต้องได้ คนอื่นในบริษัทอาจจะตกงาน แต่ไม่ใช่คนนี้แน่ ดังนั้นแทนที่เราจะกลัวว่าAIจะมาแทนที่คน ให้เราคิดว่าทำอย่างไรเราถึงจะใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุด”

คุณธานัทยังย้ำด้วยว่า AIถูกสร้างมาให้ชีวิตง่าย แต่คนส่วนใหญ่ยังใช้มันไม่เป็น เด็กๆ จึงจำเป็นต้องเรียนรู้แต่เนิ่นๆ เพราะเริ่มก่อนก็จะประสบความสำเร็จได้ดีกว่า

“สิ่งที่จะบอกเด็กก็คือ ในอาชีพของคุณ คุณจะต้องศึกษามุมใดมุมหนึ่งให้ใช้เอไอให้ได้ แค่คุณใช้มันเป็นก่อนคนอื่น แค่นั้นชีวิตก็จะต่างจากคนอื่นเลย เมื่อก่อนทุกคนเชื่อว่าไม่ว่าอย่างไรออนไลน์ก็มา ตอนนี้คนที่ทำออนไลน์ก็รวยไปแล้ว ทุกวันนี้เราคุยกันว่าAIกำลังจะมานะ ดังนั้นถ้าคุณเข้าใจมันก่อน คุณจะได้เปรียบ เพราะไม่ว่าอย่างไรมันก็มา

เหมือนอุตสาหกรรม เรารู้ว่ารถยนต์ไม่ใช้น้ำมันมันจะมา เป็นรถยนต์ไฟฟ้า คำถามคือ ถ้าวันนี้คุณเป็นช่างซ่อมรถ ตอนนี้คุณควรทำอะไร คุณก็ต้องไปศึกษาการซ่อมรถไฟฟ้า เพราะถ้าตอนนี้เป็นนักศึกษากำลังเรียนการซ่อมเครื่องยนต์รถน้ำมัน แปลว่าหลังจากเรียนจบคุณกำลังจะตกงาน แต่อนาคตคุณจะรุ่งและเป็นที่ต้องการแน่นอนถ้าคุณเรียนคณะที่ส่งเสริมให้คุณสามารถซ่อมหรือรู้กลไกเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าได้”

คุณธานัทยังให้ทัศนะเกี่ยวกับเด็กๆ ไว้เพิ่มเติมด้วยว่า

“เด็กสมัยนี้ควรเรียนรู้การเขียนโปรแกรม อย่างน้อยถ้าเขาไม่ชอบก็ต้องรู้หลักการของมัน ต่อให้ไม่ใช่ผู้สร้างก็ต้องมีความสามารถในการเป็นผู้ใช้AIให้ได้”

ด้านนายธนกฤต รักมั่งคั่งทวี หรือ ทาโร่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนนานาชาติแองโกลสิงคโปร์ กล่าวว่า AI มีทั้งข้อดีและข้อเสีย สิ่งสำคัญสำหรับมนุษย์ก็คือต้องศึกษาข้อมูลต่างๆ อยู่ตลอดเวลา

“อนาคตของผมคงสานต่อธุรกิจของครอบครัวซึ่งเป็นธุรกิจอิมพอร์ตเอ็กซ์พอร์ต ก็จะต้องเตรียมตัวให้พร้อมอย่างที่รู้กันว่าเมื่อยุคสมัยมันเปลี่ยนไปก็มีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นมามากมาย AIก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้ เพราะฉะนั้นการเตรียมตัวเราเพื่อเข้าตลาดแรงงานที่อาจจะมีAIเข้ามาทำแทนเราได้นั้น ก็คือ เราต้องค้นคว้าหาข้อมูล และปรับตัวให้ทันสมัยตลอดเวลา

“ผมคิดว่า มันมีข้อดีและข้อเสีย ข้อเสียก็คือ คนที่ไม่ทันโลกได้ ก็จะถูกแทนที่ด้วยระบบAI คนก็จะตกงาน ก็จะเกิดปัญหาอาชญากรรมมากขึ้น และการที่มีAIอยู่ก็ต้องมีคนควบคุมด้วย ไม่อย่างนั้นอาจจะเกิดปัญหาหรืออันตรายที่ไมjคาดคิดขึ้นได้ ส่วนข้อดีคือ ถ้ามีAIมาช่วย งานก็จะเร็วขึ้น ง่ายขึ้น งานก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นเพราะใช้AI เพราะฉะนั้นการที่มีAI เข้ามาในชีวิต ก็จะทำให้ชีวิตเรียบง่ายและสะดวกสบายมากขึ้นครับ”


ด้าน นาย จิรเมธ จู หรือ จิมมี่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียน สารสาสน์เอกตรา กล่าวว่าตนเองฝันอยากเป็นศิลปิน มีผลงานทางดนตรี และวางแผนว่าจะเรียนหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชานวัตกรรมการบริการ วิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อนำเทคโนโลยีในอนาคตมาพัฒนายอดสิ่งที่เราอยากทำในอนาคตได้

“ผมว่าAIก็เป็นสิ่งที่ดีนะครับ เพราช่วยแบ่งเบาภาระ ให้ความสะดวกสบายให้กับมนุษย์ แต่AIทำงานได้มากกว่ามนุษย์ก็จริง แต่ไม่มีความนรู้สีกเหมือนมนุษย์ ไม่มีการสื่อสารกันด้วยความรู้สึก ด้วยอารมณ์ จริงอยู่ที่AIมีการพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าในอนาคตก็ไม่ได้มีทฤษฎีว่ามันเก่งกว่ามนุษย์ หรือก้าวข้ามมนุษย์ไปได้ เราก็ต้องควบคุมมันให้เป็นระเบียบอยู่ในกรอบ อย่างมีมาตรการให้มันพัฒนาอย่างเป็นขั้นตอน เพื่อให้แบ่งเบาภาระเรา และให้เป็นเทคโนโลยีที่สามารถนำมาประยุคใช้อย่างมีประสิทธิภาพได้”

ดังนั้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับปัญญาประดิษฐ์  (Artificial Intelligence – AI) สิ่งที่ทำได้ก็คือเตรียมตัวเป็นผู้ใช้มัน ในต่างประเทศ ยังขาดผู้ที่สามารถควบคุมAI นี้อย่างมาก หลายบริษัท เพิ่มเงินเดือนหลายเท่าสำหรับนักศึกษาจบใหม่ที่สามารถใช้งาน AI ได้ นี่จึงไม่ใช่สิ่งที่น่าตื่นตระหนก แต่เป็นโอกาสอันดีงามสำหรับผู้ที่เตรียมตัวพร้อม แต่ก็ภัยคุกคามมากมายสำหรับผู้ที่จมอยู่กับทักษะดั้งเดิมซึ่งอาจจะไม่เป็นที่ต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ ความสำเร็จในอาชีพการงานในอนาคตจึงต้องเรียนรู้ตั้งแต่วันนี้ เริ่ม!

หลักสูตรกิจกรรม Rally วิถีวัฒนธรรมชุมชน จังหวัดลำปาง

ที่มา

จากการระดมความร่วมมือกันของหน่วยงานหลายภาคส่วนในเทศบาลนครลำปาง จังหวัดลำปาง ทำให้เกิดกิจกรรม Rally วิถีวัฒนธรรมชุมชน จังหวัดลำปางขึ้น ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมและเสริมสร้างทัศนคติในการสืบสานภูมิปัญญาและวัฒนธรรมท้องถิ่น ให้เด็กและเยาวชนในชุมชนใช้เวลาว่างในช่วงปิดภาคเรียนและวันว่างอย่างสร้างสรรค์ เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งแก่ตนเอง ครอบครัว ชุมชนและสังคม และเพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อคนสองช่วงวัย คือเยาวชนและผู้สูงวัย

กิจกรรม Rally วิถีวัฒนธรรมชุมชน จังหวัดลำปาง จะถูกจัดขึ้นทุกวันเสาร์หรือวันอาทิตย์ โดยให้เด็กและเยาวชนปั่นจักรยานไปเรียนรู้ตามฐานกิจกรรมต่างๆ ในชุมชน ซึ่งแต่ละสัปดาห์จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนฐานกิจกรรมออกไปตามฐานทุนและทรัพยากรที่ทางพื้นที่มีอยู่แล้ว อาทิ ฐานร้อยกำไลลูกปัด ฐานจักสาน ฐานการทำขนมไทย ฐานวาดภาพ ฐานเต้นลีลาศ เป็นต้น โดยจะมุ่งเน้นทักษะที่เด็กและเยาวชนสามารถไปต่อยอดเป็นอาชีพหรือสร้างรายได้ต่อได้ วิทยากรแต่ละฐานคือบุคลากรในชุมชนที่มีองค์ความรู้และสามารถถ่ายทอดความรู้ให้แก่เด็กและเยาวชน เป็นการสานสัมพันธ์ของคนในชุมชนรวมทั้งฝึกการมีจิตอาสา

วัตถุประสงค์หลัก

  1. เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมและเสริมสร้างทัศนคติในการสืบสานภูมิปัญญาและวัฒนธรรมท้องถิ่น
  2. เพื่อให้เยาวชนในชุมชนใช้เวลาว่างในช่วงปิดภาคเรียนและวันว่างอย่างสร้างสรรค์
  3. เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อคนสองรุ่น (เยาวชน และผู้สูงวัย)

ระยะเวลาในการทำกิจกรรม

ช่วงปิดภาคเรียน

ช่วงอายุผู้เข้าร่วมกิจกรรม

เด็ก 12 – 18 ปี, ผู้ปกครอง

จำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรม (ต่อครั้ง)  

50 คน

ขั้นตอนหลัก (ตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมงานก่อนเกิดงานจนเสร็จสิ้นกิจกรรม)        

  1. ศึกษาพื้นที่ จำนวนประชากร    
  2. ทำความเข้าใจและวางแผนการจัดกิจกรรม       
  3. เกิดกิจกรรมและการสร้างสัมพันธภาพที่ดีในของคนสองช่วงวัยในชุมชน   
  4. ประเมินผลการจัดกิจกรรม และพัฒนากิจกรรมในปีต่อไป

อุปกรณ์

  1. จักรยานในการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ในชุมชน
  2. วัสดุ/อุปกรณ์ตามกิจกรรม อาทิ แผนที่ สมุดสะสมกิจกรรม
  3. สถานที่ในการจัดกิจกรรม/โครงการ เช่น ลานกิจกรรมในชุมชน
  4. อุปกรณ์สำนักงาน เช่น กระดาษ, ปากกา เป็นต้น

ผลที่คาดว่าจะได้รับ

  1. เกิดการมีส่วนร่วมและเสริมสร้างทัศนคติในการสืบสานภูมิปัญญาและวัฒนธรรมท้องถิ่น
  2. เยาวชนในชุมชนใช้เวลาว่างในช่วงปิดภาคเรียนและวันว่างอย่างสร้างสรรค์และเป็นประโยชน์
  3. เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อคนสองช่วงวัย คือเยาวชนและผู้สูงวัย
  4. เพื่อขยายโครงการปิดเทอมสร้างสรรค์ “อัศจรรย์วันว่าง” ออกสู่พื้นที่อื่นๆ

หลักสูตรกิจกรรม ปิดเทอมสร้างสุข ตอน “ขบวนการเยาวชนสืบค้นความดี”

ที่มา

ภูมิปัญญาท้องถิ่น หรือวัฒนธรรมนั้นได้สืบทอดกันมาในชุมชน เมื่อชุมชนเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับสังคม สมัยใหม่ ภูมิปัญญาท้องถิ่นได้เลือนหายไปเพราะไม่มีการถ่ายทอด

เพื่อเปิดพื้นที่สร้างสรรค์ให้เยาวชนได้เรียนรู้และสืบสาน ลดการเกิดพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ปัญหาการติดยาเสพติด ติดเกม และปัญหาการติดจอ หากเยาวชนได้รับการส่งเสริมการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ และมีพื้นที่สร้างสรรค์ในการทำกิจกรรม ได้เรียนรู้วิถีชุมชน เยาวชนได้ฝึกทักษะและพัฒนาตนเอง ได้รับแรงบันดาลใจ เกิดความภาคภูมิใจในบ้านเกิดของตนเอง

วัตถุประสงค์

  1. เพื่อส่งเสริมให้เยาวชนเกิดสำนึกรักท้องถิ่น  ผ่านการเรียนรู้คุณค่าและภูมิปัญญาในท้องถิ่นที่ดีงามในพื้นที่ของตนเอง
  2. เพื่ออนุรักษ์ และสืบสานภูมิปัญญา
  3. เพื่อฝึกทักษะเรื่องการสื่อสารผ่านกระบวนการคิด วิเคราะห์  และการถ่ายทอดเรื่องราวการเล่าเรื่องผ่านภาพถ่าย หรือข้อมูลที่เยาวชนได้สืบค้น
  4. เพื่อให้เยาวชนได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์

ระยะเวลาในการทำกิจกรรม

ค่าย 1 – 2 วัน รูปแบบกิจกรรมค่ายนี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นค่ายพักแรม สามารถไปเช้า – เย็นกลับได้ ระยะเวลาในการทำกิจกรรมสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมและบริบทของแต่ละพื้นที่หรือชุมชนที่มีเรื่องราวให้เรียนรู้

ช่วงอายุผู้เข้าร่วมกิจกรรม

เยาวชน 12 – 18 ปี

จำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรม (ต่อครั้ง)

20 – 30 คน

ขั้นตอนหลัก    

  1. สำรวจฐานทุนในพื้นที่ หรือชุมชน
  2. จัดประชุมคณะทำงานเพื่อหารือการจัดกิจกรรม กำหนดการจัดกิจกรรม กรอบงบประมาน สถานที่จัดกิจกรรม อาหาร และงานอุปกรณ์ต่างๆที่ต้องใช้ในกิจกรรม พร้อมมอบหมายผู้รับผิดชอบแต่ละส่วนงาน
  3. ประชาสัมพันธ์กิจกรรม
  4. รับสมัครกลุ่มเป้าหมายเข้าร่วมกิจกรรม
  5. จัดประชุมเตรียมความพร้อมก่อนถึงวันจัดกิจกรรม
  6. จัดกิจกรรมปิดเทอมสร้างสุข ตอน ขบวนการเยาวชนสืบค้นความดี
  7. ประเมินผลผู้เข้าร่วม

ข้อเสนอแนะ

สำหรับกิจกรรมที่ให้เยาวชนลงพื้นที่ศึกษาข้อมูล “เรื่องราวดีๆ ที่มีในบ้านฉัน” เนื่องจากเป็นการเรียนรู้วัฒนธรรม อาชีพในท้องถิ่น หรือวิถีในชุมชน ส่วนนี้สามารถเพิ่มระยะเวลาให้เป็นวันได้ เพื่อให้เยาวชนได้มีเวลาศึกษาข้อมูลในพื้นที่ หรือในชุมชนมากขึ้น เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้

ผลที่คาดว่าจะได้รับ

  1. เยาวชนตระหนักถึงคุณค่า ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สืบทอดกันมา
  2. เกิดมิตรภาพดีๆ ทั้งจากเยาวชนที่ร่วมกิจกรรม และระหว่างเยาวชนกับคนในชุมชน
  3. เกิดทักษะเรื่องการสื่อสารผ่านกระบวนการคิด วิเคราะห์  และการถ่ายทอดเรื่องราวการเล่าเรื่องผ่านภาพถ่าย
  4. เยาวชนได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ลดปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น

กิจกรรมพื้นที่สร้างสรรค์ อัศจรรย์ภูมิปัญญา จังหวัดสระบุรี

วัตถุประสงค์หลัก

  1. เพื่อปลูกจิตสำนึก ส่งเสริมการเท่าทันตนเองและการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
  2. เพื่อพัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชนในด้านภูมิปัญญาชาวบ้าน
  3. เพื่อพัฒนาทักษะในการใช้เวลาว่างของเด็กและเยาวชน

ระยะเวลาในการทำกิจกรรม

1 เดือน (ช่วงปิดเทอมใหญ่ เดือนเมษายน)

ช่วงอายุผู้เข้าร่วมกิจกรรม

ประถมศึกษาตอนปลาย – มัธยมศึกษาตอนปลาย (แกนนำเด็กและเยาวชน), ผู้สูงอายุ (ภูมิปัญญา)

จำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรม (ต่อครั้ง)

แกนนำ 30 คน, ผู้เข้าร่วม 300 คน

ขั้นตอนหลัก (ตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมงานก่อนเกิดงานจนเสร็จสิ้นกิจกรรม)   

  1. พัฒนาศักยภาพ เพิ่มความมั่นใจ การทำงานเป็นทีม
  2. สำรวจภูมิปัญญาในชุมชน คัดเลือกภูมิปัญญาที่สนใจ
  3. เรียนรู้กับวิทยากรภูมิปัญญาเชิงลึก
  4. วัฒนธรรมพื้นที่สร้างสรรค์ อัศจรรย์ภูมิปัญญา
  5. จัดทำสื่อ

ผลที่คาดว่าจะได้รับ

  1. เด็กและเยาวชนได้รับการปลูกจิตสำนึกในการเท่าทันตนเองและการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
  2. เด็กและเยาวชนมีศักยภาพในการสืบสาน ต่อยอดภูมิปัญญา
  3. เด็กและเยาวชนมีทักษะในการใช้เวลาว่าง
  4. เด็กและเยาวชนมีทักษะในการผลิตสื่อประชาสัมพันธ์และสื่อสร้างสรรค์

เว็บไซต์นี้มีการใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายคุกกี้และ นโยบายในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า