10 สนามเด็กเล่นของเด็กๆ ทั่วประเทศ

ปิดเทอมนี้เชื่อว่าคุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครองคงจะมีโปรแกรมดีๆ เตรียมไว้ให้น้องๆ หนูๆ ได้ใช้เวลาที่จะว่างกันจริงๆ จังๆ กันบ้างแล้ว บางคนอาจจะเรียนพิเศษทางด้านวิชาการ หรือเสริมทักษะต่างๆ หรือบางคนอาจจะทำกิจกรรมที่น่าสนใจอยู่ที่บ้าน ขณะที่เด็กบางคนต้องช่วยพ่อแม่ทำงาน หรือไปใช้ชีวิตอยู่ในที่ทำงานของผู้ปกครอง

อย่ากระนั้นเลย วันนี้เรามีกิจกรรมทางเลือก และสถานที่ดีๆ มานำเสนอ ซึ่งมั่นใจว่ามันจะให้ทั้งความสนุกสนานเพลิดเพลิน ผสมผสานความรู้แบบแยบยลและลงตัว อีกทั้งยังได้ช่วยขยับร่างกายซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งสำคัญกับเด็กๆด้วย มาเตรียมตัวให้พร้อมแล้วไปด้วยกันเลย

1. HARBORLAND HARBOR PATTAYA

สนามเด็กเล่นในร่มที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ภายใต้แนวความคิดอาณาจักรความสนุกแห่งโลกใต้ท้องทะเล มีพื้นที่กว่า 2,500 ตร.ม. มาตรฐานความปลอดภัยและความสะอาดของเครื่องเล่oนานาชนิด เหมาะสำหรับเด็กที่อายุไม่เกิน 13 ปี และครอบครัว

ฮาร์เบอร์แลนด์ พัทยา ตั้งอยู่ที่บริเวณ ชั้น 7 ศูนย์การค้าฮาร์เบอร์ พัทยา เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10:00 – 21:00 น.

และนอกจากนี้ ฮาร์เบอร์แลนด์ ยังมีสาขาบริการอยู่มากมายทั่วประเทศ อาทิ เกทเวย์ เอกมัย / แฟชั่น ไอซ์แลนด์ / เมกาบางนา / เทอร์มินอล 21 โคราช / ชลบุรี / ศรีราชา / อุดรธานี เช็กค่าบริการได้ที่ www.harborlandgroup.com

credit : ภาพจาก harborlandgroup.com


2. บ้าน ๑,๐๐๐ไม้ Cafe & Farm จังหวัดปทุมธานี

คาเฟ่ริมคลองบางเตย น่ารักสไตล์บ้านๆ มีแปลงนา กับ บ่อปลาเล็กๆ เอาไว้ แล้วเปิดโอกาสให้พ่อแม่ผู้ปกครองพาเด็กๆ ไปร่วมทำกิจกรรมพิเศษกันทั้งครอบครัวตลอดทั้งวัน ในรูปแบบการเรียนรู้ชีวิตเกษตรกร ทั้งดำนา ปลูกผัก เก็บไข่เป็ด ทำไข่เค็ม ปลูกผักในแก้วกาแฟ รวมถึงมีการพายเรือเล่นน้ำในสระ

โดยที่นี่จะเปิดเฉพาะวันเสาร์ – อาทิตย์ 10.00-17.00น. ค่าเข้าฟรี (มีจำหน่ายอุปกรณ์ในบางกิจกรรม)

โดยวันเสาร์และอาทิตย์แรกของเดือนจะมีการเปิดตลาดนัดเกษตรกรด้วย

ภาพจาก : เฟซบุ๊ก บ้าน๑,๐๐๐ไม้cafe’&farm


3. พิพิธภัณฑ์เด็กกรุงเทพมหานครแห่งที่ 1 (จตุจักร)

นอกจากจะเป็นแหล่งเรียนรู้ที่มุ่งมั่นจะเพิ่มพูนความรู้มากมายให้กับเด็กๆ แล้ว ที่นี่ยังเป็นสนามเด็กเล่นที่่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน เพลิดเพลิน แต่ไม่ทิ้งเอกลักษณ์ในการมาพร้อมกับความรู้ต่างๆด้วย ทำให้พิพิธภัณฑ์เด็กฯ กลายเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่เราอยากจะนำเสนอ นอกจากภายในที่มี กิจกรรมสร้างสรรค์อย่าง การเรียนรู้อวัยวะของฉัน โซนมุมมองพิศวง ละครโรงเล็ก Kid’s Playhouse ให้เด็ก ๆ ได้ใช้จินตนาการอย่างเต็มความสามารถผ่านบทบาทสมมติ และกิจกรรมการทำอาหารให้เด็กๆ ได้รู้จักคุณค่าทางโภชนาการ รวมไปถึงกิจกรรมวิทยาศาสตร์อย่างนักสืบไดโนเสาร์ เรียนรู้ลักษณะของไดโนเสาร์ประเภทต่างๆ ผ่านฟอสซิล รวมถึงการขุดเจาะหากระดูกไดโนเสาร์แบบสมจริง ส่วนด้านนอกก็จะได้สนุกกับกิจกรรมกลางแจ้ง ทั้งสวนน้ำ เครื่องเล่นปีนป่าย และการผจญภัยในป่า

พิพิธภัณฑ์เด็กกรุงเทพมหานครแห่งที่ 1 (จตุจักร) ตั้งอยู่ที่สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ (จตุจักร)

เปิดทำการอังคาร-อาทิตย์ เวลา 10.00 – 16.00 น. (ค่าเข้าชม ฟรี)

ภาพจากเฟซบุ๊ก : พิพิธภัณฑ์เด็กกรุงเทพมหานครแห่งที่ 1 “จตุจักร”


4. สวนนงนุช พัทยา

เป็นอีกแหล่งท่องเที่ยวหนึ่งซึ่งประกาศตนว่าเป็นสถานที่ที่อนุรักษ์ธรรมชาติอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งช้าง โดยล่าสุด สวนนงนุช พัทยา เพิ่งต้อนรับสมาชิกใหม่ เชือกที่ 2 ของปี 2562 “พังแสงเดือน” ไปเมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ทำให้ตอนนี้ ช้างในสวนนงนุชมีจำนวนทั้งสิ้น 88 เชือกแล้ว นอกจากนี้หากได้แวะไปที่สวนนงนุช คุณพ่อ คุณแม่ ยังจะมีโอกาสได้ชื่นชมธรรมชาติ กับ สวนสวยระดับโลก การแสดงศิลปะวัฒนธรรมไทย ช้างแสนรู้ รวมถึง หุบเขาไดโนเสาร์ ซึ่งเมื่อต้นปีที่ผ่านมาเพิ่งสร้างไดโนเสาร์พันธุ์ “ซอโรโพไซดอน (sauroposeidon)” เหมือนจริง จำนวน 2 ตัว มีขนาดความสูง 16 เมตร ยาว 36 เมตร โดยมีแนวคิดที่จะสร้างแหล่งเรียนรู้ให้แก่เด็กๆ และเยาวชนไทยได้ศึกษาสู่ยุคประวัติศาสตร์เมื่อหลายล้านปีก่อน

ปัจจุบันได้มีการสร้างไดโนเสาร์ขึ้นมาแล้วถึง 40 สายพันธุ์ 315 ตัว และกำลังสร้างให้ครบทุกสายพันธุ์ที่มีอยู่บนโลกใบนี้ คาดว่าจะแล้วเสร็จในเร็วๆ นี้

ติดตามแพ็กเกจราคาต่างๆ ได้ที่ เฟซบุ๊กเพจ “สวนนงนุช พัทยา Nongnooch Gardden Pattaya”

ภาพจาก เฟซบุ๊กเพจ “สวนนงนุช พัทยา Nongnooch Gardden Pattaya”


5. พิพิธภัณฑ์ของเล่น Tooney Toy Museum จังหวัดนนทบุรี

พิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมของเล่นนับแสนชิ้นจากทั่วทุกมุมโลก ให้คุณได้ตื่นตา ตื่นใจ โดยไอเดียเกิดมาจากความตั้งใจที่จะนำเสนอจินตนาการและการสะสมของเล่นที่คลั่งไคล้ในวัยเด็ก สร้างเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีหลากหลายโซน อาทิ Nano Block ตัวต่อขนาดจิ๋ว, กันดั้ม, บาร์บี้ ราชินีแห่งตุ๊กตา, โมเดล การ์ตูนทั้งของญี่ปุ่นและตะวันตก ฯลฯ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ความสุข สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับเด็ก ๆ และผู้ใหญ่หัวใจเด็กที่จะได้ย้อนเวลากลับไปในช่วงเวลาที่ตัวเองก็กำลังคลั่งไคล้ของเล่นเหล่านี้เช่นกัน

ภายในประกอบด้วย พื้นที่อาคารจัดแสดงหรือพิพิธภัณฑ์ (Toy Museum) ร้านขายของเล่น (Toy Store) และร้านกาแฟ (Coffee Cafe)

งานนี้จึงเหมาะกับทั้งเด็กและผู้ปกครองเลยทีเดียว

พิพิธภัณฑ์ของเล่น Tooney Toy Museum เปิดวัน ศุกร์, เสาร์, อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 10.00 น. – 20.00 น. กรุ๊ปทัวร์, ทัศนศึกษา เข้าชม วันอังคาร, พุธ, พฤหัส

ราคาเข้าชม ผู้ใหญ่ 150 บาท, เด็ก 100 บาท (สูงไม่เกิน 120 เซนติเมตร) เด็กสูงไม่เกิน 90 เซนติเมตร เข้าชมฟรี ข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.tooneymuseum.com

ภาพจากเฟซบุ๊ก Tooney Toy Museum


6. เมลรีพับบลิค (Camel Republic)

สถานที่ท่องเที่ยว ที่ผสมผสานระหว่างสวนสัตว์และสวนสนุกเข้าด้วยกันตกแต่งแบบโมร็อคโค ให้เด็กๆ ได้เพลิดเพลินไปกับการให้อาหารสัตว์ เช่น อูฐ อัลปาก้า มาร่า นกฟามิงโก้ ปลาคราฟ และอื่นๆ

นอกจากนี้ยังมีโซนเครื่องเล่นสุดมัน นำเข้ามาจากต่างประเทศ มีที่เดียวในประเทศไทยไม่ว่าจะเป็น Skyfly และมีหนึ่งเดียวในเอเชียคือ Flying Macaw, Eagle Zipline, Zero Gravity ฯลฯ

และยังมีโซนขายของที่ระลึกน่ารักๆ ตุ๊กตาสัตว์ต่างๆ เสื้อยืดลายสัตว์น่ารักๆ ที่จะทำให้คุณได้ซื้อติดไม่ติดมือกลับไปฝากคนใกล้ชิดอย่างแน่นอน

ค่าเข้าชม คนไทย 120 บาท / ชาวต่างชาติ 150 บาท / เด็กส่วนสูงไม่เกิน 100 ซ.ม. เข้าฟรี

เวลาเปิดทำการ วันจันทร์ – วันศุกร์ 10:00 – 18:00 น. เสาร์ – อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ 09:00 – 18:30 น. หยุดให้บริการทุกวันพุธ ติดตามโปรโมชั่นต่างๆได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ Camel Republic สวนอูฐ ชะอำ

ภาพจาก camel-republic.com และ เฟซบุ๊กแฟนเพจ Camel Republic สวนอูฐ ชะอำ


7. บลู มังกี้ Blue Monkey

บลู มังกี้ เป็นสนามเด็กเล่นในร่ม ตั้งอยู่บนถนน พุทธมณฑลสาย 1 กรุงเทพฯ เป็นสนามเด็กเล่นที่มีเป้าหมายให้เด็กๆ ได้เล่นแบบที่ต้องคิด เรียนรู้ และลงมือทำ เป็นการสร้างศักยภาพทางการเรียนรู้ และการจินตนาการให้กับเด็ก ผ่านการมองเห็น การได้เยิน และการรับรู้ทางด้านอื่นๆ เพื่อนำความรู้ไปใช้งานจริง แก้ไขปัญหาต่างๆ และยังเป็นรากฐานในการรวมประสบการณ์และกระบวนการเรียนรู้เข้าด้วยกัน ทำให้ที่นี่มีกิจกรรมหลายอย่าง หลายรูปแบบ ให้ได้สนุกสนานเพลินเพลิน ได้เสียเหงื่อไปกับการออกกำลังกาย มีกิจกรรมที่ต้องทำกันเป็นหมู่คณะ โดยสามารถเลือกทำกับเพื่อนหรือครอบครัวได้

เด็กๆ จะได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ และรู้จักการแบ่งปัน และสร้างผลงานด้วยตนเอง ที่นี้มีมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล เหมาะสำหรับเด็กเริ่มคลานจนถึงอายุ 13 ปี

เวลาเข้าชม : เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00 – 19.00 น.

ค่าเข้าชม : เด็กเล็ก (สูงไม่เกิน 105 ซม.) ราคา 200 บาท / เด็กโตอายุไม่เกิน 13 ปี 320 บาท / ผู้ใหญ่ 100 บาท / เด็กอ่อน และผู้สูงอายุ ฟรี

สอบถามเพิ่มเติม : 02-408-8790

ภาพจาก www.bluemonkeyplay.com และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ Blue Monkey World


8. Funarium (ฟันเนเรี่ยม)

สนามเด็กเล่นในร่มที่ เน้นเรื่องความสะอาดและความปลอดภัยระดับมาตรฐานโลก ภายในมีโซนน่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โซนเด็กเล็ก ที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อเพิ่มพัฒนาการของเด็กเล็ก ตั้งแต่แบเบาะไปจนถึง 4 ขวบ, โซนเด็กโต อายุ 4-13 ปี กับเครื่องเล่นขนาดสูงเท่าตึกสองชั้น ให้เด็ก ๆ ได้ปีนป่าย กระโดด คลาน และทรงตัว พร้อมเครื่องเป่าลูกบอล แทรมโปลีน และสไลเดอร์ขนาดใหญ่ยักษ์, โซนกีฬา โซนนี้จะมีการจัดลานขี่จักรยาน และสนามบาสเกตบอล ซึ่งสามารถแปลงเป็นสนามฟุตบอลได้ ที่ถูกออกแบบมาให้เด็ก ๆ ฝึกฝนทักษะทางด้านการกีฬาและออกกำลังกาย นอกจากนี้ยังมีโซนบ่อน้ำและบ่อทราย โซนร้านอาหาร ห้องปาร์ตี้เฉพาะกลุ่มแสนสนุก คลาสเรียนทำอาหาร และ มุมศิลปะ ที่เปิดโอกาสให้น้องๆ หนูๆ ได้วาดรูป ระบายสี และสร้างสรรค์งานศิลปะต่างๆ เพื่อสร้างเสริมจินตนาการ

ฟันเนเรี่ยมตั้งอยู่่ที่กลางซอยสุขุมวิท 26 และ ศูนย์การค้าสเปลล์ ฟิวเจอร์ พาร์ค รังสิต เปิดวันจันทร์ – พฤหัสบดี ตั้งแต่เวลา 09.00 – 18.00 น. / วันศุกร์ – วันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 09.00 – 19.00 น.

ราคาบัตรเข้าชม : เด็กเล็ก ราคา 200 บาท / เด็กโต ราคา 330 บาท / ผู้ใหญ่ ราคา 110 บาท
สอบถามเพิ่มเติม : 02-665-6555

ภาพจาก เฟซบุ๊ก : FunariumBangkok


9. สุนทรีแลนด์ (Suntree Land of dolls)

แดนตุ๊กตาแห่งนี้อยู่ที่อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี เป็นดินแดนที่รายล้อมไปด้วยตุ๊กตาเล็กใหญ่นับพันตัวที่เกิดจากประสบการณ์การทำตุ๊กตากว่า 30 ปีของเจ้าของสถานที่ ภายในได้มีการจำลองบรรยากาศจากประเทศต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน โดยมีตุ๊กตาเป็นพระเอกนางเอก โดยเด็กๆ สามารถเข้าไปกอด อุ้ม และถ่ายรูปตุ๊กตาได้อย่างมีความสุข นอกจากนี้ยังมีห้อง DIY สำหรับประดิษฐ์ตุ๊กตาด้วยตัวเองอีกด้วย

สุนทรีแลนด์เรามี 2สาขา คือที่ราชบุรี และสาขาใหม่ที่ ขอนแก่น เปิดให้บริการทุกวัน สามารถดูรายละเอียดค่าเข้าชมได้ที่ www.suntreelandofdolls.com เบอร์โทรศัพท์ 082 024 2888, 082 021 7888

ภาพจาก www.suntreelandofdolls.com


10. สวนน้ำอวกาศ (SPACE WATER PARK)

สวนน้ำที่มีเจ้าหุ่น NAKA ROBOT เป็นจุดเด่นนี้ เป็นส่วนหนึ่งของสวนนก สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของจังหวัดชัยนาท โดยเจ้า NAKA ROBOT จะทำหน้าที่เป็นที่เล่นสไลเดอร์ให้เด็กๆ ได้สนุกสนานกัน ภายในสวนน้ำมีสระว่ายน้ำ ทั้งระบบรวมสระเปิด และบริการคลองน้ำวน มีสระสำหรับเด็กความลึกประมาณ 40-60 เซนติเมตร

อัตราค่าเข้าผู้ใหญ่ 30 บาท เด็ก 15 บาท เพียงแค่นี้เด็กๆ และผู้ปกครองก็ได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันในวันหยุดแล้ว

สอบถามรายละเอียดโทร 088-533-5130

ภาพจากเฟซบุ๊กแฟนเพจ สวนน้ำอวกาศ ชัยนาท

 

 


เตรียมร่างกายให้พร้อม ต้อนรับวันหยุดและปิดเทอมที่มอบคุณค่าให้กับน้องๆ หนูๆ ควบคู่กับความสนุกสนาน กับสถานที่ที่เราคัดสรรมาว่าดีต่อกาย ใจ และพัฒนาการของน้องๆ หนูๆ ได้อย่างรอบด้านจริงๆ
อย่างไรก็ตามข้อมูลบางอย่างอาจมีการเปลี่ยนแปลง แนะนำให้สอบถามข้อมูลก่อนออกเดินทางนะจ๊ะ

ปิดเทอม…อย่าปิดโลก

ไปพัฒนากายใจ กับ10 สถานที่ที่จะมอบสุขภาพกาย-ใจ ที่คุณพ่อคุณแม่ควรพาเด็กๆ ไปอย่างยิ่ง!!

สบู่ล้างมือ

สบู่ทำมือ

วัสดุอุปกรณ์

  • กลีเซอลีนแบบขุ่น 200 กรัม
  • สีผสมอาหาร 4 หยด
  • เบบี้ออย 5 หยด
  • น้ำมันหอมระเหย 5 หยด

วิธีทำ

  1. ตั้งน้ำให้เดือดในกระทะไฟฟ้า แล้วใช้ไฟอ่อนๆ วางถ้วยแก้วลงบนกระทะ ใส่สารตั้งต้น คือ กลีเซอรีนก้อน หรือ เกล็ดสบู่ หมั่นคนไปเรื่อยๆ จนกว่าสารตั้งต้นจะละลายเป็นของเหลว
  2. นำถ้วยน้ำสบู่ที่คนจนละลายแล้วขึ้นมาจากกระทะ พักไว้สักครู่พอหายร้อนระอุ แล้วหยอดสีผสม และน้ำหอมกลิ่นที่ต้องการ
  3. หลังจากนั้นเทใส่แม่พิมพ์ตามที่เราต้องการ แล้วฉีดเสปรย์แอลกอฮอล์ ไล่ฟองอากาศ เพื่อทำให้ก้อนสบู่มีรูปร่างที่เนียนสวย
  4. แล้วทิ้งไว้จนกว่าสบู่จะเซ็ตตัว ประมาณ 30 นาที แล้วแกะออกจากแม่พิมพ์

Tip :

เหตุผลที่เราไม่ใส่ สีผสม และ น้ำหอม ระหว่างการทำละลายบนกระทะที่ร้อนจัด ก็เพื่อคงสีและกลิ่นที่เราต้องการไว้ มิฉะนั้น สีอาจจะเพี้ยน หรือ กลิ่นน้ำหอม อาจจะระเหยไปหมดด้วยความร้อน

เมืองโบราณ บ้านโคกไม้เดน

เมืองโบราณโคกไม้เดนหรืออีกชื่อหนึ่งว่าเมืองบนโคกไม้เดนน่าจะเป็นเมืองโบราณสมัยทวารวดี ที่คนสมัยก่อนเรียกกันว่า “เมืองบน” ซึ่งสร้างขึ้นในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 11-16 (พ.ศ. 1000-1500) โดยมีลักษณะเป็นรูปรีคล้ายหอยสังข์ ขนาดยาวประมาณ 250 เมตร กว้าง 600 เมตร คล้ายเมืองกำแพงนครปฐม เมืองเสมาจังหวัดนครราชสีมา และเมืองพญาแร่จังหวัดชลบุรี เมืองโบราณเมืองบนแห่งนี้มีคูน้ำ-คันดินล้อมรอบ 3 ชั้น สภาพในปัจจุบันนั้น คูเมืองและกำแพงเมืองชั้นนอกบางส่วนถูกถนนสายเอเชียตัดผ่านทับไปบางตอน และบริเวณนอกเมือง ทางด้านทิศตะวันออกยังพบกลุ่มโบราณสถานซึ่งส่วนใหญ่เป็นฐานของพระสถูปเจดีย์ และบนยอดเขาต่างๆ ที่สำรวจแล้วมีจำนวนถึง 16 แห่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความรุ่งเรืองของพุทธศาสนาในบริเวณนี้ รวมทั้งยัง ยังมีการขุดค้นพบโบราณวัตถุต่างๆ อาทิเช่น รูปปั้นช้าง พญาฉัททันต์ อายุกว่า 1,000 ปี รูปปั้นต่างๆ ได้ถูกนำออกแสดงที่ต่างประเทศโดยนักโบราณคดีชาวอเมริกันและออสเตรเลีย ที่เรียกกันว่า ศิลปะโบราณจากบ้านโคกไม้เดน

จำลองประสบการณ์ชีวิต CherryLala ชวนพ่อแม่ลูก เล่นละครสร้างสรรค์

“การได้ลองสวมบทบาทเป็นตัวละครในเรื่องราวต่างๆ เป็นประสบการณ์การเรียนรู้ที่ดีเยี่ยมรองลงมาจากประสบการณ์จริงเลยนะคะ”

คุณญาณี เหล่าวิริยะรัตน์ หรือ ครูเชอร์รี่ ผู้ก่อตั้ง CherryLala Learning Center ผู้เชี่ยวชาญด้านละครสร้างสรรค์ อีกทั้งยังเป็นผู้ออกแบบหลักสูตรและครูสอนการแสดงที่ Indelible Footprints Thailand เล่าให้ฟัง โดยเน้นย้ำว่า การได้สวมบทบาทเป็นคนอื่น รวมทั้งการได้ทำงานร่วมกับผู้อื่นในการสร้างละครสร้างสรรค์ขึ้นมานั้น จะช่วยพัฒนาพฤติกรรมและทักษะในการใช้ชีวิตหลายอย่าง อาทิ ความคิดสร้างสรรค์ การสื่อสาร ทักษะทางสังคม เป็นต้น

“ค่าย CherryLala Learning Center ของเราคือใช้ละครสร้างสรรค์ จริง ๆ แล้วไม่ต้องมีผู้ชมเลย มีแค่เด็ก ๆ ที่ต้องเป็นผู้สร้างสรรค์ละครนั้นขึ้นมา กับครู เขาก็จะเรียนรู้ไปขณะเล่น คือในขณะที่สวมบท เขาก็ได้ลองไปนั่งในหัวใจของคนอื่นดู สื่อสารออกมาในฐานะตัวละคร รวมทั้งได้ฝึกการทำงานร่วมกันกับเพื่อน ๆ  คือเราไม่ได้ต้องการให้ภาพออกมาเพอร์เฟกต์เหมือนพวกละครเวที สิ่งที่พวกเขาได้คือการฝึกให้ได้คุยกัน ร่วมกันตัดสินใจ เวทีต้องเป็นอย่างไร เสื้อผ้าที่ใส่ต้องเป็นอย่างไร ตรงนี้ก็จะได้เรื่องการสื่อสารเพราะว่ามันเป็นงานกลุ่ม และบางทีก็ได้เรียนรู้เรื่องอารมณ์ด้วย เพราะเป็นการทำอะไรที่มีคนมากกว่า 2 คนขึ้นไปมันอาจจะมีความไม่ถูกใจ ขัดใจเกิดขึ้นได้บ้าง”

CherryLala เลือกนิทานหรือเรื่องราวตามวัยของเด็กที่เข้าร่วมกิจกรรม คือตั้งแต่อายุ 4 – 15 ปี ซึ่งแยกระดับอายุลงไปอีก แล้วให้เด็กได้ลองทำกิจกรรมโดยสวมบทบาทเป็นตัวละครแล้วเล่นตามเรื่องราวในหนังสือหรือนิทานเรื่องนั้นๆ จากนั้นเมื่อการแสดงจบลง ก็จะให้เด็กๆ ทุกคนมานั่งคุยกันว่า สิ่งที่ได้จากกิจกรรมที่เพิ่งผ่านพ้นไปนั้นพวกเขาได้เรียนรู้อะไรบ้าง ซึ่งผลที่ได้รับคือ เด็กมีทักษะในการใช้ชีวิตและพัฒนาพฤติกรรมของตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น 100%

“เมื่อเร็วๆ นี้เรามีโครงการเวิร์คชอปละครสร้างสรรค์การกุศล Creative Drama Workshop for Charity No.2 ตอน รอนแรม The Journey และเป็นที่น่าแปลกใจว่า แม้กิจกรรมนี้จะจัดทำขึ้นเพื่อพัฒนาทักษะและพฤติกรรมของเด็กๆ แต่เมื่อให้ผู้ปกครองได้เข้ามามีส่วนร่วมด้วยกลับยิ่งสนุกและได้ประโยชน์ต่อทั้งตัวเด็กและครอบครัวมากขึ้น”

โดยงานนี้เราได้ให้คุณแม่ร่วมเล่นด้วย ในเรื่อง “รอนแรม” เป็นนิทานที่เกี่ยวกับ ผู้ลี้ภัย หนีภัยสงคราม ย้ายเมือง ย้ายประเทศ มันคือการรอนแรมอันยาวนานของแม่ลูกหลาย ๆ บ้าน ฝ่าเขตแดนกว่าจะข้ามดินแดนไปได้ มันมีความยากและหวาดกลัว อันนี้คือไม่ได้มีอะไรที่มีพื้นฐานเดียวกันกับผู้เรียนเลย แต่ต้องการให้ผู้เรียนมีประสบการณ์และเรียนรู้ว่า โอ้ อีกซีกโลกหนึ่งมีครอบครัวที่มีพ่อ แม่ ลูก เหมือนอย่างเรานี่แหละ แต่ว่ามีประสบการณ์ที่ต่างจากเรา ต้องหนี ต้องหาที่อยู่ใหม่ ต้องสร้างความหวังใหม่ ต้องอดทน ต้องมีความสามารถอีกหลายอย่างที่จะมีชีวิตรอดและอยู่ร่วมกัน จากนั้นเมื่อเล่นเสร็จก็ต้องคุยกันว่า เขาได้เรียนรู้อะไร เราก็จะค่อนข้างเซอร์ไพรส์ที่เขาได้เรียนรู้เยอะ เขารู้ว่าแม่ทุกคนเก่งที่สุดในโลกที่ผ่านเหตุการณ์นั้นมาได้ รู้ว่าในการสูญเสียของสงครามนั้นเป็นอย่างไร ความอดทน ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่างๆ

ตัวคุณแม่ก็แชร์กับลูกตรงๆ ว่าที่จริงแล้วในสถานการณ์นั้นแม่ก็กลัวนะ แต่ก็คิดว่า แม่ต้องรอดให้ได้ ต้องไปข้างหน้าให้ได้ เพราะว่ามันมีจังหวะที่ตัวละครแม่แอบนั่งร้องไห้ เพราะต้องคิดต่อว่าจะเอายังต่อไป เพราะในเรื่องนั้นมันมีปัญหาให้แก้ทุกวัน”

“ตัวเราเองมีหน้าที่วางแผนตั้งแต่ต้น มันเหมือนการเล่น แต่เป็นการเล่นที่มีโครงสร้าง เราก็จะเตรียมบทละครสำหรับเด็ก ๆ คือ นิทาน หนังสือภาพ วรรณกรรมเด็กที่เด็กอาจจะรู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง คืออย่างน้อยถ้าเด็ก ๆ ไม่เคยอ่านก็จะสนใจ  กลับบ้านไปอาจจะอยากไปหามาอ่าน เรื่องนี้ก็จะเชื่อมโยงกลับไปในเรื่องการอ่านหนังสือได้”

ขอพูดถึงการทำงานที่ได้ทำร่วมกับ Indelible Footprints Thailand ได้ทำงานกับเด็กที่คลองเตย เป็นเรื่องดีที่เราได้เข้าไปทำความรู้จักกับเด็กๆ ก่อน เพื่อจะได้รู้ว่า เขามีปัญหาด้านไหน ด้านอารมณ์ สังคม อย่างไรบ้าง แล้วจากนั้นก็เริ่มปรับนิทานที่เราจะใช้ในกิจกรรมนั้นเพื่อให้ส่งผลในด้านที่เราตั้งเป้าหมาย เช่น การแบ่งปัน การช่วยเหลือกัน ลดความรุนแรงทั้งทางกายและอารมณ์ ซึ่งแต่ละคนก็จะมีระดับการรับรู้ หรือเรียนรู้เรื่องพวกนี้ได้ต่างกัน เพราะว่ามันเป็นเรื่องจิตใจ อารมณ์ ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นก็จะมีระดับต่างกันในมนุษย์แต่ละคน

“ตั้งแต่ทำมาก็ 100% เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น แต่ว่าขึ้นอยู่กับเวลา เพราะแต่ละคนมีการเปลี่ยนแปลงในตัวเองช้าเร็วไม่เท่ากัน บางคนแค่เดือนเดียวก็ได้เลย หรือบางคนอาจจะ 3 เดือน ก็ตามแต่การเรียนรู้และการปรับตัวเด็กแต่ละคน แต่ว่าทุกคนเปลี่ยนแปลง ที่เห็นได้ชัดคือเด็กที่เป็นคนเก็บตัวเงียบๆ ขี้อาย เขาก็จะกล้าที่จะสื่อสารมากขึ้น มั่นอกมั่นใจ แต่ก็ต้องให้พื้นที่ที่ปลอดภัยกับเขาจริงๆ ในระหว่างที่ฝึกซ้อม ยังไม่ต้องคาดคั้นให้เขาไปโชว์ให้ใครดูเพราะกลุ่มนี้แค่คุยกับคนแปลกหน้าก็แย่แล้ว จะไปให้ไปโชว์ให้สายตาหลายๆคู่ดูมันก็จะโหดไป

เด็กที่รุนแรงมากๆ เอะอะต่อย เราก็จะพูดกับเขาว่า “น้องพิ้งค์ผู้น่ารัก ผู้แสนใจดีของคุณครู” “หูย คนใจดีมาแล้ว” คือ เป็นการโปรแกรมให้เขาเลยว่า เขาเป็นคนอย่างนี้ๆ จูนสมองเขาใหม่ แล้วเขาเปลี่ยนไปเร็วมาก นี่คือผ่านกระบวนการไปแค่ประมาณ 3 เดือน ตอนนี้เขาเป็นต้นแบบที่ดีเลย

แล้วก็มีเคส 1 ปี ที่เปลี่ยนไป ถือว่านานที่สุด แต่คุณแม่ใจเย็น ชิลๆ กลุ่มที่มาเรียนกับรี่ไม่ได้คาดหวังว่าลูกจะต้องโดดเด่นเป็นซูเปอร์สตาร์ แต่เขาหวังว่าจะให้ลูกพัฒนาเรื่องความกล้าหาญ สื่อสาร ทำงานกับคนอื่นได้ ซึ่งเราต้องยอมรับว่า เรื่องของ “พฤติกรรม” เป็นเรื่องที่ใช้เวลามาก”

ครูเชอร์รี่กล่าวว่า ด้วยประสบการณ์ของตนเองที่เหมือนได้รับการเปิดโลกใหม่เมื่อได้เรียนเรื่องวิชาละครสร้างสรรค์ในมหาวิทยาลัย ตนจึงเชื่อว่าในเด็กนั้น อย่างน้อยน่าจะต้องได้เข้าร่วมกิจกรรมละครสร้างสรรค์ 1 – 2 ครั้งในชีวิต

“กิจรรมนี้มันเกิดมาเพื่อเป็นประสบการณ์ที่เป็นสากล ทุกคนน่าจะได้ผ่าน ตัวรี่เองยังรู้สึกว่าเหมือนได้เปิดโลกใหม่เมื่อเรียนวิชานี้ในมหาวิทยาลัย ครูอนุญาตให้เราสื่อสาร คิด วิเคราะห์ คือเราเกิดมาในยุคการเรียนเป็นแบบ นั่งนิ่ง เรียน จดอย่างเดียว สู้กันที่ความทรงจำ เราไม่ได้ถูกสอนให้คิด วิพากษ์อะไรไม่เป็น แสดงความคิดเห็นก็ไม่กล้า กลัวจะผิดไปหมดทุกอย่าง พอได้มาเรียนรู้ตรงนี้จึงเหมือนกับอีกโลกหนึ่งเลย

พอมาทำงานตรงนี้เราได้เจอทั้งเด็กที่มาจากโรงเรียนในระบบปกติ และจากโรงเรียนทางเลือกนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง เด็กที่มาจากโรงเรียนทางเลือกจะสนุกมาก เพราะว่าเขาเสรี ช่างตอบคำถาม คิดนั่นนี่โน่น เป็นธรรมชาติที่จะเรียนจากกิจกรรมแบบนี้ แต่อีกกลุ่มจะกลัวผิด ซึ่งถ้าผู้ปกครองมาเห็นก็จะได้ย้อนคิดว่า เราไม่เคยชวนลูกทำอะไรที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์เลย หรือการที่ทำอะไรแล้วไม่ต้องกลัวผิด การกลัวผิด คือหายนะของการศึกษา เพราะรี่ก็เรียนผ่านการถูกเทรนว่า คุณผิดไม่ได้ แล้วพอเราพลาดอะไรในชีวิตซึ่งมันจะใหญ่แน่นอนเมื่อมันเป็นปัญหาในชีวิต เราก็จะยิ่งตอกย้ำหัวตะปูว่า แกล้มเหลว แย่ ซึ่งจริงๆ มันไม่ควรจมนาน แต่เราถูกเทรนมาว่า เราผิดไม่ได้ เราต้องเลิศ เราต้องชนะเลิศ ต้องสำเร็จเท่านั้น ซึ่งมันผิดปกติธรรมชาติมนุษย์ เพราะความล้มเหลวเป็นธรรมชาติมนุษย์ ล้มก็แค่ลุกใหม่ แค่นั้น แต่ละครสร้างสรรค์ จะทำให้เห็นว่า เออ ผิดก็ไม่เป็นไร เล่นรอบที่แล้วตรงนี้ไม่เวิร์คนะ แก้ใหม่รอบต่อไป ก็รู้สึกว่าทุกคนควรจะมีประสบการณ์ละครสร้างสรรค์  เพราะมันมากกว่าแค่การแสดงออก แต่ว่ามันได้กระบวนการคิดที่ลึกซึ้งมาก สร้างความเข้าใจในเนื้อหาหรือปรัชญาบางอย่างได้อย่างดี” ครูเชอร์รี่กล่าว

ครูเชอร์รี่ยังกล่าวอีกว่าหากไม่มีเวลามาหาครูที่ CherryLala Learning Center พ่อแม่ผู้ปกครองอาจจะร่วมเล่านิทานหรือชมภาพยนตร์กับลูกที่มีหัวข้อที่คุณแม่อยากจะสื่อสาร เมื่อดูเสร็จก็มาคุยกันธรรมดา ไม่ต้องใส่อารมณ์ร่วมเพื่อฟังไอเดียและความคิดเห็นของลูก ซึ่งบางครั้งก็อาจจะดีจนแทบไม่น่าเชื่อ

“ยกตัวอย่างนิทานเรื่อง โจโจ้ เมื่ออ่านเสร็จแล้วอาจจะถามลูกว่า คิดว่าทำไมโจโจ้ทำแบบนี้ จากนั้นลูกคิดว่าโจโจ้ต้องทำอย่างไรถึงจะมีความสุขขึ้น คือตั้งคำถามให้ลูกตอบ ยังไม่ต้องรีบสอนก็ได้ ฟังไอเดียลูกก่อน บางทีก็เจ๋งนะ มันจะเกิดพุทธิปัญญาขึ้นมาแทน เวลาที่เด็กจะเล่นอะไรก็อย่าไปห้ามก่อน มันอาจจะไม่เข้าท่าในสายตาเราบ้าง แล้วเดี๋ยวเราค่อยมาคุยกัน ต้องใจเย็นอย่าเพิ่งหวังผลลัพธ์ ลองเป็นผู้เฝ้ามอง แต่ถ้าจุดไหนไม่เข้าท่ามาก ๆ อยากสอน ก็สอนด้วยท่าทีปกติ ไม่ต้องเอาอารมณ์ไปใส่ด้วย เพราะเด็กจะมีเซ้นส์เรื่องอารมณ์ที่ดีมาก ถ้าเขารู้ว่าอารมณ์เราไม่ดีตอนพูดเรื่องนั้นมันก็จะฝังความทรงจำไปอีกแบบ แต่ถ้ามู้ดโทนเราดี เล่าไปว่า อันนี้นะ ไม่น่าทำบอกเขาไปด้วยเหตุด้วยผล เขาจะเข้าใจได้มากกว่า”

ครูเชอร์รี่ย้ำกับเราว่า การเรียนรู้ผ่านกิจกรรมเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะทำให้เด็กๆ ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะเมื่อเด็กรุ่นใหม่ มีวิถีชีวิตที่ไม่เหมือนคนรุ่นก่อน ยุคนี้ผู้คนไม่ได้เรียนมาเพื่อเข้าระบบ สอบแข่งขัน หรือเป็นลูกจ้าง แต่มันยังมีงานใหม่ ๆ สำหรับคนรุ่นใหม่อีก ซึ่งส่วนใหญ่ต้องเกิดจากความคิดริเริ่มของเขาเอง

“อย่างเช่น ยูทูเบอร์ แค่มีตัวเองกับกล้องมือถือ แล้วทำเองหมดเลย ตั้งแต่คิด ตั้งกล้องอย่างไรดี เอามาตัดต่ออย่างไร ใส่ซาวน์อย่างไร ซึ่งทั้งหมดนี้เขาทำด้วยตัวเองหมดเลย ด้วยความคิดริเริ่มและการกล้าที่จะลงมือทำ เป็นคุณสมบัติของคนที่มีภาวะผู้นำ เราสามารถเอาทักษะชีวิตมาจับได้เลยผ่านการเรียนรู้แบบกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นการแสดง เต้น หรือกิจกรรมปฏิบัติอื่นๆ

“ทุกการเรียนรู้แบบกิจกรรมให้ทักษะที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตทุกอย่าง”

ก็นับว่าเป็นอีกไอเดียดีๆ สำหรับผู้ปกครองที่อยากให้เด็กๆได้ใช้เวลาที่มีคุณภาพในช่วงวันหยุดหรือปิดเทอม และหากพ่อ แม่ ผู้ปกครองไม่มีเวลาร่วมทำกิจกรรมกับลูกๆ ก็สามารถเข้าชมรายละเอียดกิจกรรมละครสร้างสรรค์ได้ที่ CherryLala Learning Center  www.facebook.com/TeacherCherryLala

7 สิ่งที่พ่อแม่สามารถร่วมทำกับลูกได้เมื่อลูกปิดเทอมอยู่บ้าน

วันปิดเทอมอาจจะเป็นวันที่เด็กๆ รอคอย แต่กับพ่อแม่บางคนแล้ว อาจจะต้องปวดหัวหนักเลยทีเดียว เพราะมันหมายถึงการต้องเลี้ยงลูกแบบเต็มเวลาควบคู่ไปกับการทำงานเต็มเวลาด้วยเช่นเดียวกัน

การเป็นผู้ปกครองในวันที่เด็กๆ ปิดเทอม โดยเฉพาะในวัยที่กำลังต้องการการเอาใจใส่และกิจกรรมการเรียนรู้ตลอดเวลา จึงเปรียบเสมือนผู้กำกับใหญ่ในหนังครอบครัวของตนเองด้วย แน่นอนว่า เป้าหมายของหนังเรื่องนี้จะต้องออกมาดีที่สุดทั้งต่อตัวผู้ปกครองเอง และต่อเด็กๆ ที่เขารัก

พ.ญ. โชษิตา ภาวสุทธิไพศิฐ รองผู้อำนวยการฯ สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กล่าวว่า เมื่อเด็กๆ ปิดเทอม และไม่ว่าเด็กจะอยู่กับบ้านที่มีแม่เต็มเวลา หรือต้องอยู่กับแม่ที่ทำงานออฟฟิศ สิ่งสำคัญอยู่ที่กว่าสถานที่คือ เวลาที่เด็กๆและผู้ปกครองได้อยู่ร่วมกันนั้น “มีคุณภาพ” มากแค่ไหน

“ถ้าเราพูดถึงกลุ่มเด็กประมาณอนุบาลหรือประถมตอนต้น คือวัยที่กำลังเริ่มเรียนรู้เป็นหลัก เป็นช่วงวัยที่เด็กส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยมีความพร้อมต่อวิชาการมากนัก ยังไม่นิ่ง ยังมีความจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ผ่านการเล่น เพราะเป็นการเปิดประสบการณ์ที่หลากหลาย จะส่งผลต่อการเรียนรู้ทักษะชีวิตมากกว่า และส่งผลต่อความพร้อม ความอยากเรียนรู้วิชาการทางอ้อม ช่วงปิดเทอมจึงควรให้เด็กได้อยู่กับการเล่น กับธรรมชาติมากกว่าการเรียน”

“และหากต้องติดอยู่กับที่ทำงานพ่อแม่ช่วงปิดเทอม มันอยู่ที่ว่าเด็กได้ทำอะไรบ้าง การอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ก็มีส่วนด้านดี โดยเฉพาะเด็กในเมือง เพราะช่วงเปิดเทอมเด็กหลายคนก็แทบจะไม่ได้มีโอกาสใช้เวลากับคุณพ่อคุณแม่ แต่ช่วงปิดเทอม ต่อให้ไปที่ทำงานกับคุณพ่อคุณแม่ โดยพวกท่านยังต้องทำงานแต่เด็กก็ยังได้รู้สึกว่าได้ใกล้ อาจสร้างแรงบันดาลใจด้านอาชีพ หรือเห็นว่าคุณพ่อคุณแม่มีความลำบากในการทำงาน อย่างไรก็ต้องดูว่า ได้ใช้เวลาคุณภาพด้วยกันหรือเปล่า หากไปที่ทำงานแล้วไปฝากคนอื่นเลี้ยง หรือไปที่ทำงานแต่ถูกจำกัดสถานที่ อิสระมาก เช่น ต้องนั่งนิ่ง ๆ ทั้งวันอาจจะยิ่งเกิดความกดดันต่อตัวเด็ก หรือถูกตำหนิโดยไม่จำเป็น ซึ่งอันนี้จะกลายเป็นผลลบมากกว่าผลดี”

และเหล่านี้คือตัวอย่างกิจกรรมบางอย่างที่คุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครองสามารถร่วมทำกับลูกได้ แม้จะต้องวุ่นวายกับการทำงาน หรือกิจกรรมทางบ้านจนไม่สามารถพาลูกๆ ออกไปที่ไหนไกลจากบ้านมากนักได้

1. ทำบ้านให้กลายเป็นโรงเรียนแห่งความสนุกสนาน

งานวิจัยกล่าวว่า เด็กๆ จะสูญเสียทักษะทางด้านคณิตศาสตร์มากกว่าการอ่านหนังสือในช่วงปิดเทอม เพราะพ่อแม่ (ที่ใส่ใจลูก) มักจะสนใจในเรื่องการฝึกทักษะการอ่านมากกว่าการคำนวน แต่เชื่อหรือไม่ว่า การเพิ่มพูนทักษะคณิตศาสตร์ไม่ใช่เรื่องเคร่งเครียดเลยสักนิด และมีหลายวิธีการมากด้วย อาทิ

  • ชวนเด็กๆ ทำอาหาร การชั่ง ตวง วัด ปริมาณของส่วนผสมในอาหาร เบเกอรี่ ของคาว ของหวาน ต่างๆ นั้น ล้วนเป็นการเรียนรู้ที่สนุกสนานได้ทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใช้ได้กับทุกหลายช่วงวัย เช่น เป็นจำนวนธรรมดา อย่าง 2 ช้อนชา 3 ช้อนโต๊ะ อาจจะเหมาะกับลูกคนเล็ก แต่เมื่อไรที่เราต้องการส่วนผสมเป็น เศษ 1 ส่วน 4 ช้อนชา ลูกคนเล็กอาจจะต้องพึ่งพาพี่คนโตก็เป็นได้ ดังนั้น นอกจากจะได้ทักษะคณิตศาสตร์แบบสนุกสนานแล้ว ยังได้กระชับความสัมพันธ์ในครอบครัวอีกด้วย

2. ระดมพลสร้างสิ่งประดิษฐ์อันเกิดจากความคิดสร้างสรรค์ เสริมสร้างพัฒนาการทางกายให้เด็กๆ

งานศิลปะ งานประดิษฐ์ วาดรูป ระบายสี งานปั้น และอีกหลายรูปแบบ ล้วนแล้วแต่เป็นการละเล่นที่นอกจากจะนำความเพลิดเพลินมาให้กับเด็กๆแล้ว ยังมีส่วนช่วยในการพัฒนาการเรียนรู้ สติปัญญา และกายภาพของเด็กๆ ด้วย

คุณเชอร์รี่ อัญะพัชร์ จินดานนท์ คุณแม่ลูกสอง เจ้าของเพจ “โอ้…มายลูก” และ “เมนูลูกรัก” เล่าให้ฟังถึงประโยชน์ต่างๆ เกี่ยวกับกิจกรรมที่ให้เด็กๆทำเสริมระหว่างอยู่บ้าน

“เด็กๆ เรียนโรงเรียนทางเลือกที่เน้นทำกิจกรรม เวลาอยู่บ้านก็จะทำกิจกรรมตลอด ไม่อย่างนั้นเขาจะเซ็งๆ เพราะไม่มีอะไรทำ ทำให้คุณแม่ไม่สามารถนั่งเฉย ๆ ได้ แล้วลูก 2 คนคนละวัย กิจกรรมบางอย่างร่วมกันได้ บางอย่างก็ร่วมกันไม่ได้ แต่ส่วนใหญ่จะหากิจกรรมที่ทำด้วยกันได้ เพราะในความเป็นจริงมันแยกกันยาก

ถ้าคิดอะไรไม่ออกก็ระบายสีมาก่อน แต่ว่าเราจะมีโจทย์ว่าเราจะไม่ทำเหมือนเดิม คืออาจจะต้องหาหลอด หาใบไม้มาประดิษฐ์แต่งเติม คือหาของเหลือใช้ต่างๆมาให้เขาทำ เขาก็จะมีเทคเจอร์ต่างๆในการวาด เช่น วาดบนกล่อง บนกระถาง เขาก็จะทำไปเรื่อยๆ ของเขา พอเบื่อวาดรูปก็ไปทำอย่างอื่น เช่น อ่านหนังสือ กินขนม แต่ทุกอันที่พูดมาเราต้องทำกับเขาหมด โดยเราอาจจะเป็นคนตั้งต้น เช่น การปั้นแป้งโด เราก็ต้องเริ่มทำตั้งแต่นวดแป้ง เพื่อให้กล้ามเนื้อมัดเล็กของเขาได้รับการบริหาร คนเล็กอาจจะปั้นได้ไม่ดีเท่าคนโตเพราะกล้ามเนื้อยังไม่ดีเท่า จากนั้นก็ให้เขาเป็นคนเลือกสีเอง ผสมสีเอง จากนั้นก็มาเล่นกัน ปั้นเล่น บางอันเราก็มีบล็อกให้เขา เป็นรูปต่างๆ กิจกรรมนี้ก็ใช้เวลาประมาณครึ่งวัน แล้วก็ไปทำอย่างอื่นต่อ

กิจกรรมที่ทำมาทั้งหมดมันส่งผลตอนโตได้หมด อย่างแป้งโดก็ช่วยเรื่องกล้ามเนื้อมัดเล็ก ส่วนเรื่องมัดใหญ่ ก็จะต้องไปวิ่งไปออกกำลังกาย ซึ่งตรงนี้จะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตด้วย เช่น กล้ามเนื้อมัดเล็กดีก็จะเขียนหนังสือได้ดี หรือหากตอนเล็กๆ เขาจับช้อนกินเองได้เร็ว เขาก็จะทำอย่างอื่นได้ดี เช่นผูกเชือกร้องเท้าได้เอง ก็ตามสเต็ปของเขา”

3. ทาสีผนัง รั้ว ทางเดินของบ้านด้วยกัน

แป้งข้าวโพด พู่กัน สีผสมอาหาร และเหยือก เพียงแค่นี้ก็สามารถสร้างความสนุกสนานพร้อมทักษะในการแยกสีสันต่างๆให้กับลูกๆได้เป็นอย่างดี รวมทั้งเป็นกิจกรรมยามว่างที่ทำให้ผู้ปกครองและลูกๆ ได้ใช้เวลาร่วมกันด้วย และจะทำให้ผนังบ้าน หรือรั้วบ้านของคุณดูมีชีวิตชีวาและมีความทรงจำอันน่าประทับใจด้วย เน้นว่า…เป็นแป้งข้าวโพดและสีผสมอาหารนะ

4. ช่วยกันทำ family tree

ช่วยกันส่งเสริมกล้ามเนื้อมัดเล็ก รวมทั้งให้ความรู้สึกผูกพันกับทั้งครอบครัว ด้วยการพรินต์รูปครอบครัว ตั้งแต่คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย พ่อ แม่ รวมถึงตัวเด็กเอง แล้วนำภาพเหล่านั้นมาติดที่ต้นไม้ที่เด็กๆ ประดิษฐ์ขึ้นเองจากกระดาษที่เตรียมไว้ เพียงเท่านี้ แม้สังคมปัจจุบันจะไม่ใช่สังคมขยายที่ทุกคนอยู่รวมกันในบ้านหลังใหญ่ แต่เด็กๆ ก็จะรู้สึกใกล้ชิดผูกพันกับทุกๆคนได้อย่างง่ายดาย

5. ปั่นจักรยานกันทั้งครอบครัวที่สวนใกล้บ้าน

นับเป็นเรื่องที่ดีที่จะได้ทั้งการออกกกำลังกาย และได้แสดงความรักความผูกพันที่ทุกๆคนในครอบครัวมีต่อกัน ดังนั้นจงเตรียมจักรยานและอุปกรณ์ดูแลความปลอดภัยให้พร้อม จากนั้นก็ไปกันเลย

6. ร่วมกันสร้างสิ่งประดิษฐ์จากขยะรีไซเคิล

ในยุคที่ผู้คนตระหนักถึงการรักษาสิ่งแวดล้อมของโลก การลดโลกร้อน และการดูแลขยะในบ้านเรือนของตนซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ทั้งทางบกและทางทะเล จะเป็นอย่างไรหากเราสอนลูกหลาน ให้รู้จักคุณค่าของสิ่งแวดล้อม และรู้จักใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในบ้านให้เป็นประโยชน์สูงสุด ลองให้เด็กๆที่บ้าน ออกแบบให้กล่องกระดาษเหลือใช้ให้กลายร่างเป็นสัตว์เลี้ยงที่เขาชื่นชอบ หรือบ้านตุ๊กตาดูสิ

7. อ่านหนังสือ…ด้วยกัน

มันอาจจะดูเป็นกิจกรรมง่ายๆ สบายๆ ที่หลายๆ บ้านร่วมกันทำมานานแล้ว แต่ถ้าหนังสือนั้นไม่ใช่นิทานก่อนนอนล่ะ ถ้าหนังสือนั้นถูกคัดเลือกและตัดสินใจโดยคุณพ่อคุณแม่และลูกๆ ไม่ใช่เพียงหนังสือที่คุณแม่อยากให้ลูกอ่าน แต่เป็นหนังสือที่ลูกอยากอ่านและคุณแม่พิจารณาแล้วว่า หนังสือเล่มนี้เหมาะกับวัยและจะช่วยด้านการพัฒนาการในด้านใดด้านหนึ่งหรือทุกๆด้านให้กับลูก แน่นอนว่า หนังสือเล่มนั้น ก็จะกลายเป็นหนังสือสุดพิเศษเล่มหนึ่งเลยทีเดียว

เป็นอย่างไรกันบ้าง มีกิจกรรมไหนที่คิดอยากจะนำไปทำร่วมกับเด็กๆกันบ้างหรือเปล่า แต่อย่างไรก็ตาม พ.ญ. โชษิตา ก็ยังได้ฝากทิ้งท้ายไว้เกี่ยวกิจกรรมของเด็กวัยกำลังเรียนรู้อย่างน่าสนใจ

“จริงๆ แล้วเด็กวัยเรียนยังต้องการกิจกรรมทั้งฝึกความนิ่งภายในและส่งเสริมความแข็งแรงร่างกายภายนอก เพื่อเพิ่มความสมดุล เช่น มีกิจกรรมในเชิงการเคลื่อนไหว ได้ออกแรง กับกิจกรรมเพิ่มความนิ่งหรือสมาธิ ทั้งการวิ่งเล่นอิสระ ดนตรี ศิลปะ หรือ การฝึกทักษะชีวิต เช่น งานบ้าน ทำอาหาร หรือ เรื่องของกิจกรรมที่เสริมทักษะความคิด หรือการฝึกแก้ปัญหาต่างๆ ทุกอย่างที่เด็กยังไม่เคยทำมัน ช่วยได้หมดเลย

 

เรื่องการจัดการเวลาและจังหวะกิจกรรมในชีวิตเด็กเป็นสิ่งที่สำคัญ และไม่ใช่แค่ปิดเทอม แต่เปิดเทอมเด็กก็ต้องการกิจกรรมพวกนี้ในชีวิตอย่างสม่ำเสมอ เด็กหลายคนช่วงเปิดเทอมก็วิชาการมากเกินไป ปิดเทอมก็คืออิสระมากเกินไป ซึ่งมันกลายเป็นสุดโต่งมากจนเกินไป ก็ส่งผลไม่ดีกับเด็ก

“ที่ดีที่สุดคือ ความพอดีที่ต้องดูเฉพาะสำหรับเด็กแต่ละคน ไม่ได้ให้เด็กต้องรู้สึกปรับตัวอยู่ตลอดเวลา”

ขอบคุณข้อมูลประกอบจาก

รองเท้าแตะ DIY

อุปกรณ์

  1. รองเท้าแตะแบบหูหนีบ 1 คู่
  2. ริบบิ้นผ้าสีพื้น
  3. ลูกปัด, ริบบิ้นผ้าตกแต่งลายตามชอบ
  4. เข็ม, ด้าย, กรรไกร, กาวสำหรับติดริบบิ้น

ขั้นตอน

  1. เริ่มจากเอาริบบิ้นสีขาวติดกับกับสายหนีบรองเท้า พันให้รอบๆ
  2. เมื่อพันริบบิ้นเสร็จแล้ว ใช้กาวติดริบบิ้นให้แน่นเรียบร้อย
  3. เอาริบบิ้นผ้าลายตามชอบทำเป็นรูปดอกไม้ ใช้กาวติดให้เป็นรูปทรง และเย็บตรงกลางให้แน่น
  4. ใช้กาวติดริบสำหรับตกแต่งที่เป็นลวดลายทับบนริบบิ้นผ้าสีขาว ติดตามความชอบได้เลย 🙂
  5. นำดอกไม้ที่เตรียมไว้มาติดบนส่วนของหูหนีบของรองเท้าให้แน่น
  6. เสร็จแล้วว.. สวยงาม เปลี่ยนรองเท้าธรรมดา เป็นแบบใหม่ คู่เดียวในโลก ปิดเทอมนี้จะทำขายแบบพรีออเดอร์ ก็ได้น้าาา 🙂

ปิดเทอมได้ทุกวัน เรไรรายวันกับกิจกรรมสนุกๆ ทั้งปี

ปิดเทอมใหญ่ หัวใจ (ผู้ปกครอง) จะไม่ว้าวุ่นอีกต่อไป เมื่อเราสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่เด็กๆ จะต้องอยู่กับผู้ปกครองตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรายังสามารถพลิกสถานการณ์ให้วันปิดเทอมกลายเป็นวันสนุกสนานของทั้งครอบครัว และทำได้ในทุกๆ วันด้วย

“ชนิดา สุวีรานนท์” หรือ “คุณแม่จั่น” คุณแม่ของ “เด็กหญิงเรไร สุวีรานนท์” บล็อกเกอร์ตัวน้อยที่มีคนติดตามเพจกว่า 200,000 คน อย่าง “เรไรรายวัน” เล่าให้เราฟังว่า วันปิดเทอมเป็นวันผ่อนคลาย ไม่มีตารางอะไรแน่ชัด แต่ถึงแม้ว่าจะไม่แน่ชัดอย่างไร ก็จะต้องมี ‘สิ่งที่ทำร่วมกัน’ ในแต่ละวันเสมอ

“ปิดเทอมบ้านเราไม่มีตารางแน่นอน ผ่อนคลาย สบายๆ เราจะแพลนวันต่อวัน อาทิตย์ต่ออาทิตย์ ดูสภาพร่างกายและจิตใจของเด็กๆ เป็นหลัก แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ต้องคิดไว้เหมือนกันว่า กิจกรรมไหนที่เราอยากทำ หรือเด็กๆ อยากทำ เราเอาสนุกเป็นที่ตั้ง

เมื่อก่อนพ่อแม่หลายคนรวมทั้งแม่เองเวลาคิดถึงการทำกิจกรรมของเด็กก็จะต้องเป็นกิจกรรมที่สนุก มีสาระ และให้ความรู้ แต่พอเป็นกิจกรรมแบบนั้นบางทีเด็กก็ไม่สนุก พอมันไม่สนุกก็จะยากที่จะเก็บเกี่ยวความรู้ออกมาได้ เราจึงเลือกที่จะปล่อยให้เขาสนุกให้เต็มที่ แล้วเฝ้าดูว่า ณ ตอนนั้นเราเจออะไร และมีอะไรที่มันจะสามารถสอดแทรกประเทืองปัญญาได้โดยไม่ทำให้ความสนุกลดลง

กิจกรรมที่แม่ชอบส่วนใหญ่คืออ่านเขียน แต่เราไม่ได้เซีเรียสว่าจะต้องกลับมาเขียนนะ จะเห็นว่าเวลาไปเที่ยวกับเรไร เราจะไม่ได้บังคับให้เขาเขียน หรือบอกให้เดินถือสมุดโน้ตจดนั่นจดนี่ แต่ให้เขาเที่ยวเขาสนุกของเขาไปตามประสา แล้วค่อยชวนให้กลับมาทบทวนความสนุกเมื่อจบทริป มันจะทำให้เขาได้อะไรมากกว่าการไปนั่งจี้ใส่สาระความรู้ ณ ตอนเที่ยวนั้นเลย อย่างน้อยก็เรื่องของการจดจำ หรือนำไปสู่การสะท้อนมุมมองต่อสิ่งต่าง ๆ เพราะการให้เขาคิดทบทวนว่า เมื่อได้ประสบการณ์นั้น ๆ จากการไปเที่ยว เขาคิดอะไรกับมัน มักจะนำไปสู่ การคุย การเขียน หรือการวาดรูป

ดังนั้นปิดเทอมไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไรกับคนบ้านนี้ว่า จะต้องทำกิจกรรมอะไรที่สนุกมีสาระและได้ความรู้ เพราะมันมีการคิดการเขียนที่เป็นโครงเหนือสิ่งที่เราทำร่วมกันอยู่แล้ว แม่มองว่ากิจกรรมที่เราทำกับลูกได้เนี่ย บางครั้งพ่อแม่เบื่อ ไม่อยากทำซ้ำ เอ๊ะ เคยไปมาแล้ว น่าจะพยายามหาสิ่งใหม่ กิจกรรมใหม่ให้ลูกทำ บางบ้านที่ไหนว่าดีงามสำหรับเด็กก็ไปมาหมดแล้ว ทีนี้ก็เริ่มเครียดละ ต้องเสาะหากิจกรรมแปลกใหม่อยู่ร่ำไป แต่เท่าที่แม่สัมผัส เด็กสามารถอยู่กับสิ่งซ้ำๆ ได้ สวนสัตว์ ไปสิบครั้งได้ หรือเคยไปพิพิธภัณฑ์แล้วก็ไปซ้ำได้ เด็กมักจะมีมุมมองใหม่ๆ เสมอ ถ้าเขามีเพื่อนเล่น เพื่อนเล่นคือสิ่งสำคัญ ถ้าไม่มีพี่น้อง เพื่อนเล่นก็คือ พ่อแม่ พ่อแม่ต้องลดอายุให้เท่ากับเขา เท่าที่เคยเลี้ยงเรไรมาหกปีคนเดียว เราก็เครียดว่าจะทำยังไงดี เราไปมาครบหมดแล้ว แต่ตอนหลังเมื่อมีลูกสามคน ก็พบว่า ไปซ้ำก็สนุกได้ เพราะเมื่อเขาเล่นด้วยกัน ก็จะคิดหาอะไรสนุก ๆ ทำด้วยกันได้เสมอ คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกังวล เขาไปในที่ซ้ำ ๆ ได้ ทำเรื่องซ้ำ ๆ ได้ แค่ให้อิสระในการเล่นและเผื่อเวลาให้เขาสนุกได้มากพอ แต่ถ้าไม่รู้จะทำอะไรเกมง่าย ๆ เช่น การชวนลูกเปิดประสาทสัมผัสทั้งห้า ก็เพิ่มความเพลิดเพลินได้ไม่น้อย อีกทั้งพ่อแม่ไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรมากมาย

ยกตัวอย่างเช่นเมื่อไปเที่ยวกัน แม่ก็จะตกลงกับลูก ๆ ว่า เราจะเน้นเปิดประสาทจมูกรับกลิ่นมากกว่าประสาทสัมผัสอื่น เหมือนเล่นเกมแข่งกันว่าไปเที่ยวกันคราวนี้ ใครจะเก็บกลับมากลิ่นได้มากที่สุด ห้ามพูดห้ามบอกสิ่งที่ตัวเองได้กลิ่น จดจำไว้เงียบๆ  ให้โจทย์สั้นๆ แค่นี้ พอกลับถึงบ้านมาเฉลยกันว่าใครได้กลิ่นอะไรบ้าง แม่มีรางวัลให้คนที่มีจมูกไวที่สุด แทนที่จะเดินเล่นอย่างไม่มีเป้าหมาย การมีกิจกรรมนี้ก็จะทำให้เขาสนุกและได้ฝึกความช่างสังเกตไปในตัว สุดท้ายแม่ก็จะได้ฟังลูกพูดถึงกลิ่นต่าง ๆ อย่างเพลิดเพลิน กลิ่นดอกไม้หอม ๆ กลิ่นไก่ย่างโชยมา กลิ่นท่อไอเสียรถยนต์ กลิ่นหอมของขนม บางกลิ่นก็ไม่รู้ว่าอะไรแต่พยายามอธิบายลักษณะของกลิ่นนั้น เช่น มัน ฉุน ๆ ตุ ๆ และเปรี้ยว ๆ  แล้วเราก็จะช่วยกันคิดช่วยกันเดามามันคือกลิ่นอะไร  นอกจากเรื่องกลิ่นแล้วแม่ก็เปลี่ยนโจทย์วนไปเป็น เรื่องของเสียง รสสัมผัส การมองเห็น และการจับต้อง เพื่อให้ลูกสนุก

นอกจากกิจกรรมที่ดูไม่เหมือนกิจกรรมแต่ทำให้เด็กๆ สนุกและเพิ่มพูน ความรู้ ประสบการณ์ ซึ่งจะหล่อหลอมให้พวกเขากลายเป็นคนช่างสังเกต จดจำ มีความคิดสร้างสรรค์ และรักการอ่านเขียนแล้ว สิ่งที่คุณแม่จั่นมอบให้กับลูกๆ ก็คือ การทำให้ทุกวันเป็นเหมือนวันปิดเทอม คือ มีกิจกรรมสนุกและทำให้พวกเขาเข้าใจชีวิตมากขึ้น

“เด็กบ้านนี้ไม่ได้เฝ้ารอปิดเทอมหรือวันหยุด เราพูดกรอกหูกับเด็กๆ เลยว่า เวลาเรียนในห้องเรียนต้องตั้งใจฟังครูสอน พอกลับบ้าน ปิดเทอม หรือวันหยุด จะเป็นเวลาเล่นสนุก เพราะฉะนั้น เรไรจะได้เกรดสี่ตลอด ทั้งที่ไม่ได้คร่ำเคร่ง หรือต้องไปเรียนติวอะไร

แต่เขาตั้งใจฟังครูในห้อง เขาตั้งใจเรียนตามที่แม่บอก ก้อนเมฆกับสายลมก็เหมือนกัน ครูบอกเวลาเรียนตั้งใจ พอถึงเวลาแม่ไปรับกลับบ้าน คือ แฮปปี้มาก เหมือนคำว่า แม่ แปลว่า ได้เล่นสนุก พวกเขาจึงไม่ได้ตั้งตารอวันหยุดหรือวันปิดเทอม เขารู้ว่าต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เขาต้องทำให้เสร็จก่อน ทำไมเด็กต้องเรียน ทำไมเด็กต้องทำการบ้าน ในเด็กถ้าเราอยากให้เขารู้จักเหตุผล เราก็พูดเป็นเหตุเป็นผลกับเขาไปเรื่อย ๆ ซ้ำ ๆ แต่พูดในบริบทที่เด็กเข้าใจได้ ถึงแม้พูดจนเราหรือเขาเบื่อก็ยังต้องทำต่อไป

เขาไม่ได้เฝ้ารอวันหยุดเพราะทุกวันเขาสนุกอยู่แล้ว เราให้เรียนใกล้บ้าน โชคดีที่ใกล้บ้านเรามีโรงเรียนที่มีคุณภาพ ห้านาทีสิบนาทีถึงแล้ว สามโมงครึ่ง สี่โมงเย็นถึงบ้าน นอนสองทุ่ม เขามีเวลาเล่นเยอะมาก แต่ยังมีปัญหาเหมือนหลายบ้านคือถ้าให้เลือกเด็กก็จะชอบเล่นเกมในมือถือหรือไอแพด แม่จึงต้องสอนให้เข้าใจเรื่องความหลากหลาย โดยให้ความสำคัญกับความหลากหลาย ฝึกลูกกินอาหารให้หลากหลาย ชวนลูกเล่นให้หลากหลาย เปลี่ยนกิจกรรมไปเรื่อยๆ เกม ยูทูป อ่านหนังสือ ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน ต่อเลโก้ และอื่นๆ ไม่ปล่อยให้ทำอย่างใดอย่างหนึ่งแบบเสพติดนาน ๆ ถึงแม้จะรู้ว่าลูกชอบมากแค่ไหน ฝึกจนเป็นนิสัย เพราะฉะนั้นเขาจะเป็นเด็กที่เล่นไปได้เรื่อยๆ ไม่ติดอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะเรื่องเด็กติดเกมที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่ของหลาย ๆ ครอบครัว  เมื่อก่อนตอนเด็กกว่านี้ เรไรก็ดูไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมแม่ชอบบอกให้เล่นกับเพื่อนให้ได้ทุกคนเล่นให้หลากหลาย จนวันหนึ่งเพื่อนสนิทเปลี่ยนไปเล่นกับคนอื่นก็เศร้า ล่าสุดเพื่อนย้ายโรงเรียนก็เศร้าบอกว่า “พรีมไม่อยู่ หนูก็ไม่มีใคร”  คิดว่าตอนนี้เขาน่าจะเข้าใจความหลากหลายที่แม่พร่ำบอกได้ดีขึ้น

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในการสอนลูกให้รู้สึกสนุก มีความสุข และเห็นค่าในกิจกรรมที่ทำก็คือ “เรไรรายวัน” เพจการเขียนบันทึกของเด็กหญิงตัวน้อย ที่เริ่มต้นขึ้นจาก “เพื่อนแม่อยากอ่านบันทึกหลาน” เท่านั้น แต่เมื่อคุณแม่ผลักดันให้การเขียนนี้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง เพจเขียนบันทึกน่ารักๆ ก็กลายเป็นประโยชน์ต่อคนหมู่มากขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ

“ตอนนั้นไม่รู้ว่าการทำเพจมันกระจายไปไวรอลได้ จนมีคนเพิ่มมาได้จากสิบ เป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น เพราะมีคนแชร์ คนที่เข้ามาส่วนใหญ่เป็นพ่อแม่ทีมีลูกวัยเดียวกัน ครูที่อยากให้นักเรียนเขียนบันทึก วัยรุ่นที่เห็นว่าน้องเจ๋งดี อีกกลุ่มคือคนที่ไม่มีลูก และบันทึกของต้นหลิวทำให้เขาคิดถึงวัยเด็ก

เราคุยกันกับเรไรว่า สื่อโซเชียลมันทำให้คนรู้จักลูกมากขึ้น สิ่งที่เขียนมันกระจายออกไปในวงกว้าง เพราะฉะนั้นเราน่าจะใช้ตรงนี้ให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมบ้างถ้าเราทำได้ และเมื่อเราพบว่าบางคนอ่านไม่ได้ เช่น เป็นผู้มีความบกพร่องทางสายตา หรือเด็กเล็กที่ยังอ่านไม่ออก แม่จึงชวนเรไรว่า อ่านบันทึกไหม แล้วแม่อัพเป็นคลิปเสียงลงในเพจ เหมือนเป็นนิทานก่อนนอนให้คนเปิดฟัง แล้วกิจกรรมนี้ก็ทำให้เขาอ่านหนังสือได้คล่องขึ้น หรือ ประโยคไหนเขียนยาวไม่เว้นวรรค พอตัวเองอ่านแล้วหายใจแทบไมทัน เขาก็จะรู้ว่า ควรเว้นวรรคหรือปรับเป็นสองหรือสามประโยคก็ได้

“อยากจะบอกกับทุกๆ คนว่า การเขียนบันทึก ไม่ใช่เรื่องพิเศษ เรไรไม่ใช่คนแรกหรือคนเดียวที่เขียนได้เขียนเป็น แต่สิ่งที่ทำให้เรไรเป็นที่รู้จัก คือ เขียนทุกวันไม่ล้มเลิก สิ่งที่เขาได้ก็คือ ความอดทน ความเพียร ความมุ่งมั่น และความคิดที่เป็นระบบระเบียบขึ้นเรื่อย ๆ  ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทุกคนก็ทำได้ แค่ลงมือเขียนทุกวันเท่านั้น”

เคล็ดลับในการทำกิจกรรมทุกกิจกรรมกับลูก ๆ ของคุณแม่ชนิดา คือ ต้องตั้งใจ ไม่ว่าคุณจะมีเวลาเท่าไร การจัดสรรเวลาให้ลูกได้ทำกิจกรรมของพวกเขาถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเด็กอาจยังแบ่งเวลาเองไม่เป็น หรือไม่รู้ว่าอะไรควรทำก่อนหลัง

“แม่มักจะบอกลูกว่า ไม่จำเป็นต้องทำการบ้านก่อนเล่นเสมอไป ถ้าอยากเล่นแล้วแบ่งเวลาเผื่อไว้ทำการบ้าน และต้องมั่นใจว่าทำเสร็จแน่นอน แบบนี้แม่ยอมให้เล่นก่อนได้ แม่ก็ต้องทำอย่างอื่นนอกจากเลี้ยงลูกนะ แต่เรามีเวลาแค่ไหน เราก็ต้องทำแค่นั้น เช่น ปกติมีเวลาเล่นกับลูกหลายชั่วโมง แต่บางวันเรายุ่งมากอาจเหลือเวลากับเขาแค่สามสิบนาที ในสามสิบนาทีนี้เราอาจจะต้องใส่ความพยายามมากขึ้นเพื่อให้เป็นเวลาที่มีคุณภาพ แม้จะบอกว่าเวลาไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่การจัดเวลาให้กับลูกคือสิ่งสำคัญ สิ่งต้น ๆ ที่แม่สอนเขา คือ การดูเวลา น้องแฝดรู้เรื่องเวลาตั้งแต่ยังดูนาฬิกาไม่เป็น เขาจะรู้ว่าฟ้ามืดแล้วต้องหยุดเล่น กลับเข้าห้องเตรียมนอน ทุกคนมีเวลาเท่ากัน แต่มีที่อยากทำไม่เท่ากัน เรื่องนี้เราจึงต้องจัดสรรเวลา”

….แล้วปิดเทอมของลูก จะไม่ได้มีเวลาจำกัดอีกต่อไป…

สูตรเด็ดขนมไทย

ขนมตาล

ส่วนผสม

  1. เนื้อลูกตาลสุก 350 กรัม
  2. แป้งข้าวเจ้า 500 กรัม
  3. กะทิ 3 ถ้วย
  4. น้ำตาลทราย 300 กรัม
  5. ผงฟู 1 ช้อนโต๊ะ
  6. มะพร้าวทึนทึกขูดเส้นเล็กคลุกเกลือเล็กน้อยสำหรับโรยหน้า 2 ถ้วย

วิธีทำ

  1. นำน้ำตาลกับกะทิมาละลายให้เข้ากัน
  2. เติมเนื้อตาลลงไปคนให้เข้ากัน จากนั้นใส่แป้งและผงฟูลงไปคนให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกันจนเนียน
  3. กรองส่วนผสมด้วยผ้าขาวบาง พักไว้ประมาณ 10 นาทีให้ส่วนผสมขึ้น
  4. เตรียมซึ้งสำหรับนึ่งโดยใช้ไฟกลางเตรียมไว้ ตักส่วนผสมยอดลงในถ้วยตะไลจนเต็มถ้วย นึ่งราว 20 นาที 
  5. สำหรับมะพร้าวทึนทึก นึ่งบนน้ำเดือดประมาณ 15 – 20 นาที เช่นกัน 
  6. พักขนมตาลให้เย็นแซะออกจากถ้วย และโรยมะพร้าว

 

ขนมถ้วยใบเตย

ส่วนผสมตัวขนม

  1. แป้งข้าวเจ้า 50 กรัม
  2. แป้งถั่วเขียว 1 ช้อนโต๊ะ
  3. แป้งท้าวยายม่อม 3 ช้อนโต๊ะ
  4. น้ำตาลปี๊บ 200 กรัม
  5. น้ำใบเตยคั้น 1/2 ถ้วย
  6. หางกะทิ 1 ถ้วย

ส่วนผสมหน้าขนม

  1. หัวกะทิ 1+1/2 ถ้วย
  2. แป้งข้าวจ้าว 3 ช้อนโต๊ะ
  3. เกลือป่น 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ

  1. ผสมแป้งทั้ง 3 ชนิดไว้ในชาม ค่อยๆเติมน้ำใบเตยลงไปโดยใช้มือนวดจนแป้งจนแป้งละลายหมดไม่เป็นเม็ดๆ จากนั้นใส่น้ำตาลปี๊บและนวดให้เข้ากัน ค่อยใส่หางกะทิ และนวดให้เข้ากันอีกรอบ จากนั้นนำส่วนผสมไปกรอง
  2. จากนั้นตั้งไฟนำถ้วยตะไลไปนึ่งรอสัก 7-10 นาที
  3. หันไปเตรียมหน้าขนมด้วยการ นำแป้งข้าวเจ้า เกลือ และหัวกะทิผสมจนเข้ากันและกรองอีกรอบเพื่อป้องกันแป้งที่ไม่ละลาย
  4. จากนั้นเปิดซึ้งหยอดส่วนตัวขนมลงไป ขั้นตอนนี้ขนขนมอีกรอบก่อนหยอด พอหลอดเสร็จนึ่งราว 7-10 นาที
  5. ตัวขนมเสร็จแล้วหยอดหน้าขนมลงไป และนึ่งต่ออีกในเวลาเท่าๆกัน
  6. พักให้เย็นแซะออกจากถ้วย  หรือจะกินจากถ้วยก็อร่อย

DIY ที่รองแก้วจากฝาขวด

ปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีกว่า โลกใบนี้กำลังเผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาของขยะ ที่คนเป็นผู้สร้างขึ้นมาเอง

ทำอย่างไรให้ชีวิตประจำวันของเรานั้นสามารถลดปริมาณขยะได้น้อยลงและลดปริมาณของเสียให้เหลือน้อยลงได้นั้น

ซึ่งปัจจุบันมีแนวคิดที่ส่งเสริมการหมุนเวียนทรัพยากรให้กลับมาใช้ใหม่ได้ เป็นการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และลดปริมาณของเสียที่เกิดขึ้นให้ลดน้อยลง จะเป็นการใช้หลักการที่เรียกว่า Zero Waste นั่นเอง (ลดปริมาณขยะ และนำสิ่งของที่ใช้ได้ นำกลับมาใช้ใหม่)

มี 1 วิธีง่ายๆ นั้นก็คือ การนำวัสดุที่ผ่านการใช้งานแล้วนำกลับมาใช้งานใหม่ (Reuse)

วันนี้เรามีวิธีลดขยะกัน โดยการนำฝาพลาสติกที่ไม่ใช้งานแล้ว นำมาประดิษฐ์เป็นที่รองแก้วน้ำ หรือตกแต่งตามต้องการ ลองมาดูนะคะ ไม่ยากเลย

DIY ที่รองแก้วฝาขวด

วัสดุ

  1. ฝาขวดพลาสติกล้างให้สะอาด
  2. ปืนกาว , กาวแท่ง
  3. สีสเปรย์สำหรับตกแต่ง

ขั้นตอนการทำ

  1. เลือกฝาพลาสติกที่เท่าๆกันมาวางเรียงกัน
  2. ใช้ปืนกาวยึดติดเข้าด้วยกันให้เป็นรูปทรงที่วางไว้
  3. รอให้กาวแห้ง ตรวจสอบความเรียบร้อย
  4. พ่นสีสเปรย์ตามต้องการ โดยพ่น 2-3 รอบเพื่อความเนียน
  5. นำไปตากให้แห้ง พร้อมใช้งานได้เลย 😀

ทุนฟรี ทุนดี มีในโลก

มามุงกันเลยค่ะ ว่าในโลกใบนี้มีทุนการศึกษามากมายที่ฟรี ทุนดีด้วยค่ะ ปิดเทอมสร้างสรรค์จึงขอรวบรวมทุนดีทุนฟรีมามาให้เพื่อทุกคนจะได้เตรียมตัวกันล่วงหน้า หากต้องการลองสนามพิชิตทุนกัน

Chevening Scholarships 

ทุน Chevening จากรัฐบาลอังกฤษ ทุกๆ ปีนักศึกษากว่า 1,000 คนจาก 130 ประเทศทั่วโลกจะได้รับโอกาสในการศึกษาต่อในระดับปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษแบบเต็มจำนวน เพื่อสนับสนุนผู้ที่มีศักยภาพที่จะกลายเป็นผู้นำในอนาคตได้  เพื่อที่จะได้นำความรู้ กลับมาพัฒนาประเทศและสังคม ทุนนี้ครอบคลุมทุกอย่างตั้งแต่ค่าเล่าเรียน ค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับ ค่าใช้จ่ายรายเดือน ฯลฯอีกด้วย

การคัดเลือก

  • มาจากประเทศที่อยู่ในรายชื่อที่ทุน Chevening ให้ 
  • ต้องเดินทางกลับไปอยู่ประเทศของตัวเองอย่างน้อย 2 ปีหลังจากเรียนจบ 
  • จบปริญญาตรีหรือสูงกว่าโดยได้เกียรตินิยมอันดับ 2 เป็นอย่างน้อย 
    • ทำงานหรือมีประสบการณ์ในด้านที่เกี่ยวข้องมาอย่างน้อย 2 ปี

สำหรับผลสอบทางภาษาอังกฤษสามารถยืนได้อย่างใดอย่างหนึ่ง

  • IELTS 6.5 โดยไม่มีพาร์ทใดต่ำกว่า 5.5 คะแนนเลย
  • Pearson PTE Academic 58 โดยไม่มีพาร์ทใดต่ำกว่า 42 คะแนนเลย
  • Cambridge English: Advanced (CAE) 176 โดยไม่มีพาร์ทใดต่ำกว่า 162 คะแนนเลย
  • TOEFL iBT 79 โดยแต่ละพาร์ทต้องมีคะแนนอย่างต่ำดังนี้ Listening 17, Reading 18, Speaking 20, และ Writing 17
  • หรือจบปริญญาตรีมาจากประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก

ใครสนใจก็ลองเข้าไปเช็คได้เรื่อยๆ มีการเปิดทุกปี แต่คนที่สนใจต้องสมัครล่วงหน้า 1 ปี  https://www.chevening.org/thailand


Fulbright Scholarships

ทุนนี้มาจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ที่มีนักศึกษากว่าแลกเปลี่ยนกับ 155 ประเทศทั่วโลก มาแลกเปลี่ยนราวม 1,800 คน สำหรับทุนนี้เป็นทุนของนักศึกษาที่มีระดับผลการเรียนยอดเยี่ยม มีทั้งระดับปริญญาโทหรือปริญญาเอกในสหรัฐอเมริกา 

Fulbright Scholarships  ครอบคลุมทุกค่าใช้จ่ายตั้งแต่ค่าเล่าเรียน ค่าหนังสือเรียน ค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าใช้จ่ายรายเดือน และประกันสุขภาพ 

สำหรับปีนี้เปิดรับถึง 16 ตุลาคม 2563

การคัดเลือก

  • สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี หรือกำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนสุดท้าย โดยต้องมีใบรับรองผลการเรียน ชั้นปีสุดท้ายมายืนยัน หรือจบการศึกษาระดับปริญญาโทจากสถาบันใดก็ได้มาแล้วหรือในระยะเวลาเปิดรับสมัครทุน 
  • มีผลคะแนนสอบ TOEFL iBT อย่างน้อย 80 คะแนนขึ้นไป โดยผลสอบต้องมีอายุไม่เกิน 2 ปี 
  • หากมีประสบการณ์การทำงานจะได้รับการพิจารณาเพิ่มเติม
  • ผลการเรียนเฉลี่ย 3.0

ใครสนใจก็ลองเข้าไปเช็คได้เรื่อยๆ มีการเปิดทุกปีเช่นกัน http://www.fulbrightthai.org/


ทุน Erasmus Mundus 

ทุนการศึกษาจากสหภาพยุโรปถายใต้ความร่วมมือของมหาวิทยาลัยชั้นนำในยุโรป เปิดสาขาวิชาและมีการให้ทุนกับนักศึกษาจากประเทศนอกสหภาพ 

การคัดเลือก

  • คะแนนทักษะภาษาอังกฤษ 
  • ผลการศึกษาและความสามารถทางวิชาการ 
  • จดหมายรับรองและจดหมายแนะนำตัว 
  • ผลงานอื่นๆ 
  • ทุน Erasmus เป็นทุนที่มีทั้งในระดับปริญญาโทและระดับวิจัยคือปริญญาเอกและหลังปริญญาเอก มีการให้ทุนทั้งแบบเต็มจำนวนและไม่เต็มจำนวน

สนใจติดตามได้ที่ https://eacea.ec.europa.eu/erasmus-plus_en


ทุนป.โทคณะนิติศาสตร์ Monash University ประเทศออสเตรเลีย

ปิดรับสมัคร: 20 ตุลาคม 2019

ทุนนี้มอบให้นักศึกษาต่างชาติที่มีผลการเรียนในระดับท็อป 5% หรือมีหลักฐานที่แสดงถึงผลการเรียนและกิจกรรมที่โดดเด่น โดยต้องมาเรียนแบบเต็มเวลา

จำนวน 20,000 เหรียญออสเตรเลีย 

การคัดเลือก

  • ตัดสินจากผลการเรียน
  • ผู้สมัครจะต้องเขียน Personal aspiration statement ความยาว 500 คำ
  • ต้องรักษาระดับผลการเรียนให้ได้ 60% ขึ้นไปในแต่ละภาคการศึกษา
    • ต้องเป็นนักศึกษาแบบเต็มเวลา

สมัครได้ที่ https://docs.google.com/forms/d/1Q6hBaRKWCy1ABPikiGXnJCbx_FbdJzo4SmBflhE3_xs/viewform?edit_requested=true


ทุน Jiangsu Normal University

รัฐบาลมณฑลเจียงซู สาธารณรัฐประชาชนจีนที่มอบให้นักศึกษาต่างชาติมาเรียน มีหลายรูปแบบ ทั้งทุนเต็มจำนวน และทุนบางส่วน 

การคัดเลือก

  • นักศึกษาต่างชาติ
  • สำหรับผู้สมัครในระดับวิทยาลัยและระดับปริญญาตรี จะต้องมีประกาศนียบัตรชั้นมัธยมปลาย ที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในระดับดี และจะต้องมีอายุต่ำกว่า 30 ปี
  • สำหรับผู้สมัครหลักสูตรปริญญาโท ต้องจบปริญญาตรีและมีอายุต่ำกว่า 35 ปี
  • สำหรับผู้สมัครหลักสูตรปริญญาเอกต้องมีวุฒิปริญญาโทและมีอายุต่ำกว่า 40 ปี
  • ผู้สมัครต้องยอมรับการปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องของสาธารณรัฐประชาชนจีน รวมถึงข้อกำหนดอื่นๆ ของทางมหาวิทยาลัยด้วย 
  • ผู้สมัครต้องมีประวัติการศึกษาที่ดี
  • ผู้สมัครไม่สามารถรับทุนการศึกษาอื่นๆ ที่ได้รับจากรัฐบาลจีน รัฐบาลท้องถิ่นหรือหน่วยงานอื่น ๆ ในเวลาเดียวกัน
  • ต้องมีหลักฐานแสดงความสามารถทางภาษาอังกฤษในระดับที่มหาวิทยาลัยกำหนด

ข้อมูลเพิ่มเติม http://www.studyinjiangsu.org/lxjsxmgl/scholarship_toGoven.do

อุทยานการเรียนรู้ตราด

องค์การบริหารส่วนจังหวัดตราด ได้ปรับปรุงอาคารที่ว่าการอำเภอเมืองตราดหลังเก่า บนถนนสันติสุข จัดสร้างเป็นศูนย์การเรียนรู้ตลอดชีวิตจังหวัดตราด หรือ อุทยานการเรียนรู้ตราด และเปิดบริการอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2556 มีจุดหมายเพื่อเสริมสร้างสังคมแห่งการอ่าน และร่วมพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ให้แก่เด็ก เยาวชน และประชาชน

พิพิธภัณฑ์เมืองอัญมณี

ในอดีตที่ผ่านมาตำบลบ่อพลอย อำเภอบ่อไร่ จังหวัดตราด เป็นแหล่งที่มีความเจริญรุ่งเรือง อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ คือ พลอย (ทับทิมสยาม) ซึ่งมีจำนวนมาก มีนักแสวงหาโชคได้ย้ายถิ่นฐานมาจากทั่วสารทิศ เดินทางเข้ามาขุดพลอยทำเหมืองพลอย ในตำบลบ่อพลอย เป็นจำนวนมาก การค้าขาย สังคมเศรษฐกิจเจริญรุ่งเรืองมากจนกระทั่งประมาณปี พ.ศ. 2540 การขุดพลอย ร่อนพลอย ทำเหมืองพลอยเริ่มซบเซา เนื่องจากพื้นที่ที่เปิดสัมปทานเริ่มหมด ไม่สามารถ ทำการขุดพลอย ร่อนพลอย หรือทำเหมืองพลอย ทำให้อาชีพของคนทำพลอยเริ่มเลือนหายไปด้วย

เว็บไซต์นี้มีการใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายคุกกี้และ นโยบายในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า