ชมพิพิธภัณฑ์ – นิทรรศการเรื่องราวของอาณาจักรของสิ่งมีชีวิตในทะเล นิทรรศการเรื่องราวของทะเล และระบบนิเวศในทะเล นิทรรศการเกี่ยวกับความสำคัญของทะเลที่มีต่อมนุษย์ ห้องพิพิธภัณฑ์เปลือกหอย และวิวัฒนาการของหอย
Metal Art Gallery บ้านหุ่นยนต์
ชมพิพิธภัณฑ์ – แหล่งเรียนรู้ศิลปะจากเศษเหล็กเป็นสถานที่จัดแสดงศิลปะการใช้เศษเหล็กที่เหลือจากการทำอุตสาหกรรมมาสร้างเป็นผลงานรูปปั้นต่าง ๆ กว่า 200 ผลงาน
🔸ค่าเข้าชม : 👩🏻👨🏻ผู้ใหญ่ 60 บาท
🔸ค่าเข้าชม : 👧🏻 เด็ก 30 บาท (ความสูงไม่เกิน 130 ซม. )
🔸เปิดเฉพาะ วันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์♥️
🔸🕗 เวลา 9.00 – 18.00 น.
☎️ โทร. 062 875 9930
พิพิธภัณฑ์ วิหารเซียน
ชมพิพิธภัณฑ์ – วิหารเซียน เป็นแหล่งเรียนรู้ที่รวบรวมงานศิลปะของไทย-จีนที่สำคัญ อาคารมีสถาปัตยกรรมเป็นวิหารแบบจีนและมีศาลาแบบเก๋งจีนอยู่โดยรอบ มีการจัดวางตำแหน่งสิ่งปลูกสร้างในทิศทางถูกต้องตามหลักวิชาภูมิลักษณ์ หรือ “ฮวงจุ้ย” ตามความเชื่อของคนจีน
การท่องเที่ยวเชิงเกษตร Arun Farm Village อรุณฟาร์มวิลเลจ
ศึกษาดูงาน – การท่องเที่ยวเชิงเกษตร
รองรับเยาวชนได้ 500 คน
เข้าสังคมไม่น่ากลัว แบบที่คิด?
ปัจจุบันมีปัจจัยหลายๆ ด้านมากมายทำให้ใครๆ หลายๆคนอาจจะไม่กล้าที่เข้าสังคม ไม่กล้าพูดคุยทั้งๆ ในใจอยากพูดคุย อยากมีเพื่อน หรือบางครั้งก็กล้าที่จะพูดแค่ในโลกออนไลน์ เพราะไม่มีใครเห็นหน้าจึงกล้าพูดได้อย่างชัดเจน หรือ บางครั้งอาจจะเจอปัญหาที่เมื่อพูดออกไปแล้ว แต่เจอสิ่งที่ทำให้เราไม่มั่นใจ แต่วันนี้ ทางปิดเทอมสร้างสรรค์ขอแนะเทคนิคดีๆในการเข้าสังคมมาฝากน้องๆ กัน มีอะไรบ้างไปดูกันเลย!!!!
1. ขอเเนะนำ พอดเเคสต์ให้น้องๆ ได้ฟังกันก่อน เริ่มจากการปรับเปลี่ยนวิธีคิด ปรับเปลี่ยนมุมมอง เเละปลดล็อคความกลัวในการเข้าสังคม เเน่นอนเลยว่าน้องๆจะไม่ได้เผชิญไปปัญหาไปคนเดียว
ขอเเนะนำ Youtube : Amazing Storytelling ตอน ปลดล็อคความกลัวในการเข้าสังคม | EP90
เมื่อเรากล้าที่จะปลดล็อคความกลัวของตนเองเเล้ว พี่ๆ เชื่อว่าน้องๆ อยากเริ่มปรับตัวเข้าสังคมเเล้วใช่มั้ยละ ไปฟังกันเลย กับ
2. พอดเเคสต์ ที่จะให้น้องได้เริ่มที่จะปรับตัวแก้ไขตนเอง ให้เข้ากับสังคมภายนอกได้แบบไม่ต้องระแวงเเละต้องกลัวว่าคนด้านนอกจะคิดกับเรายังไง หรือ ไม่ต้องกลัวว่าตนเองจะทำให้คนรอบข้างอึดอัด
มาฟังได้เลยกับ Youtube : Mission To The Moon
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับพอดแคสต์สองเรื่องที่ได้ฟังกันไป ทำให้น้องได้ปรับมุมมอง ปรับแนวคิดในการเข้าสังคมบ้างไหม แต่ถึงอย่างไร น้องๆบางคนอาจจะไม่สะดวกในการฟัง ทางพี่ๆปิดเทอมสร้างสรรค์นำแบบสรุปเทคนิคง่ายๆ ที่จะสามารถให้น้องเข้าสังคมได้อย่างไม่กลัวและมีความสุข
8 วิธีสร้างความมั่นใจให้ตนเองเพื่อกล้าที่จะเข้าสังคม
- ฝึก ฝึก ฝึก การฝึกฝนทักษะทางสังคม การฝึกปฏิบัตินั้นจะทำให้ความมั่นใจทางสังคมของคุณเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จำไว้ว่า ‘Practice make perfect’ การฝึกฝนจะทำให้คุณสมบูรณ์แบบ คุณสามารถหาโอกาสในการฝึกได้มากมายจากการพาตัวเองเข้าไปอยู่ท่ามกลางผู้คน แค่นี้คุณก็มีโอกาสมหาศาลในการฝึกสังเกตผู้คนและฝึกการเข้าสังคม เช่น การเริ่มไปเรียนรู้จากสถานที่ต่างๆที่มีการตัดแบบกลุ่ม ที่มีผู้คนหมู่มากเพื่อให้เราได้ทำความรู้จักกับคนอื่นๆ
- คิดในแง่บวก คนที่รู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองเวลาจะติดต่อกับใครเขาจะต้องจดจ่ออยู่กับการที่จะต้องพิสูจน์ตัวเองหรือทำให้ตัวเองน่าสนใจมากพอ บางครั้งก็มองโลกในแง่ร้ายว่าทุกอย่างจะออกมาแย่ จะไม่มีใครอยากคุยด้วย เเต่ให้บอกกับตัวเองไว้เสมอว่า เรามั่นใจ เราอยากเป็นเพื่อน อยากทำความรู้จัก เเละคิดไว้เสมอว่าเค้าก็อยากจะรู้จักเราเหมือนกัน
- รู้จักสังเกต ความสามารถทางสังคม คือ การมีทักษะในการรวบรวมข้อมูล สแกนดูรายละเอียดที่สำคัญของคู่สนทนาเพื่อใช้เป็นหัวข้อในการชวนคุย คุณควรเรียนรู้ที่จะปรับตัวเองให้เข้ากับคนอื่น มีสติและการรับรู้ว่าข้อมูลหรือหัวข้อแบบไหนที่เป็นสิ่งที่ผู้อื่นต้องการหรือสนใจนักสนทนาที่ดีได้ให้ความคิดเห็นว่าคุณต้องพูดเชื่อมโยงกับสิ่งที่คนอื่นพูดหรือสนใจอยู่ คุณไม่จำเป็นต้องทำตัวน่าสนใจ คุณเพียงแค่ต้องเป็นฝ่ายสนใจคนอื่นบ้างนั่นเอง ควรดูจังหวะเสมอว่าเราควรพูกตรงไหน หรือ ไม่ควรพูดจุดไหน เป็นทั้งผู้พูดเเละผู้ฟังที่ดี
- เริ่มบทสนทนาอย่างชาญฉลาด หลังจากการฟังและสังเกตการณ์การสนทนาของกลุ่มที่คุณต้องการจะมีส่วนร่วมด้วยแล้ว คุณต้องปรับบทสนทนาหรือกิจกรรมที่ผู้อื่นสามารถมีส่วนร่วมในการถามคำถาม หรือพูดถึงรายละเอียดในสิ่งที่เขาพร้อมจะพูด พร้อมที่จะให้ข้อมูล เมื่ออยู่เป็นกลุ่ม หรือ อยู่เเค่ 2 คน ควรหาคำถามปลายเปิด เพื่อที่จะให้คู่สนทนาของเรา หรือ เพื่อนๆ ในกลุ่มของเราสามารถตอบได้ เพื่อที่จะต่อยอดการสนทนาไปได้ไกลเเละจะได้ละลายพฤติกรรมต่อกันอีกด้วย
- เป็นมิตรกับความล้มเหลว ทุกคนล้วนเคยถูกปฏิเสธ คนที่มีความมั่นใจในการเข้าสังคมนั้นจะไม่เก็บการถูกปฏิเสธนั้นมาใส่ใจ จำไว้ว่าการถูกปฏิเสธนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะตัวคุณเอง แต่ควรจะคิดว่าการถูกปฏิเสธอาจเกิดจากปัจจัยอื่นหลายปัจจัย เช่น การเข้ากันไม่ได้ ความเข้าใจผิด หรืออีกฝ่ายกำลังอารมณ์ไม่ดี คนที่มั่นใจในตัวเองจะมีความยืดหยุ่น นำ feedback ที่ได้รับมาสร้างสิ่งอื่นเพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้น เมื่อเผชิญกับความล้มเหลว หรือการถูกปฏิเสธ พวกเขาจะมีข้อเสนออื่นมาแลกเปลี่ยน เช่น การกล่าวว่า “อืมม งั้นเราเลื่อนนัดเป็นสัปดาห์หน้าแทนได้ไหม?” หรือย้ายไปกลุ่มอื่นๆ ที่เขาหวังว่าเขาจะไม่เป็นคนที่เข้าไปทำให้การสนทนาจบลง
- จัดการกับอารมณ์ของคุณ สถานการณ์ในสังคมมีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การแสดงออกทางคำพูดหรือไม่ใช้คำพูดมักมีความหมายเสมอ เช่น การแสดงออกทางสีหน้าและน้ำเสียง ซึ่งทำให้ต้องคิดก่อนที่จะตัดสินใจแสดงท่าทีออกไป โดยเฉพาะอารมณ์ในเชิงลบ เช่น ตอนกำลังโกรธ กลัว หรือวิตกกังวล ที่มักเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่เกิดความขัดแย้งหรือความไม่แน่นอน เคล็ดลับคือ การเปลี่ยนความสนใจออกจากสิ่งที่ทำให้กังวลหรือเรื่องที่ทำให้โกรธ ไปสู่เรื่องด้านบวกของสถานการณ์นั้นแทน หรือสนใจเรื่องอื่นไปเลย
- ลดความขัดแย้ง ความขัดแย้งเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง การรับมือกับการเผชิญหน้าเป็นทักษะทางสังคมที่สำคัญ แทนที่จะต่อสู้ คนที่มีความมั่นใจทางสังคมจะหยุดความขัดแย้งนั้น พวกเขาจะขอโทษ เจรจาต่อรอง หรือยื่นข้อเสนอ เพื่อให้เกิดความสงบ หรือบางครั้งอาจเปลี่ยนเรื่อง
การจัดการความขัดแย้งโดยไม่ให้มีการทะเลาะกันต้องมีการฟัง การสื่อสาร การมองในมุมมองของผู้อื่น การควบคุมอารมณ์ด้านลบ และการแก้ปัญหา แม้เพียงแค่อธิบายมุมมองของคุณด้วยเหตุผล ก็สามารถช่วยให้เกิดประโยชน์ขึ้นได้ - การหัวเราะ การมีอารมณ์ขันเป็นทักษะทางสังคมที่มีค่าที่สุดมันเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วเมื่อเราถูกใจกับอะไร การสร้างอารมณ์ขันนั้นไม่มีสูตรตายตัว แต่ในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดของคุณ คุณควรพยายามที่จะมองให้เห็นในด้านสว่างของสถานการณ์นั้นให้ได้ และเปลี่ยนมันให้เป็นมุขตลกหรือเรื่องขำขันแล้วรับประกันได้เลยว่า ใครๆ ก็อยากจะเข้ามาคุยกับคุณ
นอกเหนือจาก 8 ข้อเบื้องต้นแล้ว อยากให้น้องๆทุกคนนึกบุคคลิกภาพ จังหวะในการพูดคุย และมารยาทในการพูดและฟัง เมื่อเข้าสังคมแล้วสิ่งนี้ควรมีให้ได้มากที่สุด เพราะเรายังไม่สนิทกับคนที่เราจะเข้าไปทำความรู้จักด้วย และควรให้เกียรติและเคารพความเป้นมนุษย์ที่เท่าเทียมกันอีกด้วย
เริ่มจากการค้นหาตัวเอง สู่นักกิจกรรมมหาวิทยาลัย
“จากเด็กที่ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรในวันนั้น สู่นักกิจกรรมมหาวิทยาลัยในวันนี้ เพราะการค้นหาตนเอง และการเรียนรู้ไม่มีที่สายเกินไป”
วันนี้ทางปิดเทอมสร้างสรรค์ได้นำบทสัมภาษณ์ของ คุณอั้ม ภรณ์ชิตา เรืองกิจธนโชติ ศิษย์เก่าปีการศึกษา 2565 จาก หลักสูตรรัฐศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยลัยวลัยลักษณ์ มาฝากน้องๆ ปิดเทอมสร้างสรรค์ มาดูกันว่าการเปลี่ยนแปลงที่เริ่มต้นจากค้นหาตัวเองและผันตัวมาเป็นนักกิจกรรมของมหาวิทยาลัยได้อย่างไรไปดูกันเลย
เริ่มจากการไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรสู่สิ่งที่ใช่ในวันนี้
(อั้ม) สวัสดีน้องๆ ปิดเทอมสร้างสรรค์ทุกคนนนะคะ วันนี้ขอมาเล่าประสบการณ์ที่เริ่มค้นหาตนเองมาให้น้องๆ ได้เรียนรู้เป็นเคสตัวอย่างนะคะ ก่อนอื่นเลยขอบอกก่อนเลยว่า เป็นเด็กที่เรียนได้ระดับกลางๆ มาตั้งแต่เด็กๆ เลยค่ะ แต่เป็นเด็กที่มีความสามารถที่หลากหลายมาก แต่ไปไม่สุดสักทาง หรือ อาจจะเรียกว่า เป็ดตัวหนึ่งก็ได้ แต่เมื่อเริ่มโตขึ้น ก็อยากจะค้นหาตัวเองดูสักครั้งว่า เราเนี่ยชอบอะไร และอยากทำอะไรจริงๆ กันแน่ หรือความสามารถที่เรามีจะนำไปต่อยอดด้านใดได้บ้าง เลยได้ตั้งคำถามกับตัวเองว่า
“จะทำอะไรดี ที่สามารถทำให้ตัวเองมีความสุข และ ประสบความสำเร็จกับสิ่งที่ทำ”
จึงได้เริ่มต้นขึ้นกับการเริ่มเป็นนักกิจกรรมของมหาลัย
เมื่อเข้าเริ่มเข้า ปี 1
ตอนเข้าปี 1 ในมหาลัยมีกิจกรรมให้ทำเยอะมากและหลากหลาย แต่ก็ยังเลือกไม่ได้นะคะว่าเราจะไปทางไหน จึงมามองในสิ่งที่เราเรียนคือด้านรัฐศาสตร์ ตอนนั้นคิดอย่างเดียวเลยว่า กิจกรรมที่เราจะทำ เราต้องได้รับประสบการณ์ที่ดี และ ต้องได้ประโยชน์ในด้านการเรียน จึงเริ่มไปสมัคร สภานักศึกษาของมหาวิทยาลัย
ตอนสมัครสภานักศึกษา ตอนนั้นรู้สึกท้าทายมากค่ะ แต่เราก็ได้รับคัดเลือกให้เป็น จึงได้มีโอกาสได้ทำหลายๆ อย่าง และ ได้ใกล้ชิดเพื่อนๆ พี่ๆ นักศึกษามากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการช่วยแก้ปัญหา การรับเรื่องร้องเรียน รวมถึงการพิจารณางบให้นักศึกษาแต่ละชมรม ตอนนนั้นรู้สึกแปลกใหม่มากๆ อีกทั้งประสบการณ์ของการเป็นสภานักศึกษาสามารถนำมาต่อยอดในสายงานอาชีพได้อีกด้วย และในตอนนั้น ได้เป็นสภานักศึกษาทั้งปี 1 และ ปี 2
อยากเป็นบาริสต้า ช่วงปี 2
ตอนนั้นรู้สึกว่างและอยากหารายได้ และในจังหวะนั้น ชมรมผู้ประกอบการนักศึกษาได้เปิดรับสมัครบาริสต้าและผู้จัดการร้านในร้านคาเฟ่ ที่บริหารโดยนักศึกษา จึงได้ไปสมัครและผ่านการคัดเลือก จึงได้เอาประสบการณ์ที่มี และความอยากทำนำมาใช้ และนอกจากนั้น ยังได้ความรู้เพิ่มเติม ได้ประสบการณ์ในด้านบริการใหม่ ๆ รวมถึงการบริหารร้านให้มีลูกค้า ถึงแม้ว่าอาจะไม่ตรงกับสิ่งที่เรียน แต่มันก็สามารถทำให้ค้นพบได้ว่า เราก็อยากมีธุรกิจของตนเองสักอย่างนึง และได้ค้นพบอีกว่าตนเองก็ชอบทานกาแฟเหมือนกัน
เมื่อเริ่มเรียนหนักขึ้นในช่วงปี 3
ถึงแม้ว่าเราจะทำกิจรรมขอมหาลัยวิทยาลัย แต่เราก็จะทิ้งเรื่องการเรียนไม่ได้ เพราะการเรียนของเรามาเป็นอันดับ 1 ต้องลำดับความสำคัญให้ดี บอกได้เลยว่าช่วงนั้นเรียนหนักมาก แต่เมื่อได้เริ่ทำกิจกรรมแล้ว รู้สึกชอบ เพราะได้รู้จักคนเยอะขึ้น มีประสบการณ์ในหลายๆ ด้านมากยิ่งขึ้น จึงยังไม่ทิ้งกิจกรรมถึงแม้ว่าจะเรียนหนักก็ตาม ในช่วงปี 3 ถือว่าทำกิจกรรมเยอะมาก แต่ไม่ได้เป็นสภานักศึกษาแล้วนะ แต่ได้ฟอร์มทีม มาเป็น องค์การบริหารองค์กรนักศึกษา หรือ อบ. ตอนนั้นที่ได้ทำถือว่า เหนื่อยมาก เพราะต้องจัดการกิจกรรมหลายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น กิจกรรมรับน้อง , กิจกรรมไหว้ครู , กิจกรรมดาวเดือน ซึ่งกิจกรรมพวกนี้ นักศึกษาในทีม อบ เป็นคนจัดการทั้งหมด และ ในช่วงนั้นเรียนหนักมาก จึงต้องแบ่งเวลาให้ดี แต่ตอนนั้นมีความสุขและสนุกกับมันมากๆ และประสบการณ์ที่ได้ สามารถนำไปต่อยอดในการฝึกงานได้อีกด้วย
ปี 4 อันหนักหน่วง
เมื่อได้เป็นพี่ปี 4 แล้ว สิ่งที่หนัดสุดเลยคือโปรเจคจบ และหาที่ฝึกงาน แต่เราได้ชื่อว่าเป็นนักกิจกรรมเแล้ว ก็ยังอยากทำต่อ แต่ครั้งนี้ เป็นทีมที่ซัพพอร์ตน้องๆ รุ่นใหม่ และเป็นที่ปรึกษาให้กับน้องๆ ที่อยากทำกิจกรรมต่างๆ ซึ่งถือว่าตอนนั้นเรารู้สึกประสบความสำเร็จในสิ่งที่เราตั้งใจเอาไว้นะ เพราะว่าเราตั้งใจที่จะมาค้นหาตนเอง และทำในสิ่งที่สามารถนำเอาความสำมารถที่เรามีมาต่อยอด และพัฒนาเราได้อีก นอกจากเราจะได้ประสบการณ์แล้ว เรายังสามารถแนะนำและซัพพอร์ตรุ่นน้องให้ประสบความสำเร็จได้ และเมื่อถึงตอนเราฝึกงาน ก็ได้นำเอาประสบการณ์ที่ทำกิจกรรมในมหาลัยไปปรับใช้ และ ได้ใช้เกือยทุกอย่าง สามารถพัฒนาเราได้ดียิ่งขึ้นอีกไปอีก
แต่อยากให้น้องที่เริ่มสนใจและเริ่มอยากมาเป็นนักกิจกรรม หรือ ได้เข้ามาแล้ว ก็อยากแบ่งเวลาให้เป็นให้เราได้ทั้งด้านเรียนและด้านกิจกรรม กิจกรรมสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ได้ แต่การเรียนก็สำคัญเพราะความรู้จะเป็นสิ่งที่อยู่กับเราไปจนตาย
อยากฝากถึงน้องๆ ว่า
อยากทำอะไรศึกษาให้ดี เและลองทำมันไปเลย อยากทำกิจกรรมเราทำได้ เแต่เราต้องไม่ทิ้งการเรียน ความสุข ความสนุก ความสำเร็จจะมาหาเราเอง
‘อิน-เอม’ พี่น้องนักอนุรักษ์วัยเยาว์ ต่อยอดความรัก ‘เต่า’ สู่การช่วยเหลือในระดับชาติ!!
‘ความรัก’ ชักนำผู้คนสู่หลากหลายเรื่องราว เช่นเดียวกับสองพี่น้อง อิน-นายอริณชย์ ทองแตง วัย 16 ปี และ เอม-ด.ญ. อริสา ทองแตง วัย 14 ปี ผู้ริเริ่มโครงการ Below the Tides: Zero Starving Sea Turtles (อิ่มท้องน้องเต่า) ที่มุ่งมั่นตั้งใจสานต่อความรัก สู่การเป็นผู้ให้ เพิ่มโอกาสรอดชีวิตของ ‘เต่าทะเล’ ให้กลับคืนสู่ธรรมชาติ เพื่อปรับสมดุลระบบนิเวศใต้ท้องทะเลไทยให้สมบูรณ์และยั่งยืน
“เต่าเป็นสัตว์ที่ผมชอบมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ ผมเป็นคนที่ชอบสัตว์เลื้อยคลาน ชอบธรรมชาติ ผมกับเพื่อนเริ่มชอบเต่ามาตั้งแต่ช่วง 3 ขวบ ก็เลยไปซื้อมาเลี้ยงกัน พอเลี้ยงมาเรื่อยๆ ก็เลยมีมากขึ้น และทำให้ผมชอบเต่ามากขึ้น ก็เลยอยากนำความชอบตรงนี้ มาต่อยอดเพื่อให้มีประโยชน์ต่อสังคมครับ” พี่ชายเปิดอกเล่า ก่อนที่น้องสาวจะเสริม
“ที่บ้านจะสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมากค่ะ เรามีบ้านอยู่ริมคลอง เด็กๆ ก็จะมีโอกาสได้ช่วยคุณย่าเก็บขยะริมคลอง และคุณย่าก็จะสอนเราเรื่องนี้มาตลอด ว่าจริงๆ มนุษย์เราเป็นคนทำลายสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดน้ำเน่าเสีย และต่างๆ คุณย่าจะสอนว่าเราต้องทำยังไง เพื่อช่วยตรงนี้ได้บ้าง แล้วจำได้ว่า วันเกิดของพี่อิน คุณยายก็ซื้อเต่ามาให้เลี้ยงด้วย หลังจากนั้นพวกเราก็ได้ช่วยกันดูแลเต่ามาตลอดค่ะ”
และจากการเฝ้าดู นำไปสู่ความรับผิดชอบ เมื่อพบว่าแต่ละปีประเทศไทยต้องสูญเสียเต่าทะเลที่ใกล้สูญพันธุ์ไปอย่างน่าเสียดาย ทำให้ความคิดที่จะดูแลเต่าในสโคปที่กว้างออกไปปรากฏขึ้นในใจของทั้งคู่
“เราได้ไปเรียนดำน้ำ scuba diving ที่เกาะมันในกันค่ะ เป็น diving สำหรับลงไปปลูกปะการัง แล้วหนูได้เจอเต่า หนูมีความสุขมาก แฮบปี้ที่ได้เห็นเต่าอยู่ตามธรรมชาติ เขาดูมีความสุขที่ได้อยู่บ้านของเขา เราก็เลยรู้สึกว่าเรามีความรับผิดชอบ ที่จะต้องดูแลพวกเขา”
“เราไปดูที่ศูนย์วิจัยทางทะเลและชายฝั่ง ที่เกาะมันใน ไปดูเต่าทะเลที่นั่น ว่าปัญหาของเขามีอะไรบ้าง และเต่าที่นั่นต้องการอะไร เพราะการที่เต่าตาย และมีจำนวนลดลง จริงๆ ส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมเยอะมากครับ เต่ามีความสำคัญต่อระบบนิเวศใต้น้ำ อย่างเช่น ช่วยควบคุมไม่ให้มีแมงกระพรุนมากเกินไป ช่วยกำจัดสาหร่ายที่มีเยอะเกิน และยังช่วยป้องกันการพังทลายของชายฝั่ง และอีกหลายๆ อย่าง ถ้าไม่มีเต่า ระบบนิเวศใต้น้ำของเราก็จะล้มเหลวครับ”
โครงการ Below the Tides: Zero Starving Sea Turtles (อิ่มท้องน้องเต่า) เริ่มต้นขึ้น ผ่านทาง ‘เทใจดอทคอม’ โดยผ่านเพื่อนคุณแม่ แล้วสองพี่น้องก็เริ่มลงมือทำ
“เราเปิดรับบริจาคผ่านทางเทใจครับ และบางครั้งเราก็มีไปออกบูธทำเสื้อขายด้วย เพื่อระดมเงินเข้าผ่านทางเทใจ และเมื่อครบจำนวนที่เราตั้งไว้ คือ 660,000 บาท เราก็จะนำไปให้ทางศูนย์วิจัยฯ (ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง)เพื่อจะได้ใช้เงินตรงนี้ดูแลลูกเต่าที่เขาอนุบาลไว้ เลี้ยงจนเต่าโตแข็งแรง และนำไปปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติครับ โอกาสรอดของเต่าทะเลจะมีมากขึ้น ก็ต่อเมื่อถูกปล่อยในช่วงวัยที่เหมาะสม นั่นคือโตเต็มวัย ซึ่งต้องใช้เวลาในการอนุบาลกว่า 200 วัน แต่เราได้ไปศึกษาข้อมูลที่ศูนย์วิจัยฯ ที่นั่นจะมีบ่อหลายขนาด มีตั้งแต่บ่อเลี้ยงเต่าตัวเล็กๆ จนถึงตัวใหญ่มาก กระดองยาวประมาณเมตรกว่าๆ คือเราจะเห็นได้เลยว่าในบ่อของตัวเล็กๆ จะมีเยอะกว่ามาก แต่พอโตมาจริงๆ จะเหลือแค่ 2-3 ตัวที่อยู่ในบ่อ เพราะด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง และเรื่องของอาหารที่ไม่เพียงพอ เพราะเต่ากินเยอะครับ พี่ๆ ที่ศูนย์ก็เลยจำต้องปล่อยเต่าไปก่อนกำหนด เพราะเลี้ยงไว้ก็อาจจะเสียชีวิตได้ ปล่อยไปอาจจะมีโอกาสรอดได้มากกว่า เราจึงทำโครงการนี้ เพื่อนำเงินไปให้กับทางศูนย์วิจัยฯ เพื่อที่จะสามารถเลี้ยงเต่า ได้จนโตเต็มวัย ในจำนวนที่มากขึ้นได้ครับ”
“ค่าอาหารเต่าแต่ละตัว จะตกวันละ 30 บาทค่ะ เพราะฉะนั้นถ้าจะเลี้ยงดูเต่าจนโตพอที่จะปล่อยสู่ธรรมชาติอย่างปลอดภัย เพิ่มจำนวนเต่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์ให้มีมากขึ้น เราต้องใช้เวลาอนุบาลเขาประมาณ 200 วัน เพื่อให้เต่ามีน้ำหนักได้ประมาณ 2 กิโลฯ ความยาวประมาณ 30 ซม. นั่นเท่ากับว่าเราต้องใช้เงินดูแลเต่า ตกตัวละ 6,000 บาท ก่อนปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ”
แม้จะมีอุปสรรคบ้าง แต่ทั้งคู่ก็ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากผู้ใหญ่หลายๆ ท่าน
“อุปสรรรคงจะเป็นเรื่องของการกระจายข่าว การประชาสัมพันธ์ค่ะ เพราะว่าเราไม่รู้จะทำยังไงให้ทุกคนรู้จักโครงการนี้ แต่แล้วเราก็ดีใจมากๆ เลยค่ะ ที่มีโอกาสได้ทำงานกับพี่แอนโทเนีย โพซิ้ว (มิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส 2023) เพราะพี่เขามีคนติดตามเยอะมาก ก็ดีใจที่ได้พี่เขามาช่วยชักชวนทุกคนให้ช่วยเหลือเต่ากันค่ะ”
“อินและเราก็ยังได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้วยครับ หลังจากที่ได้ไปเข้าพบ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เพื่อนำเสนอโครงการนี้ และทางกระทรวงก็อยากช่วยสนับสนุน เพราะไม่ค่อยมีเด็กๆ ที่ตั้งใจอยากช่วยสิ่งแวดล้อมจริงจังแบบนี้ และเห็นว่าตรงนี้จะกลายเป็น Role Model(ต้นแบบ) ให้กับเด็กคนอื่นๆ ได้อีกด้วยครับ”
การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไม่ใช่เรื่องที่ไกลตัวอีกต่อไป ทั้งอินและเอมจึงอยากเชิญชวนทุกคนให้ตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อม ที่ถูกทำลายมากขึ้นเรื่อยๆ
“ตอนนี้โลกเราร้อนขึ้นทุกๆ ปี น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ส่วนของทะเลเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่พื้นดินค่อยๆ หายไป ผมอยากให้ทุกคนตระหนักว่าทุกอย่างที่เราทำ ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมไม่ว่าจะทั้งทางตรงหรือทางอ้อม ก็อยากจะให้ทุกคนคิดก่อนทำครับ”
“อยากให้ทุกคนมองว่า ถึงจะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่ถ้าเราแค่เริ่ม และพยายามช่วย ก็ถือว่าเราได้มีส่วนร่วมในการดูแลสิ่งแวดล้อมแล้วค่ะ หรือจะเริ่มต้นด้วยการบริจาคให้กับโครงการอิ่มท้องน้องเต่าก็ได้นะคะ โดยสามารถบริจาคผ่านทางเว็บไซต์เทใจดอทคอม ซึ่งทุกบาททุกสตางค์ ไม่ว่าจะเยอะหรือน้อย ก็ล้วนมีความสำคัญต่อชีวิตของเต่าทุกตัวค่ะ”
ความตั้งใจอันแรงกล้าของเด็กๆ ทำให้เราต้องย้อนกลับมามองตัวเอง…วันนี้เราได้ทำอะไรเพื่อโลก เพื่อสิ่งแวดล้อมบ้างหรือยัง!?
ติดตามความคืบหน้าและเป็นส่วนหนึ่งในการรักษ์โลกทะเลได้ที่
จากเด็กเนิร์ด สู่ เด็กกิจกรรม
สวัสดี น้องๆ FC ปิดเทอมสร้างสรรค์ทุกคน วันนี้ ทางปิดเทอมสร้างสรรค์ มีบทสัมภาษณ์พิเศษจากเพื่อนๆ พี่ๆ ชาวปิดเทอมสร้างสรรค์ด้วยกัน ที่สร้างประสบการณ์ของตนเองทั้งด้านการเรียนการการทำกิจกรรมในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยควบคู่กันไปจนประสบความสำเร็จ เราตามไปดูกันเลยว่า จากเด็กเนิร์ดที่สนวจเเต่เรื่องเรียนอย่างเดียว ได้มีการปรับตัว หรือ เลือกมาทำกิจกรรมเพิ่มเติมระหว่างเรียนได้อย่างไร และ ได้ประโยชน์จากการเป็นเด็กกิจกรรมอย่างไร
วันนี้ปิดเทอมสร้างสรรค์ ได้สัมภาษณ์ เด็กกิจกรรมคนหนึ่งที่เคยสนใจเเค่ด้านเรียนอย่างเดียว ไม่ทำกิจกรรมออะไรเลยของโรงเรียน เเต่เกิดจุดเปลี่ยนให้กลายมาเป็นเด็กกิจกรรม มาดูบทสัมภาษณ์ จาก คุณ ทีน ภราดา บุตรเลี่ยม ศิษย์เก่าปี2565 จาก มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ หลักสูตรนิเทศาสตร์ดิจิทัล สำนักวิชาสารสนเทศศาสตร์
ช่วงชีวิตเด็กกิจกรรมในรั้วโรงเรียน (มัธยมต้น – มัธยมปลาย)
เริ่มสนใจทำกิจกรรมระหว่างเรียนตั้งเเต่เมื่อไร ?
(ทีน) ผมเริ่มสนใจทำกิจกรรมระหว่างเรียน ตั้งเเต่มัธยม 2 หรือ ม.2 เเต่ผมขอท้าวความก่อนนะครับว่า ในช่วงนั้น ผมมีไอดอลของผมเลยคือ คุณพ่อของผมเอง เนื่องจากคุณพ่อของผมเป็นวิศวกร ผมจึงมีความอยากเป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์ ผมเลยหากิจกรรมทำเกี่ยวกับด้านนี้เพื่อที่จะปูเเนวทางของผมให้ประสบความสำเร็จเป็นวิศวกรได้ ผมจึงเลือกเข้าไปสมัครการเเข่งขันหุ่นยนต์ เเต่การรับสมัครถือว่ามีคนสมัครค่อนข้างเยอะมากในปีนั้น เเละ อาจารย์ประจำกลุ่มก็ปิดรับสมัครเร็วมาก ผมจึงไม่ได้เข้าร่วมในการเเข่งขันหุ่นยนต์ครั้งนั้น เเต่การเริ่มต้นเป็นเด็กกิจกรรมของผมยังไม่จบ ผมได้มีโอกาสเข้าร่วมทีมแข่งขันหนังสั้น ในรายการศิลปหัถตกรรมวิชาสังคม ในหัวข้อ “คอรัปชั่น” ซึ่งเป็นก้าวเเรกของการเป็นเด็กกิจกรรมเลยก็ว่าได้ครับ ผมได้ลองเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มากมาย ทั้งจาดครูเเละเพื่อนๆ เเละหน้าที่ของผมได้เริ่มจากตำแหน่งช่างภาพ เนื่องจากผมมีสกิลด้านการถ่ายภาพ เเละถือเป็นก้าวเเรกของผมจริงๆ ที่ได้ทำสิ่งใหม่ๆ นอกจากการเรียนหนังสือ
ทำไมถึงอยากทำกิจกรรมระหว่างเรียน เเละ เริ่มรู้สึกชอบตั้งเเต่เมื่อไร ?
(ทีน) ตั้งเเต่ผมได้เริ่มทำกิจกรรมของโรงเรียนครั้งเเรก คือ การประกวดหนังสั้น มันทำให้ผมได้เปิดโลกเปิดมุมมองใหม่ๆขึ้นมาเยอะมากครับ จากเด็กเนิร์ดที่เอาเเต่เรียนอย่างเดียว ไม่สนใจอะไรเลย จนวันนี้อยากลองทำสิ่งใหม่ๆ ผมจึงได้เริ่มต้นตั้งเเต่ตอนนั้น คือ ช่วง ม.2 ถ้าถามว่าผมเริ่มชอบตั้งเเต่เมื่อไร ก็ตอนนั้นเลยครับ เพราะตอนเเข่งขัน ทีมของโรงเรียนได้ไปต่อถึงระดับประเทศ มันทำให้ผมรู้สึกภูมิใจมาก เเละ ระหว่างเเข่งขันได้ประสบการณ์ใหม่ๆมากมายไม่ว่าจะ เป็น การเดินทางไปต่างจังหวัดที่มีทีมหนังสั้นของโรงเรียน ได้ออกนอกโรงเรียน ออกต่างจังหวัดไปเปิดประสบการณ์มากมาย รวมถึงตอนเเข่งขันระดับประเทศ ผมได้เป็นตัวแทนในการพรีเซ็นโปรเจคครั้งนี้ มันยิ่งทำให้ผมได้มั่นใจในตนเองเพิ่มขึ้นอีกด้วยครับ เเละตั้งเเต่นั้นมาผมได้เข้าร่วมการเป็นตัวแทนของโรงเรียนไปทำกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สภานักเรียน การเเข่งขันศิลปหัถกรรม เเละอื่นๆ อีกมากมาย
กิจกรรมที่ชอบที่สุดในช่วงมัธยมคืออะไร ?
(ทีน) สำหรับผมกิจกรรมที่ชอบที่สุด หรือ สิ่งที่ประทับใจที่สุดในช่วงเวลานั้นก็คือ การได้เป็นผู้ริเริ่ม ผู้ก่อตั้งชมรม รวมถึงได้เป็น ประธานชมรมช่างภาพโรงเรียน ตอนนั้นผมรู้สึกภูมิในตัวเองมาก เพราะผมได้นำความรู้ คงามสามารถ และประสบการณ์ของตนเอง มาพัฒนารุ่นน้องให้มีความรู้เพิ่มขึ้น เเละได้ถ่ายทอดประสบการณ์ดีๆจากผมครับ
รางวัลที่โดดเด่นเเละชื่นชอบ
(ทีน) กิจกรรมนี้ผมจำไม่ลืมเเละประทับใจมากๆเลยคือ “การทำหนังสั้น รณรงค์ลดการพนันฟุตบอลปี 2018” มันเป็นกิจกรรมที่ทำให้ผมได้ประสบการณ์มากขึ้นกว่าเดิม ได้พบเจอผู้คนที่มีความสามารถเเละเก่งในด้านต่าง ๆ รวมถึงประสบการณ์ทำงานเป็นทีมเนื่องจาก ในทีมของผมมีทั้งรุ่นพี่ รุ่นน้อง คุณครู รวมถึงผู็ใหญ่ใจดีที่คอยให้ความรู้เเละสนับสนุนจนหนังสั้นได้รับรางวัลระดับประเทศอีกครั้ง เเละกิจกรรมนี้ส่งผลดีกับผมในการเข้ามหาวิทยาลัยอีกด้วยครับ
อุปสรรคในการเป็นเด็กกิจกรรม
(ทีน) อุปสรรคของในตอนนั้นคือด้านการเรียนครับ เเต่ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นอุปสรรคอะไรมากมายเพราะผมได้มีการจัดสรรเวลาในการเรียนได้ดี เเละคุณครูก็เข้าใจครับว่าผมติดเเข่งขันต่างๆ จึงสามารถถยอยส่งงานได้ เเต่ที่สำคัญตอนเรียน ต้องตั้งใจเต็มให้มากขึ้นครับ
ประโยชน์จากการเป็นเด็กกิจกรรม
(ทีน) สำหรับประโยชน์ของการเป็นกิจกรรม คือ ผมได้รับโอกาสที่ดี ได้รับความรู้ใหม่ๆ เเละ ได้เรียนรู้กันแบ่งเวลาเรียนให้เป็นเเละการทำกิจกรรมให้ดี ถ้าหากผมทำตรงนี้ได้ดี ผมเชื่อว่ามันจะดีต่อผมในอนาคตเเน่นอน
ช่วงชีวิตเด็กกิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัย
นำประสบการณ์จากมัธยมมาใช้ได้ไหม?
(ทีน) การันตี100% เลยครับว่าสามารถนำมาใช้ได้เเน่นอน ไม่ว่าจะเป็นการปรับตัว การพูดคุย หรือแม้กระทั้งการหากิจกรรมใหม่ๆ ทำครับ เเละตอนที่ผมเข้ามหาวิทยาลัยมาผมคิดว่าผมก็คงยังอยากเป็นเด็กกิจกรรมอีกครั้งครับ
กิจกรรมในช่วงมหาวิทยาลัยเเละช่วงมัธยเเตกต่างกันมากเเค่ไหน?
(ทีน) สำหรับผมถือว่าเเตกต่างพอสมควรเลยครับ ตอนอยู่มัธยมผมสรู้สึกว่ายังมีกรอบมีขอบเขตในการคิดเนื่องจากเรายังเป็นเด็ก เเต่เมื่อเข้าสุ่มหาวิทยาลัยเเล้ว ต้องมีความรับผิดชอบมากยิ่งขึ้น ต้องดูเเลทุกอย่างหมด เพราะผู้ใหญ่ หรือ อาจารย์จะเข้ามายุ่งน้อยมาก เเละที่สำคัญตอนอยู่มหาลัยผมเลือกเป็นองค์การบริหารองค์กรนักศึกษา ซึ่งถือว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องมีความรับผิดชอบสูง เนื่องจาก ต้องคอยช่วยเหลือ เเละคิดกรรม ดูแลงบของชมรมต่างๆ จึงทำให้เราต้องทีความรับผิดชอบมากกว่าตอนอยู่มัธยมครับ
ชอบกิจกรรมอะไรมากที่สุด?
(ทีน) ขอตอบเป็น กิจกรรมดาวเดือนของมหาลัยครับ เพราะว่าเป็นกิจกรรมที่ได้รับความสนใจจากเด็กในมหาลัยอย่างมากเเละรวมถึงเพื่อนๆต่างสถาบันอีกด้วย ผมเเละทีมงานจึงอยากทำออกมาให้ดีที่สุด เเละมันเป็นกิจกรรมที่ผมสามารถนำเอาความรู้ความสามารถที่เรียนมาได้ใช้อย่างเต็มที่ด้วยครับ
ตัวอย่างผลงาน
อยากให้ฝากอะไรถึงน้องๆ หรือ เด็กรุ่นใหม่ที่อยากลองทำกิจกรรมใหม่ ๆ
สำหรับผมก็อยากบอกน้องๆ ว่า สำหรับน้องๆ คนไหนที่ยังค้นหาตนเองไม่เจอ ให้น้องๆ ลองทำกิจกรรมของโรงเรียนดู เพราะการทำกิจกรรมจะทำให้น้องๆได้ค้นพบตัวตนของตนเองได้ เเละ สำหรับน้องๆ ที่เป็นเด็กกิจกรรมอยู่เเล้วอยากให้น้องมั่นใจในตนเองเเละทำมันออกมาดีที่สุดครับ
การเดินทางของแม่ที่ดูแลลูกป่วยจนเกือบต้องหยุดเรียนในวันนั้น สู่เด็กรักเรียน-กิจกรรมแน่นในวันนี้
ถ้าวันหนึ่งโรงเรียนที่ลูกคุณเรียนมาแล้ว 3 ปี บอกกับคุณว่า ให้ย้ายลูกไปเรียนที่อื่น เพราะลูกมีปัญหาสมาธิสั้น คุณจะทำอย่างไร
‘วลีพร แซ่ตั้ง’ คุณแม่ของ ‘อนุศิษฎ์ ผดุงกิจนิรันดร์’ ลูกชายวัยประถมศึกษาปีที่ 1 ณ ขณะนั้น ยืดอกตรง ผายไหล่กว้าง แล้วประกาศกร้าว “ไม่ยอมค่ะ”
“คุณอยู่กับลูกเรามา 3 ปีกว่า เพิ่งจะมาบอกว่าลูกเราสมาธิสั้นตอนที่เรียนเกรด 1 ไปเทอมนึงแล้ว คุณจะต้องหาวีธีสิว่า ทำยังไงถึงจะสอนเด็กพวกนี้ได้ ไม่ใช่มาไล่กันแบบนี้ มันไม่ถูก ทำไมคุณไม่ช่วยพัฒนาเด็กพวกนี้ขึ้นมาทั้งๆ ที่มันพัฒนาได้ ค่าเทอมอะไรเราก็จ่ายไปแล้ว เราไม่ยอมให้ลูกเราออกจากโรงเรียน แต่เรายอมออกจากที่ทำงานนะ”
“พาลูกไปหาหมอ ก็ได้ผลว่า ลูกมีไอคิว 130 แต่มีภาวะไฮเปอร์แอคทีฟกับสมาธิสั้นร่วมด้วย จึงทอนตรงนี้ลงไป ตอนนั้นเครียดมาก แล้วเขาก็เหมือนต่อต้าน ไม่ชอบให้ใครตะคอกเสียงดัง เราเลยขอใบรับรองแพทย์แล้วมาไปคุยกับทิชเชอร์ทุกคนว่า ตอนสอนในห้องน่ะ อยากให้ลดความดังของเสียงลงมาหน่อย เรารู้ว่าเสียงดังทำให้เด็กอยู่ในคอนโทรลนะ แต่ขอล่ะ เพราะเสียงที่ดังจะไปกระตุ้นความอะเกรสซีฟ (aggressive = ก้าวร้าว รุนแรง) ของเขา และตัวเราเองก็ไปนั่งอยู่ในโรงเรียน บอกกับลูกว่า ไม่ต้องกลัวอะไร แม่อยู่ตรงนี้ มีอะไรลงมาหาแม่เลย เป็นการช่วยกันทั้งสองฝ่าย แล้วเขาก็ดีขึ้นเรื่อยๆ เราไปนั่งที่โรงเรียนถึงเกรด 3 แล้วจากนั้นก็ปล่อยให้เขาเรียนต่อเองจนจบที่โรงเรียนนั้น”
และเมื่อต้องขึ้นชั้นมัธยมศึกษา วลีพรเลี้ยงลูกโดยเน้นการสนับสนุนทุกอย่างที่ลูกต้องการ แต่ก็ต้องผ่านการพูดคุยอย่างมีเหตุผลด้วยจนกระทั่งตอนนี้ลูกอยู่ในวัยมัธยมปลาย และกำลังเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัยอย่างขะมักเขม้น
“เราต้องถามเขา ต้องพูดคุย ด้วยวัยนี้บางทีเขาคิดอะไรอยู่แล้วไม่ได้บอกเรา เราก็ต้องคอยถามคอยเช็กให้แน่ใจว่า เขาจะชอบจริงไหม มาทางที่เขาเลือกนี่จริงไหม ความชอบยังอยู่ที่เดิมหรือเปล่า แล้วจากนั้นเราก็สนับสนุนเต็มที่”
“ตอนขึ้นม.1 เราก็คุยกันเยอะมากกว่าจะมาลงตัวที่โรงเรียนนี้ ก็ผ่านการพูดคุยหลายครั้ง เลือกจีนไหม หรืออีพี หรือห้องธรรมดาแล้วไปเสริมอย่างอื่นเอา พอจะขึ้นม.ปลายเขาจะต้องเลือกว่าจะเรียนคณะอะไร คือต้องตัดสินใจให้ได้ตั้งแต่ม. 4 เพราะมันจะต้องเตรียมตัวเยอะ ก็พูดคุยกัน ก็มีการเปลี่ยนใจหลายครั้ง แต่ตอนนี้แน่ชัดแล้วที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ เราก็เริ่มเสริมส่วนที่เขาขาด เพราะทีแรกเขาเลือกเรียนภาษาจีน มันจะขาดพวกวิชาวิทย์ไป มีแต่คณิตพื้นฐาน แต่ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ อะไรพวกนี้ไม่ได้เรียน ก็สนับสนุนให้เขาไปเรียนเสริม โชคดีที่มีหลักสูตรเรียนภาษาแบบเร่งรัด (intensive course) สำหรับเด็กที่เรียนภาษาต่างชาติให้มาเรียนตรงนี้เพื่อเก็บหน่วยกิตเอาไปลงใบปพ. (เอกสารประเมินผลตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน) เพื่อไปยื่นสมัครสอบได้”
ถึงตรงนี้สองแม่ลูกก็จับมือกันเพื่อเตรียมการต่างๆ ทั้งเรื่องพื้นฐานความรู้ การเรียนเก็บหน่วยกิต และการเก็บพอร์ตผลงาน สำหรับเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว
“เราให้เขาเรียนพิเศษกับติวเตอร์ส่วนตัวที่เข้าใจพื้นฐานของคนที่เคยเป็นสมาธิสั้นมาก่อน คือเขาจะรู้ว่าควรเน้นเมื่อไร ควรหยุดตรงไหน รู้จักยืดหยุ่น ส่วนเรื่องพอร์ตก็พยายามให้เขาไป Open house ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ หรือเข้าค่ายที่มหาวิทยาลัยจัด เขาอยากไปที่ไหนเราก็สนับสนุน ตรงนี้นอกจากเอามาใส่ในพอร์ต โฟลิโอ ได้แล้ว ก็ยังทำให้เขาได้เห็นของจริง ไม่ว่าจะเป็นการเรียนการสอนของที่นั้นๆ หรือเครื่องมือต่างๆ ที่ต้องใช้จริง เพราะเขาจะมีเวิร์กช้อปด้วย นอกนั้นในพอร์ตที่อยากให้เขามีก็คือ พวกวิชาต่างๆ ที่เกี่ยวกับวิศวะ และวิชาอื่นๆ ที่จำเป็นอย่าง ภาษาอังกฤษ ก็ให้เขาไปเข้าแคมป์เรียนพิเศษ แล้วเรื่องกิจกรรมอื่นๆ ที่ต้องเอามาใส่พอร์ตเขาก็ทำมาตั้งแต่เด็กแล้ว อย่างตอนนี้เขาก็เป็นประธานเชียร์ เป็นหลีดเดอร์ ทำกิจกรรมหลายอย่าง”
“ที่ไม่ขาดเลยก็พวกแคมป์การเสริมสร้างความเป็นผู้นำ จิตอาสา พยายามให้เด็กมีความเป็นผู้นำ มีความเป็นจิตอาสา ไม่ได้มองว่าแค่เอาตัวเธอรอดอย่างเดียวนะ แต่ต้องให้กลับเพื่อสังคมด้วย แต่อันนี้โชคดี คือเราปลูกฝันลูกเรามาแต่เด็กว่าต้องให้ เวลาเราไปบริจาคของที่ไหนก็หนีบเขาไปด้วย ไปดูคนที่เขาด้อยโอกาสกว่าเรา ไปให้เขาได้รู้จักชีวิต”
การดูแลอย่างใกล้ชิดนี้เองที่ทำให้อาการของลูกชายดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“มันจะมีบ้างที่เขายังคงกดดันตัวเองมากเกินไป เราก็เลยจะไม่ได้กดดันเขาเพิ่มอีก จะพูดกับลูกว่า ถ้าลูกเต็มที่แล้วผลออกมาเป็นยังไงจะไม่สนใจ แต่ถ้าวันใดที่เห็นว่าปล่อยปะละเลย ไม่เต็มที่ แม่ก็จะโกรธ แต่ถ้าทำอะไรก็เต็มที่ ใส่ใจกับมันทำให้มันเต็มที่แล้ว ผลออกมาเป็นยังไงก็ตามนั้น ส่วนเราก็คอยซัปพอร์ตมากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“เลี้ยงลูกมาได้ระดับนี้ก็ถือว่าเราดีใจแล้วแหละ อย่างน้อยลูกรอดมาได้เกือบครึ่งทางละ เหลือแค่ว่าเรียนให้จบมหาลัยมีงานทำแค่นั้นเอง เราหวังแค่ว่าลูกเราจบมีงานทำเลี้ยงตัวเองได้แค่นั้นจบ อีกครึ่งทางรอลุ้นกันดูว่าเขาจะไปในทางไหนเราก็แค่ซัปพอร์ต แต่ว่าไม่สามารถไปคอนโทลเขาได้ทุกอย่าง ก็จะสอนเขาว่า ทุกอย่างคือกรรม การที่มันออกมาแบบนี้ คือผลของการกระทำ ลูกทำยังไงก็ได้อย่างนั้น ก็ให้ทำให้ดีเพราะแม่ไม่สามารถเลี้ยงเธอได้ไปตลอดชีวิต”
วลีพรยังฝากไว้ด้วยว่า ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไปทำให้การเดินทางของแม่และลูกสู่เส้นทางมหาวิทยาลัยและการเติบโตนั้นยากและท้าทายมากขึ้น โดยเฉพาะคู่แม่ลูกอย่างเธอ แต่ความรัก ความเข้าใจและอดทนก็สามารถเอาชนะอุปสรรคที่รออยู่ข้างหน้าและสร้างอนาคตที่สดใสขึ้นได้ร่วมกันได้
อยากทำธุรกิจ 101
สวัสดี น้องๆทุกคน วันนี้ปิดเทอมสร้างสรรค์มาบอกเคล็ดลับธุรกิจฉบับวัยรุ่น 101 ให้ได้ศึกษากัน สมัยนี้เทคโนโลยีก้าวไปไกลมาก จะกยิบจะจับอะไรก็สามารถสร้างรายได้ได้ทั้งนั้นเเละถ้าหากทำได้ดี ก็สามารถสร้างรายได้หลักหมื่น หลักแสน หรือถึง หลักล้าน ได้เลย เเต่กว่าจะไปถึงความสำเร็จตรงนั้นจะมีวิธีการขั้นตอนยังไงบ้าง ไปดูกันเลย
เริ่มจากวางแผนธุรกิจ 6 สเต็ป พร้อมค้นหาเเนวทางในการทำธุรกิจให้ง่ายยิ่งขึ้น ลองมาศึกาาเเละทำกันได้เลย
สเต็ป 1 ค้นหาตนเองให้พบตัวจริง
คำว่า “ประเมิน” ในที่นี้ ไม่ได้หมายความถึงการโอ้อวดหรือดูถูกตนเองว่าทำได้หรือไม่ได้ แต่อยากให้คุณได้ลองทำความเข้าใจตนเองอย่างจริงจัง ลองพิจารณาดูว่า มีทักษะหรือองค์ความรู้ทางธุรกิจมากน้องแค่ไหน รวมไปถึง การค้นหาความชอบที่แท้จริงของตนเอง เช่น อุตสาหกรรมใดที่คุณสนใจเป็นพิเศษ คุณอยากจะทำงานแนวไหน เป็นต้น
สเต็ป 2 ค้นหาความคิดทางธุรกิจที่เหมาะกับตัวคุณ
ความคิดทางธุรกิจที่ดีคือความคิดที่เป็นไปได้ในความเป็นจริง ไม่ใช่แค่เรื่องใจรักจะทำ แต่มันควรจะมองไปถึงเรื่องใครจะซื้อ ซื้อไปทำไม คู่แข่งมีไหม ฯลฯ หมายความว่าการตั้งโจทย์ของคุณที่มาจากฐานความชื่นชอบจะถูกคัดกรองไปทีละขั้นให้ละเอียดขึ้น เช่น สินค้า/บริการมีกลุ่มคนต้องการไหม ถ้ามีเขาจะยินดีจ่ายที่เท่าไหร่ มันเป็นแค่ทางเลือกหรือสิ่งจำเป็น แล้วจะเข้าไปยืนอยู่รอดในตลาดนั้นได้อย่างไร เป็นต้น หากมีอะไรที่ดูขัดตาขัดความเป็นจริง คุณควรพัฒนาแนวคิดให้ถึงจุดที่แข็งแรงที่สุดที่มันควรจะเป็น
สเต็ป 3 ลงสนามวิเคราะห์คู่แข่งของคุณ
เป็นขั้นตอนของการตีโจทย์ตลาดและคู่แข่งอย่างจริงจัง เริ่มต้นจากการค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต วิเคราะห์สินค้าหรือบริการที่ทับซ้อนกับผลิตภัณฑ์ที่คุณต้องการจะทำ คัดแยกไปเรื่อยจนพบคู่แข่งตัวจริง นอกจากนี้ยังรวมไปถึง การติดตามอ่านบทความธุรกิจของคู่แข่ง หรืออะไรก็ตามที่คุณคิดว่าจะทำให้คุณเข้าใจการแข่งขันในธุรกิจนี้มากขึ้น
สเต็ป 4 เขียนแผนธุรกิจตัวเอง
แผนธุรกิจที่ดีจะช่วยสร้างชัดเจนของไอเดียการทำธุรกิจ ความเป็นไปในการดำเนินธุรกิจ โดยส่วนประกอบสำคัญที่ควรจะมี เช่น เรื่อง concept ธุรกิจ อธิบายภาพรวมของธุรกิจ สินค้า/บริการที่นำเสนอ , การตลาดและขาย ชี้แจงกลยุทธการขาย ฐานลูกค้า ช่องทางการขาย ความสามารถในการแข่งขัน , การบริหารทีมงาน ,การเงิน และการบริหารความเสี่ยง เป็นต้น
สเต็ป 5 ค้นหาที่ปรึกษาธุรกิจ
อาศัยความเป็นเด็กของคุณให้เป็นประโยชน์ ผู้ใหญ่มักเอ็นดูเด็กหนุ่มสาวที่มีความมุ่งมั่นเอาจริงเอาจัง ความอ่อนน้อมเข้าหาผู้ใหญ่จะทำให้คุณดูเป็นเด็กที่น่าให้ความช่วยเหลือ ที่ปรึกษาธุรกิจของคุณควรจะเป็นบุคคลที่เชี่ยวชาญด้านธุรกิจนั้นจริง ทำแล้วประสบความสำเร็จจริง อย่ามัวแต่เข้าหลักสูตรอบรมสัมมนาเสียอย่างเดียว แต่จงพูดคุยกับบุคคลตัวจริง
สเต็ป 6 เดินเครื่องธุรกิจ
หากคุณก้าวมาจนถึงขั้นนี้ได้ เรียกว่าคุณมีความมุ่งมั่นเอาจริงเอาจังไม่น้อย แน่นอนว่าทุกข้อที่คุณทำมาจะไม่เสียเปล่า ยิ่งคุณทำมาเข้มข้นเท่าไหร่ ตัวคุณเองคือผู้ที่จะได้รับความรู้มากเท่านั้น จากขั้นตอนนี้ไป มันไม่ใช่เรื่องของทฤษฎี มันคือการดำเนินธุรกิจบนสนามจริง ทุกปัญหาหรือความสำเร็จจะเป็นบทเรียนชีวิต ที่ไม่มีวันเกิดขึ้น หากคุณไม่ลงมือทำจริง ดังนั้น จุดนี้เป็นจุดที่ไม่มีอะไรน่ากลัว ทุกอย่างคือความรู้และประสบการณ์อันมีค่าที่สุด
ขอบคุณข้อมูลจาก : TerraBKK.com
3 คอร์สเรียนฟรี ปรับพื้นฐานนักธุรกิจ 101
นอกจากจะเริ่มค้นหาตัวเองเเละวางแผนธุรกิจเเล้ว ปิดเทอมสร้างสรรค์ มีคอร์สเรียนฟรี ที่เหมาะสำหรับนักธุรกิจมือใหม่ หรือ น้องๆ อยากหาความรู้เพิ่มเติมสามารถสมัครลงทะเบียนได้เลย จะมีอะไรบ้างไปดูกัน
เรียนรู้ กลยุทธ์นวัตกรรม & การสร้างธุรกิจใหม่
ปัจจุบันมีสิ่งใหม่ๆ เยอะแยะมากมาย เเละธุรกิจสามารเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เเละมีการทำธุรกิจซ้ำ เเต่เราจะทำยังไงให้มีความเเตกต่างในการทำธุรกิจเเละให้เข้ากับยุคสมัย น้องๆ สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ space.cbs.chula
การบริหารต้นทุนฐานกิจกรรม เทคนิคการลดต้นทุน
การทำธุรกิจสิ่งที่สำคัญไม่แพ้แผนธุรกิจ ก็คือการบริหารจัดการต้นทุนของการทำธุรกิจนั้นๆ ถ้าหากน้องๆ อยากมีธุรกิจที่ประสบความสำเร็จต้องมีการจัดการการบริหารทุนให้ดี เพื่อให้ได้กำไรที่ดี หากน้องๆ ไม่มั่นใจในความรู้ของตนเอง หรือ ยังหาข้อมูลอยู่ สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ space.cbs.chula.ac.th
การตลาดบริการ (Service Marketing)
เมื่อมีแผนธุรกิจดีเเล้ว การบริต้นทุนดีเเล้ว การทำการตลาดถืออีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สำคัญของการทำธุรกิจหากทำการตลาดไม่ดี เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายไม่ได้ หรือ ยอดขายไม่ถึง ซึ่งปัยหาเหล่านี้เราอาจจะ ทำการตลาดที่ไม่ตรงกลุ่มเป้าหมายก็เป็นได้ วันนี้ มีคอร์สเรียนฟรีให้มาเสริฟให้น้องๆ ถึงที่ สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ space.cbs.chula.ac.th
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ น้องๆ การทำธุรกิจมีทั้งยากเเละง่าย เเต่อย่างไรก็ตามน้องๆ ต้องเริ่มจากการค้นหาตนเอง ว่าเราจะชอบอะไร อยากทำอะไร เเละมาศึกษาหาความรู้เพื่อนำไปพัฒนาธุรกิจของน้องๆ เเต่เมื่อน้องคนไหนตัดสินใจที่จะลงมือทำเเล้ว ปิดเทอมสร้างสรรค์ก็ขอให้น้องไ ประสบความสำเร็จในธุรกิจของตนเองทุกคนเลยนะ
เย็บปักถักร้อย DIY งานทำมือที่สนุกและสร้างสรรค์
การเย็บปักถักร้อยเป็นศิลปะที่มีประวัติยาวนานและเป็นที่นิยมในการทำงานทำมือ DIY ของคุณเอง นอกจากที่จะเป็นกิจกรรมสร้างสรรค์ที่สนุกแล้ว การเย็บปักถักร้อยยังเสริมสร้างความสามารถในการทำงานด้วยมือและความอดทน อีกทั้งเป็นความภาคภูมิใจในงานเย็บปัก เพราะว่ามีชิ้นเดียวในโลก งานที่ทำมือจะไม่เหมือนกันทุกชิ้น
วันนี้ปิดเทอมสร้างสรรค์ จึงมีขั้นตอนการเย็บปักถักร้อยง่าย ๆ มาเป็นไอเดีย DIY ให้น้อง ๆ ได้ลองทำกัน ไปดูกันว่ามีขั้นตอนอะไรบ้าง
1. เตรียมวัสดุ
วัสดุที่ต้องใช้:
- ผ้าที่ต้องการ
- สะดึงปักผ้า
- เข็มขนาดต่าง ๆ
- ด้ายสีต่าง ๆ
- แบบเย็บกระดาษ
- กรรไกร
- เข็มหลัก
2. การเลือกรูปแบบ
เลือกรูปแบบที่คุณต้องการเย็บ นอกจากแบบที่มีอยู่ น้อง ๆ ยังสามารถสร้างแบบที่เป็นของตัวเองได้เลย โดยใช้กระดาษสำหรับทำแบบหรือพิมพ์ลายที่ตัวเองชอบจากอินเทอร์เน็ต.
3. การตรวจสอบสะดึงปักผ้า
เตรียมสะดึงปักผ้า และเข็มสำหรับปักถักร้อยและตรวจสอบว่ามันเป็นรูปทรงที่ดีสำหรับการเย็บ กรอบสะดึงที่มีขนาดใหญ่เหมาะกับงานที่ซับซ้อน ในขณะที่กรอบขนาดเล็กเหมาะกับงานที่น่ารักและง่ายๆ
4. การตรวจสอบผ้า
เลือกผ้าที่มีลักษณะที่ดีในการเย็บ เช่น ผ้าลินินเป็นที่นิยมเนื่องจากมีการดูแลรักษาง่ายและเหมาะสำหรับเย็บปักถักร้อย
5. การตรวจสอบเส้นด้ายสำหรับเย็บ
ในการทำงานทำมือ DIY นี้ น้อง ๆ ต้องเลือกด้ายที่มีความแข็งแรง มีหลากหลายสี ขึ้นอยู่กับงานที่เลือก ใส่ด้ายให้มีความยาวที่เหมาะสมต่อรอบในการเย็บ สามารถปรับเปลี่ยนและมีสำรองไว้
6. การตรวจสอบเข็มเย็บผ้า
ตรวจสอบเข็มเย็บผ้าที่น้อง ๆ มีและเลือกขนาดเข็มเย็บผ้าที่เหมาะสมกับงานที่น้อง ๆ ทำ เนื่องจากเข็มเย็บผ้ามีหลายขนาด และหลายรูปแบบ เลือกเข็มและด้ายที่มีขนาดเหมาะสม ใช้งานเย็บสำหรับงานที่แตกต่างกันได้
7. การเริ่มต้นเย็บ
- ตรวจสอบแบบ: วางกระดาษแบบที่น้อง ๆ เลือกไว้บนผ้าที่เตรียมไว้
- คัดลอกแบบ: วาดแบบเบาบนผ้า ใช้ดินสอวาดเบาๆ บนผ้า
- เตรียมสะดึงปักผ้า: ให้แน่ใจว่าสะดึงปักผ้าได้แน่นหนาดีแล้ว ได้ถูกติดตั้งอย่างมั่นคง
- เริ่มเย็บ: ใช้เข็มและด้ายที่เตรียมไว้เย็นตามรอยบนแบบที่ได้วางไว้ โดยเย็บไปทีละขั้นตอน
8. การสร้างรายละเอียด
- ใช้สี: เพิ่มสีให้งานของน้อง ๆ โดยการใช้สีของด้าย เลือกสีที่หลากหลายเข้ากับงานนั้น ๆ
- เพิ่มลวดลาย: ทำลวดลายให้กับชิ้นงาน เป็นจุดๆ เพื่อมีรายละเอียด เครื่องหมายที่แตกต่าง มีลวดลายที่เฉพาะตัว
9. การจบงาน
- ตัดและเก็บรายละเอียด: หลังจากที่น้อง ๆ เย็บเสร็จสิ้น ตัดด้ายเส้นที่เกินและปรับการเย็บให้เป็นรูปทรงที่ถูกต้อง จัดรูปแบบรูปทรงของชิ้นงาน
- ทำความสะอาด: หากชิ้นงานมีรอยดินสอ หรือสกปรก สามารถนำไปแช่สบู่อ่อนๆ ขยี้เบาๆ ล้างน้ำออกแตกให้แห้ง หากผ้ายับให้รีดให้เรียบร้อย
- แขวน: นำงานที่เย็บเสร็จไปแขวนหรือนำไปใช้ตามที่น้อง ๆ ต้องการ
ไอเดีย DIY สร้างสรรค์จากงานเย็บปักถักร้อยสร้างรายได้
- ปักหมอน: ปักถักร้อยลงบนปอกหมอนเพื่อสร้างงานศิลปะให้กับที่นอน
- กรอบรูป: นำงานที่เย็บมาแขวนหรือใส่กรอบรูปเพื่อนำไปวาดตกแต่งบ้าน
- เสื้อผ้าปักถักร้อย: ปรับเสื้อผ้าที่ไม่ใส่แล้ว หรือผ้าเก่าๆ เพิ่มลายปักให้น่าสวยงามด้วยการปักถักร้อยเพิ่มเติม
การทำงานเย็บปักถักร้อยไม่เพียงแค่เป็นกิจกรรมทำมือที่สนุกสำหรับผู้ใหญ่เท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสที่ดีที่จะให้เด็กๆ ทำความรู้จักกับโลกของศิลปะและการสร้างสรรค์ การทำเย็บปักถัร้อยช่วยส่งเสริมการพัฒนาทักษะทางมือและการทำงานร่วมกับผู้อื่น ไม่เพียงแค่นั้น มันยังช่วยส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์การทำงานเป็นทีม และความสนใจในการทดลองสร้างสรรค์ ผ่อนคลายจิตใจ ลองทำแล้วสัมผัสความสนุกที่น้อง ๆ สามารถสร้างขึ้นด้วยมือของน้อง ๆ เอง!
DIY สร้างรายได้
ปัจจุบันนี้ แม้ว่าโลกจะเปลี่ยนไปแค่ไหน หรือจะมีการใช้เทคโนโลยีเพิ่มขึ้นทุกวัน มีการสร้างรายได้เสริมที่มีหลากหลายช่องทาง เเต่งาน DIY ก็ยังก็ยังถือเป็นสิ่งที่หลายๆ คนต้องการ
วันนี้ ปิดเทอมสร้างสรรค์ จะมาเเนะนำวิธีการหารายได้เสริมผ่านการทำ DIY น้องๆ หลายคนอาจจะมองว่า งาน DIY จะมาสร้างรายได้ ได้อย่างไร และ วันนี้จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย
1. รับเพ้นท์รองเท้า
สำหรับน้องๆ ที่มีความสามารถในด้านศิลปะ หรือ การวาดภาพ สามารถมารับงานการเพ้นท์รองเท้าได้ โดยเพียงเเค่ลงทุนซื้ออุปกรณ์ในการเพ้นท์รองเท้า และถ้าหากมีความสามารถด้านศิลปะเป็นทุนเดิมอยู่เเล้ว การรับงานเพ้นท์รองเท้าเพื่อสร้างรายได้สามารถทำได้ง่ายๆ
สามารถศึกษาวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ https://www.uni-ball.co.th/en/blog/diy-korea-style-slipper/
2. ตกแต่งเคสโทรศัพท์
เมื่อศิลปะไม่มีอะไรตายตัว การเเสดงจินตนาการของตนเองก็เช่นกัน ปัจจุบันมีเคสโทรศัพท์น่ารักๆ มีหลากหลายรูปแบบ เเต่ถ้าเราจะเป็นคนที่สามารถออกแบบเคสโทรศัพท์อันเดียวในโลกให้กับลูกค้าของเราอีกด้วย
สามารถศึกษาวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ https://www.uni-ball.co.th/blog/diy-easy-mobile-case/
3. สมุดบันทึก DIY
การทำสมุด DIY ถือเป็นอีกหนึ่งอาชีพเสริมจาก DIY ที่สามารถสร้างสรรค์ผลงานให้เป็นที่จับตามอง มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร อุปกรณ์ในการทำก็หาได้ง่าย สามารถทำได้ท้ังครอบครัว
สามารถศึกษาวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ https://www.cosmenet.in.th/cosme-howto/42702
4. เทียนหอม
เทียนหอม เทียนใจ ถึงแม้ว่าโลกจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน เทียนหอมก็ยังเป็นที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการทำสปา หรือ อยากผ่อนคลาย เทียนหอมถือเป็นสิ่งสำคัญ หรือ ในช่วงวัยของน้อง อาจจะลองทำเทียนหอมมาทดลองกับตัวเอง ในขณะอ่านหนังสือ หรือ ทำการบ้าน ก็จะช่วยน้องๆ ผ่อนคลายได้
สามารถศึกษาวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ https://youtu.be/Db6d-mjl5AM และ https://salehere.co.th/articles/candle-making-for-beginners
5. เครื่องประดับ
How to Make Bee and Daisy Flower Beaded Bracelet Jewelry : วิธีร้อยกำไลลูกปัดน้องผึ้งและดอกไม้ง่ายๆ
ปัจจุบันนี้แฟชั่นไม่มีอะไรตายตัว น้องๆ สามารถรังสรรค์เครื่องประดับที่น้องอยากทำได้เลย เช่น กิ๊ฟติดผม ที่คาดผม สร้อยคอ สร้อยข้อมือ ฯลฯ เป็นสิ่งที่วัยรุ่นอย่างเราขาดไม่ได้อยู่เเล้ว หากมีศึกษาแฟชั่น เเละ วิธีในการทำเครื่องประดับให้ดีก็สามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำได้เลย
สามารถศึกษาวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ https://www.thebeeinspired.com/craft/how-to-make-bee-and-daisy-flower-beaded-bracelet/
เป็นอย่างไรกันบ้าง DIY เเต่ละแบบแต่ละประเภท ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ ใช้ความใจเย็น สามารถฝึกให้น้องๆ ได้รู้จักกิจกรรมใหม่ๆ ที่สามารถต่อยอดเพื่อสร้างรายได้ เเละ ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังมี DIY อื่นๆ อีกมากมายหากน้องๆสนใจสามารถศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมไ้ด้เลย