โฮงฮอมผญ๋า โฮงยาหมอเมืองล้านนา

โฮงฮอมผญ๋า โฮงยาหมอเมืองล้านนา หรือ ศูนย์เรียนรู้ชุมชนตำบลนางแล ตั้งอยู่ภายในวัดพระธาตุดอยโอ่ง ก่อตั้งขึ้นเพื่ออนุรักษ์และสืบสานศาสตร์ล้านนา และเป็นการเผยแพร่ความรู้ด้านต่าง ๆ ภายในศูนย์มีกิจกรรมเผยแพร่วิชาแพทย์ทางเลือกแห่งล้านนาโบราณ โดยพระเมธาวินทร์ แสนธิ เป็นผู้ฝึกสอน วิชาแพทย์ทางเลือกแห่งล้านนาโบราณนั้นจะใช้พืชสมุนไพรในการรักษา ทั้งการตอกเส้น การย่ำขาง การนอนย่างสมุนไพร แช่เท้าสมุนไพร สปาสุ่มไก่ การเช็ดใบไม้ และการแหกเขาควายฟ้าผ่า ลักษณะภายในศูนย์จะมีซุ้มหลายซุ้ม จัดแสดงสมุนไพรสำหรับใช้ในการรักษาแบบล้านนาโบราณ และมีแคร่ไม้ไผ่สำหรับให้บริการนวดเพื่อการรักษาแบบล้านนาโบราณแก่ผู้ที่มาเยียมชม

พิพิธภัณฑ์จักรยาน หรือ The Hub ก่อตั้งขึ้นโดยคุณอลัน เบท เพื่อเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้ของผู้ที่ชื่นชอบจักรยาน เป็นบ้านครึ่งปูนครึ่งไม้ 2 ชั้น ภายในเปิดเป็นร้านกาแฟสดสำหรับให้นั่งพักนั่งคุยทักทายกัน ให้บริการตั้งแต่ 10 โมงเช้าจนถึงเที่ยงคืน โดยมีการจัดแสดงแบ่งเป็น 2 ชั้น ชั้นล่างจัดแสดงจักรยานหลากหลายรูปแบบ ทั้งรุ่นเล็ก รุ่นใหญ่ รุ่นเก่า รุ่นใหม่ จักรยานทีมีความแปลก เช่น จักรยานล้อเดียว จักรยานพับ เป็นต้น และจักรยานที่ใช้ลงสนามต่าง ๆ ของคุณอลัน มีเสื้อจากการแข่งขันในสถานที่ต่าง ๆ ของคุณอลันแขวนอยู่โดยรอบ นอกจากนี้ยังมีของสะสม เช่น แสตมป์ ขวดน้ำ ตั้งโชว์อยู่ ชั้นบนจัดแสดงจักรยานที่มีอายุกว่า 150 ปี จักรยานที่ผ่านสงครามโลก ประวัติการแข่งขันของคุณอลัน หนังสือพิมพ์ที่ลงข่าวชัยชนะของคุณอลัน ถ้วยรางวัล และ เหรียญรางวัล

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงแสน

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เชียงแสน จัดเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสาขาประจำแหล่งโบราณคดี การจัดแสดงมุ่งเน้นในทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ศิลปะ ที่เกี่ยวข้องกับการตั้งหลักแหล่งของชุมชน ตั้งแต่ระยะแรกเริ่มสมัยก่อนประวัติศาสตร์จนถึงสมัยประวัติศาสตร์

พิพิธภัณฑ์และศูนย์ศึกษาชาวไทยภูเขา

พิพิธภัณฑ์และศูนย์ศึกษาชาวไทยภูเขา  เป็นแหล่งรวบรวมเครื่องมือเครื่องใช้เก่าๆ รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับประเพณีวัฒนธรรมที่สำคัญของแต่ละชาติพันธุ์  เพื่อเป็นที่ศึกษาเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของชาติพันธุ์ตนเองให้กับเด็กและเยาวชนกลุ่มชาติพันธุ์ที่จะเกิดมาในอนาคต  ซี่งหาดูได้ยากในสังคมบนพื้นที่สูง รวมทั้งเป็นแหล่งศึกษาหาความรู้ในเรื่องราวเกี่ยวกับชาติพันธุ์เผ่าต่างๆ ที่มีอยู่ในประเทศไทย ให้กับผู้สนใจทั่วไป โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่มาจากต่างประเทศ ตลอดจนรวมถึงนักเรียนนักศึกษาในสถาบันการศึกษา เป็นต้น

หมอแนะเลี้ยงลูกวัยรุ่น พ่อแม่ต้องจัดการอารมณ์ตัวเองก่อน เลี้ยงแบบเข้าใจ-ไม่จ้องจับผิด

“หม่าม้าเลี้ยงลูกมา 18 ปี แต่เหมือนกับไม่เคยรู้จักลูกของตัวเองเลย” 

“ทำไมลูกเราขี้โมโหจัง มีเรื่องชกต่อยไม่เว้นแต่ละวัน”

“เมื่อก่อนเคยตั้งใจเรียน ทำไมเดี๋ยวนี้เกเรจัง”

ผศ.พญ.ปราณี เมืองน้อย กุมารแพทย์ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์  ได้ให้นิยามของคำว่า “วัยรุ่น” หมายถึงช่วงเปลี่ยนผ่านจากความเป็นเด็กไปสู่การเป็นผู้ใหญ่ ไม่เพียงทางด้านร่างกาย แต่ยังรวมถึงความคิด จิตใจด้วย ในเวลานี้พ่อแม่จึงอาจรู้สึกว่าลูกมีอารมณ์แปรปรวน อ่อนไหวง่าย หรือพูดอะไรนิดหน่อยก็โกรธ ไม่พอใจ ต่อต้าน ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ก่อนหน้านี้ลูกไม่เคยเป็น

พญ.ปราณีดังนั้นวันนี้ ผศ.พญ.ปราณี ให้คำแนะนำไว้ว่า ในเวลานี้พ่อแม่ควรเปิดใจให้กว้าง ทำความเข้าใจลูก หากลูกมีคำพูดหรือพฤติกรรมต่อต้านไม่เชื่อฟัง อย่าถือว่านั่นเป็นตัวตนของลูก แต่ควรเข้าใจว่า นี่เป็นอีกช่วงพัฒนาการหนึ่งของลูก ไม่ต่างกับตอนที่ลูกเป็นเด็กเล็ก มีงานวิจัยจาก Berlin’s Max Planck Institute ที่พบว่าการเชื่อมโยงเส้นใยสมองของวัยรุ่นอายุ 13 – 17 ปี มีความเหมือนกับพัฒนาการสมองของเด็กก่อนวัยเรียน อายุ 2 – 3 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่ลูกมักมีร้องอาละวาด เอาแต่ใจ  แต่เมื่อเกิดขึ้นในวัยรุ่น ที่ทักษะการสื่อสารพัฒนาเต็มที่แล้ว การเลือกใช้คำ และความคิดที่ซับซ้อนขึ้น ก็อาจทำให้พ่อแม่ปวดหัวมากกว่า

คำแนะนำยังมีเพิ่มเติมว่า คุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครองอาจต้องเฝ้าสังเกตพฤติกรรมลูกอยู่ห่างๆ อย่างใกล้ชิด นั่นคือเฝ้าดูแต่ต้องไม่ทำให้ลูกรู้สึกอึดอัด ใส่ใจแต่ไม่ใช่จ้องจับผิด หากเห็นว่าลูกมีพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงซ้ำๆ หลายครั้ง แม้จะตักเตือนแล้ว เช่น มีเรื่องชกต่อย รอยฟกช้ำไม่เว้นวัน หรือมีบุคลิกที่เปลี่ยนไปจากหน้ามืดเป็นหลังมือ เก็บตัวมากขึ้น อารมณ์ฉุนเฉียวจนถึงขั้นทำข้าวของเสียหาย ระงับอารมณ์ตัวเองไม่ได้ เปลี่ยนกลุ่มเพื่อนกะทันหัน  ติดเกมหรือกิจกรรมใดหนึ่งๆ อย่างหนักจนเสียการเรียนและกระทบชีวิตประจำวัน นี่อาจเป็นสัญญาณว่าลูกจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือ 

เมื่อพบว่าลูกมีพฤติกรรมสุ่มเสี่ยง สิ่งที่พ่อแม่ควรทำคือจัดการกับอารมณ์ของตัวคุณเองก่อน!

สิ่งที่พ่อแม่ต้องทำคือ จัดการความเครียด ความโกรธความกังวล ให้ตัวเองสงบที่สุดก่อนที่จะพูดคุยกับลูก ฟังลูกอย่างตั้งใจ โดยไม่ตัดสิน และไม่พูดแทรกแม้จะเป็นการให้คำแนะนำ เพราะสิ่งที่ลูกวัยรุ่นต้องการคือความเข้าใจและการที่พ่อแม่มองเห็น คุณค่าในตัวเขา ระหว่างที่ฟังลูกให้มองสบตาลูกตลอด ไม่ใช่ฟังไปกดโทรศัพท์ไป คุณพ่อคุณแม่ควรแสดงให้ลูกเห็นว่าคุณให้ความสำคัญกับเขาจริงๆ หากรู้สึกว่าไม่สามารถช่วยลูกรับมือปัญหาต่างๆ ได้การพบจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นก็อาจเป็นอีกหนทางหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาให้ทั้งพ่อแม่และลูกได้ ดีกว่าปล่อยให้ปัญหาลุกลามกลายเป็นปัญหาสังคมต่อไป

สำหรับพ่อแม่ก็อย่ากดดันตัวเองมากเกินไป เพราะช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของลูก ก็ถือเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านของพ่อแม่ ที่จะต้องปรับตัวและยอมรับการเติบโตของลูกเช่นกันจึงไม่แปลกหากบางครั้งจะรู้สึกว่า เราแทบไม่รู้จักลูกของตัวเองเลย แต่หากนึกย้อนไปลูกของเราก็เปลี่ยนแปลงตามพัฒนาการอยู่ทุกวัน ลูกวัย 6 เดือน ย่อมต่างไปจากวันแรกคลอด ลูกวัยเรียนย่อม พูดเก่งกว่าวัยเตาะแตะ ลูกวัยรุ่น ก็ย่อมเริ่มมีความเป็นตัวของตัวเองมากกว่าทุกๆ วัยที่ผ่านมา พ่อแม่จึงอาจต้องเปลี่ยนบทบาทจากผู้ดูแล ไปเป็นโค้ชชีวิต ที่ค่อยให้คำแนะนำหลังจากปล่อยให้ลูกได้ลองผิดลองถูกเองบ้างแล้ว

…สุดท้ายไม่ว่าลูกจะเปลี่ยนไปอย่างไร สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือความเป็นพ่อแม่ลูก ผศ.พญ.ปราณี กล่าว ทิ้งท้าย 

เปิดเงินเดือนและความจริงที่ต้องเจอของ 10 อาชีพในฝันของคนรุ่นใหม่

เรามาลองเจาะลึกหาคำตอบชอง 10 อาชีพในฝันของหลายๆ คนกันมา แต่ละอาชีพต้องเรียนอะไรถึงจะพิชิตงานนี้ และแต่ละงานเงินเดือนเริ่มต้นกันที่เท่าไหร่

กับ 5 คำถาม และทักษะเพิ่มเติมสำหรับอาชีพเหล่านี้ต้องมีกัน 

1.นักบิน 

ต้องเรียนจบสาขาอะไร : เรียนจบ ป.ตรี สาขาใดก็ได้ แต่สาขาด้านวิทยาศาสตร์ หรือ วิศวกรรมศาสตร์ จะปรับตัวและเข้าใจเนื้อหาได้เร็วกว่า

ความสามารถที่ต้องมี  : ภาษาอังกฤษ อยู่ในเกณฑ์ดี สามารถสื่อสารได้ดี 

ทักษะพิเศษที่ต้องมี : สามารถจัดการปัญหาในสถานการณ์คับขันได้ดี มีมนุษย์สัมพันธ์ดี ชอบปฏิบัติตามกฎ มีความรู้เกี่ยวกับเครื่องยนต์กลไก หรือระบบไฟฟ้าบ้างจะมีประโยชน์  สามารถทำงานหลาย ๆ อย่างได้พร้อมกันโดยที่ไม่ทิ้งงานใดไว้  ทนความกดดันได้สูง

ทำงานวันละกี่ชม.: วันทำงานไม่เป็นเวลา อาจตั้งแต่ 4-5 ชม ไปจนถึง 13-15 ชม ข้ามคืน หรือเช้าตรู่มาก ๆ

เงินเดือนเริ่มต้น : เงินเดือนเริ่มต้น

  • สายราชการ บินเครื่องเล็ก เริ่มต้นราว 4-5 หมื่นบาท 
  • สายการบินเอกชน เริ่มต้นราว 7-9 หมื่นบาท 

แต่อาจมีเบี้ยเลี้ยงเพิ่มตามชั่วโมงบิน รายได้โดยรวมมากกว่าอาชีพทั่วไปมาก แต่ต้องแลกกับความรับผิดชอบที่สูงมาก ๆ

เพิ่มเติม (คำแนะนำในสิ่งที่ต้องใช้ระหว่างการทำงานจริง/สิ่งที่ต้องเจอก่อนประสบความสำเร็จ) : .. ขยันหาความรู้สม่ำเสมอ  อดทน ปฏิบัติตัวดี  เป็นอาชีพที่เรียนรู้ตลอดชีวิต สอบทุก ๆ 6 เดือน ตรวจสุขภาพทุกปี ถ้าไม่ผ่านก็ไม่สามารถทำงานต่อได้


2.แอร์โฮสเตล/สจ๊วต

ต้องเรียนจบสาขาอะไร : จบอะไรก็ได้ เป็นอาชีพที่มีคนจบมาหลากหลายมาก หมอ พยาบาล  นิติ นิเทศ ไม่เน้นถึงคณะที่จบมา

ความสามารถที่ต้องมี  : ภาษาอังกฤษ และภาษาไทยก็ต้องพูดรู้เรื่อง เพราะเป็นงานที่ต้องเจอกับผู้โดยสารทุกชนชาติ 

ทักษะพิเศษที่ต้องมี : service mind เพราะต้องทำงานบริการ ถ้าขาดตรงนี้ไป จะทำงานนี้ไม่มีความสุข

ทำงานวันละกี่ชม.: แล้วแต่ไฟล์ทบิน สั้นสุด50นาทีต่อไฟล์ท สูงสุด14ชั่วโมงต่อไฟล์ท  แล้วแต่สายการบิน

เงินเดือนเริ่มต้น : แล้วแต่สายการบิน บางทีเงินเดือนเริ่มต้นที่12000ยังไม่รวมค่าตำแหน่ง และค่าเพอร์เดี้ยมอีก (คิดตามชั่วโมงบินของแต่ละไฟล์ท)

เพิ่มเติม (คำแนะนำในสิ่งที่ต้องใช้ระหว่างการทำงานจริง/สิ่งที่ต้องเจอก่อนประสบความสำเร็จ) : ต้องมีสุขภาพแข็งแรง เพราะทำงานไม่เป็นเวลา ต้องนอนและทานอาหารให้ดี มีสิทธิป่วยง่ายกว่าอาชีพอื่นๆ ทั้งอากาศ ทั้งผู้คน ทั้งไทม์โซน แต่เป็นอาชีพที่การทำงานมันจบบนไฟล์ท ได้เจอผู้คนหลากหลายมากๆ ต้องค่อนข้าง extrovert พอสมควร เพราะเพื่อนร่วมงานเปลี่ยนตลอด ผู้โดยสารไม่เคยซ้ำ เจอวันละ300-400คน ต้องมีattitude ที่ดี

ได้เงินง่าย และก็ออกไปง่ายเหมือนกัน


3.แพทย์

ต้องเรียนจบสาขาอะไร : แพทยศาสตร์ บัณฑิตย์

ความสามารถที่ต้องมี : ความขยัน อดทนต่อภาวะกดดันรอบตัว

ทักษะพิเศษที่ต้องมี : ความช่างสังเกตุ ช่างซักถามเพื่อหาข้อมูลจากคนไข้ นำไปสู่การวินิจฉัยและการรักษา

ทำงานวันละกี่ชม.: อย่างน้อย8 ชั่วโมง แต่ที่เคยมากสุดคือ72ชม.พัก8ชม แล้วทำงานต่อ ทั้งนี้แล้วแต่สาขาด้วย

เงินเดือนเริ่มต้น :

  • ในระบบเริ่มประมาณ 20,000 บาท ไม่รวมเงินเวรและอื่นๆ
  • คลินิกหรือรพ.เอกชน เริ่มต้นประมาณ70,000 บาท ไม่รวมเงินเวรและอื่นๆ

เพิ่มเติม (คำแนะนำในสิ่งที่ต้องใช้ระหว่างการทำงานจริง/สิ่งที่ต้องเจอก่อนประสบความสำเร็จ) : ต้องมีใจรักในอาชีพ วางตัวให้เหมาะสม  ฝึกฝนupdateความรู้สม่ำเสมอ ให้การรักษาเต็มความสามารถ สุดท้ายนี้อยากจะบอกว่า

“อาชีพของพระบิดา ไม่ร่ำรวย แต่ไม่ยากจน เป็นอาชีพที่ให้เราได้ทำความดีในทุกๆวัน อยู่บนศรัทธาของคนไข้ที่เจ็บป่วยรวมถึงญาติพี่น้องของเขา คิดให้ดีก่อนที่จะเลือกเป็นหมอ”


4.กราฟฟิคดีไซน์

ต้องเรียนจบสาขาอะไร : มีหลายคณะเลยที่เกี่ยวกับการออกแบบทั้งหลาย เช่น ICT, สถาปัตยกรรม, มัณฑณศิลป์

ความสามารถที่ต้องมี  : ใช้คอมคล่อง มีไอเดีย ดูงานกราฟิกสวยๆ บ่อยๆ

ทักษะพิเศษที่ต้องมี : ใช้คีย์ลัดโปรแกรมต่างๆ ให้คล่อง งานจะไวขึ้น

ทำงานวันละกี่ชม.: ทำงานออฟฟิศ 8 ชั่วโมง แต่ถ้าช่วงงานเร่งก็ 10 ชั่วโมงขึ้นไป

เงินเดือนเริ่มต้น : 15,000 บาท

เพิ่มเติม (คำแนะนำในสิ่งที่ต้องใช้ระหว่างการทำงานจริง/สิ่งที่ต้องเจอก่อนประสบความสำเร็จ) : การสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น ถ้าสื่อสารรู้เรื่อง อธิบายได้เข้าใจง่าย จะช่วยให้งานราบรื่นปิดจ๊อบได้ไว


5.บาริสต้า/เจ้าของร้านกาแฟ

ต้องเรียนจบสาขาอะไร : สาขาอะไรก็ได้ แต่ถ้ามีความรู้วิทยาศาสตร์ (เคมี) บ้างก็จะดีในกรณีที่ต้องการศึกษาลึกๆ

ความสามารถที่ต้องมี  : มีใจบริการ และรักการเรียนรู้ (ข้อนี้สำคัญมาก) แต่ถ้าเป็นเจ้าของร้านเองต้องมีความสามารถในการบริหารคน และเรื่องดีไซน์ด้วยก็จะช่วยได้มาก

ทักษะพิเศษที่ต้องมี : ต้องเป็นคนมีไวพริบ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้

ทำงานวันละกี่ชม.: 8 ชม. ขึ้นไป

เงินเดือนเริ่มต้น : ถ้าเป็นบาริสต้าจริงๆ แบบมีความรู้เรื่องกาแฟบ้าง ก็เริ่มต้น 10,000-12,000 แต่ถ้าเป็นที่มีฝีมือจริงๆ ก็สามารถรับงานสอนต่างๆ ได้ด้วย

เพิ่มเติม (คำแนะนำในสิ่งที่ต้องใช้ระหว่างการทำงานจริง/สิ่งที่ต้องเจอก่อนประสบความสำเร็จ) : ถ้าคิดจะทำร้านกาแฟเป็นของตัวเอง ควรจะศึกษาเรื่องกาแฟก่อน อาจจะไปลงคอร์สเรียนเบื้องต้นก่อนก็ได้ ปรับตัวได้เร็ว และมีความคิดสร้างสรรค์


6.นักการตลาด

ต้องเรียนจบสาขาอะไร : ปริญญาตรี  สาขาการตลาด นิเทศศาสตร์ วารสารศาสตร์สื่อสารมวลชน บริหารธุรกิจก็ได้

ความสามารถที่ต้องมี  : มีความครีเอทีฟ วางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดได้ ทั้งสื่อออฟไลน์ ออนไลน์ 

ทักษะพิเศษที่ต้องมี : ภาษาอังกฤษถ้าได้ก็ดีหากต้องติดต่อกับต่างชาติ งานกราฟฟิกดีไซน์  วิเคราะห์ข้อมูลการตลาด

ทำงานวันละกี่ชม. : อย่างน้อย 8 ชั่วโมงหรือมากกว่าขึ้นอยู่กับสถานการณ์

เงินเดือนเริ่มต้น : แล้วแต่องค์กร น่าเริ่มต้น 15,000 บาท

เพิ่มเติม (คำแนะนำในสิ่งที่ต้องใช้ระหว่างการทำงานจริง/สิ่งที่ต้องเจอก่อนประสบความสำเร็จ) : ขยันเรียนรู้เทรนด์และ innovation ใหม่ๆ อดทนต้องแรงกดดัน


7.ดารา/นักแสดง

ต้องเรียนจบสาขาอะไร : เรียนอะไรก็ได้ แต่ต้องมีความรู้ติดตัวเพราะเป็นอาชีพไม่แน่นอน

ความสามารถที่ต้องมี : ร้องเพลง ศิลปะการแสดง บุคคลิกภาพที่ดี 

ทักษะพิเศษที่ต้องมี : มีไวพริบ แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ พูดจาฉะฉาน ภาษาถ้าได้ก็มีโอกาสในงานอื่นๆมากขึ้น

ทำงานวันละกี่ชม.: ไม่เป็นเวลา เช้ามากถึงดึกมาก

เงินเดือนเริ่มต้น : ไม่มีเงินเดือนที่แน่นอน ถ้าเริ่มจากตัวประกอบมีตั้งหลักร้อยถึงหลักพัน ถ้ามีชื่อเสียงมาก หลักหมื่นถึงหลักแสน 

เพิ่มเติม (คำแนะนำในสิ่งที่ต้องใช้ระหว่างการทำงานจริง/สิ่งที่ต้องเจอก่อนประสบความสำเร็จ) : ขยันเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ต้องพัฒนาตัวเองตลอดเวลา อดทนต้องสภาพความกดดัน กินง่ายอยู่ง่าย สุขภาพต้องแข็งแรงเพราะงานหนัก


8.ออแกไนซ์เซอร์

ต้องเรียนจบสาขาอะไร : นิเทศศาสตร์ การตลาด กฎหมายก็ทำได้หมด

ความสามารถที่ต้องมี  : การสื่อสาร ต้องมีความเข้าใจเนื้อหางาน ฉะฉาน เก็บรายละเอียดเก่ง

ทักษะพิเศษที่ต้องมี : ภาษาอังกฤษ ปัจจุบันทำงานกับต่างชาติมากขึ้น ถ้าได้ภาษาก็จะได้เปรียบ

ทำงานวันละกี่ชม.: อย่างต่ำ 8 ชั่วโมง บางทีก็ข้ามวัน ข้ามคืน เพราะทำงานอีเว้นท์ต้องใช้เวลาจัดการหน้างานกลางคืน ตอนเช้าก็ต้องทำงาน

เงินเดือนเริ่มต้น : 15,000 บาท อาจจะมีค่าล่วงเวลา หรือโบนัส ขึ้นอยู่กับบริษัท

เพิ่มเติม (คำแนะนำในสิ่งที่ต้องใช้ระหว่างการทำงานจริง/สิ่งที่ต้องเจอก่อนประสบความสำเร็จ) : ขยัน อดทน เป็นงานที่ทำงานกลางแดด กลางฝน ต้องอดทนต้องทุกสภาวะ สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะได้ แต่ให้ดีต้องมีความแม่นยำในเนื้องาน


9.นักพัฒนาเว็บ

ต้องเรียนจบสาขาอะไร : ถ้าตรงสายก็จะเป็นคณะวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ วิทยาศาสตร์สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือคณะสื่อดิจิทัล แต่ปัจจุบันก็มีคนที่จบสาขาอื่นมาทำบ้าง

ความสามารถที่ต้องมี  : การลำดับความคิดให้เป็นตรรกะ (logic) เพราะการเขียนโปรแกรมจะเน้นพวกตรรกะ เช่น ทำ A แล้วได้ผลลัพธ์เป็น B หรือ ทำ A+B แล้ว C เและภาษาอังกฤษ เพราะส่วนใหญ่คู่มือหรือบทเรียนที่ใช้เป็นภาษาอังกฤษ ถ้าเข้าใจได้ง่าย เราก็จะเรียนรู้ได้เร็ว

ทักษะพิเศษที่ต้องมี : ปรับตัวไว เทคโนโลยีที่ใช้ในการพัฒนาเว็บค่อนข้างจะเป็นเปลี่ยนเร็ว

ทำงานวันละกี่ชม.: วันละ 8 ชั่วโมง แต่เว็บเป็นอะไรที่ต้องออนไลน์อยู่เสมอ บางวันอาจจะมีปัญหาเข้ามาบ้าง เช่น คนใช้ใช้งานไม่ได้ ก็อาจจะต้องค่อยตรวจดู ซ่อมแซมความเรียบร้อยของเว็บ

เงินเดือนเริ่มต้น : 20,000 บาท ขึ้นอยู่กับความสามารถ

เพิ่มเติม (คำแนะนำในสิ่งที่ต้องใช้ระหว่างการทำงานจริง/สิ่งที่ต้องเจอก่อนประสบความสำเร็จ) : อาจจะต้องขยันปรับตัวต้องเทคโนโลยีอยู่เสมอ ตอนนี้ยังมีกลุ่มที่พัฒนาเว็บ จัด meetup กันบ่อย ถ้ามีโอกาสลองทำความรู้จัก แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคนอื่นก็จะทำให้เราพัฒนาความรู้ไปด้วย


10. เจ้าของธุรกิจ

ต้องเรียนจบสาขาอะไร : ส่วนตัวเรียนจบการตลาดมา แต่ก็ไม่ตายตัวว่าต้องจบสาขาอะไร

ความสามารถที่ต้องมี  : การบัญชี การตลาด และการบริหารคน 

ทักษะพิเศษที่ต้องมี : ความรู้เรื่องเกี่ยวกับเรื่องที่ทำ กฎหมาย ภาษี การตลาด

ทำงานวันละกี่ชม.: เจ้าของธุรกิจ ไม่มีวันหยุด ทำทั้งวัน 

เงินเดือนเริ่มต้น : ขึ้นอยู่กับว่าให้เงินเดือนตนเองเท่าไหร่ 

เพิ่มเติม (คำแนะนำในสิ่งที่ต้องใช้ระหว่างการทำงานจริง/สิ่งที่ต้องเจอก่อนประสบความสำเร็จ) : 

  1. ต้องมีความรับผิดชอบ ธุรกิจเหมือนลูก ต้องเอาใจใส่ ทำทิ้งๆขว้างๆไม่ได้
  2. ต้องบริหารคนเป็น แยกแยะเพื่อนและลูกน้อง ไม่พูดพล่าม ต้องรักษาวาจาที่ให้ไว้กับพนักงาน
  3. แบ่งเวลาให้เป็น งานไหนสำคัญ งานไหนเร่งด่วน ทำให้เสร็จเป็นเรื่องๆ อย่าดินพอกหางหมู

Creative club พื้นที่รังสรรค์แก่เหล่านักประดิษฐ์

“อยากทำหุ่นยนต์”

“อยากออกแบบลายผ้า”

“อยากให้ไฟที่บ้านเปิด-ปิดด้วยระบบเสียง”

“อยากออกแบบชุดเอง”

หลายคนมีความคิดที่อยากจะทำส่ิงประดิษฐ์ของตัวเอง แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร และทำที่ไหน วันนี้เว็บไซต์ปิดเทอม สร้างสรรค์ เราหาคำตอบของความฝันเหล่านี้กั 

อานนท์ ทองเต็ม ผู้จัดการดูแล Creative Space ที่ชื่อว่า Pinn Creative space มาเล่าความเป็นมาของครีเอทีฟ สเปซ หรือ Maker Club นั่นเกิดจากแนวที่คิดว่า เมื่อครั้งเราอยากทำหุ่นยนต์สักตัว เราไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน ต้องซื้ออุปกรณ์อะไรบ้าง ประกอบยังไง เราก็มักเดินเข้าไปร้านของอุปกรณ์ช่าง และซื้อทุกอย่างมาหมด สุดท้ายเมื่อลงมือจริง มีหลายอุปกรณ์ไม่จำเป็นต้องใช้ เราเสียเงินฟรี หรือพอประกอบแล้วใช้การไม่ได้ เพราะเราก็ขาดคนแนะนำ ทำให้ความฝันของหลายคนไม่จริง

ปัจจุบันนี้จึงมีการร่วมกลุ่มของเหล่านักประดิษฐ์ทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ มาทำพื้นที่ที่ชื่อว่า Maker club หรือบ้างก็ใช้ Creative Space มาทำเป็นชมรม หรือทำเป็นพื้นที่ให้คนไปใช้งานกัน เรียกว่าใช้กันได้ทุกเพศและทุกวัยเลย อย่างรุ่นเล็กที่มาใช้ก็มีตั้งแต่ 10 ขวบ ไปถึงรุ่นมหาวิทยาลัย และคนทำงานก็ดี

ตัวอย่าง  Maker club ที่เชียงใหม่ ที่ชื่อว่า Chiang Mai Maker Club  ก็เริ่มจากชมรมที่มีวิศวะจากสาขาเครื่องกล ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์ มาร่วมตัวกันจัดตั้งเป็น Co-working Space ในวงการของกลุ่มเมกเกอร์ ชมรมและเปิดโอกาสให้คนทั่วไปเข้าร่วมชมรม เช่น มีคนหนึ่งอยากทำสวิตช์ไฟฟ้าที่สั่งงานด้วยเสียง ซึ่งน้องก็รู้จักชุดประดิษฐ์งานชุดนี้บ้าง แต่ขาดอุปกรณ์และเครื่องมือ น้องก็มาเข้าที่ชมรม เริ่มตั้งแต่ อ่านคู่มือ เริ่มประดิษฐ์ พี่ๆก็จะมาแนะนำ  จนน้องสามารถกลับไปทำต่อเองที่บ้านได้ น้องสามารถมาใช้บริการเริ่มต้นได้ฟรี

ขณะที่ Pinn Creative Space จะออกแนวทางให้ creative อย่างสาขาออกแบบ ดีไซน์ มาใช้พื้นที่กัน บางคนมาด้วยความอยากพิมพ์ผ้าพันคอ ทำเสื้อยืด หมอนของขวัญ ตัดเลเซอร์ 3D ปริ้น น้องสามารถใช้พื้นที่นี้ได้ โดยเค้ามีให้บริการตั้งแต่ Personalized Service  ที่มีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ คอยให้คำปรึกษาและให้บริการ  ไม่ว่าจะเป็นงานปักแบบต่างๆ Training and Workshop ที่มี คอร์สอบรม และเวิร์กชอป สำหรับผู้สนใจงานเย็บ  เรื่องเครื่องเลเซอร์คัท Basic textile digital print คอร์สเรียนพิมพ์ผ้าดิจิตอลเบื้องต้น หรือแม้กระทั่ง คอร์สออกแบบลายผ้า

 

 

 

 

 

 

ด้านกลุ่ม Phuket Maker Club จะเน้นงานประดิษฐ์ของเหล่าเยาวชนให้ได้มาปล่อยความคิดสร้างสรรค์กันอย่างเต็มที่ หรือที่ขอนแก่น ก็มี Khon Kaen Maker Club 

เร็วๆนี้จะมีงานใหญ่ 2 งานให้คนที่สนใจอยากเป็นนักประดิษฐ์แวะเวียนไปชมกัน 

งานแรก Chiang Mai Maker Party 2018 งานประจำปีที่ Chiang Mai Maker Club จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 5 ปีนี้มีหยิบธีม ‘Education’ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนประเทศของเราไปข้างหน้ามาพูดคุย ถกประเด็น ช่วยกันแก้ปัญหาและร่วมกันพัฒนาการศึกษาไปพร้อมๆ กัน โดยในงานจะได้เจอกับMaker ทั้งแบบเดี่ยวและกลุ่มที่นำมาแสดงนั้น   Workshop และอื่นๆอีกเพียบ 

สถานที่ : Chiang Mai Maker Club จ.เชียงใหม่

วันที่ 15-16 ธันวาคม 2561


งานที่สอง Maker Faire Bangkok ที่เหล่าMaker ทั่วฟ้าเมืองไทย มาร่วมกันแจมปล่อยของ ผลงาน DIY ที่ทำขึ้นมาด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ถ้ารู้ตัวว่าเป็นคนรักในการสร้างสิ่งประดิษฐ์ด้วยตัวเองแล้วล่ะก็ บอกเลยว่าห้ามพลาดงานนี้ครับ ปีนี้กรุงเทพจะจัดใหญ่เป็น Full Feature Maker Faire 

สถานที่ : ศูนย์การค้า The Street รัชดา

วันที่ 19-20 ม.ค. 2019 

+++พร้อมออกลุยกันเลย+++

ขี่ม้าเพื่อสมาธิ

อาชาบำบัด

อาชารักษาโรค

อาชาสร้างความอ่อนโยนให้มนุษย์

เมื่อเรานึกถึงการขี่ม้า สมัยก่อนมักถูกมองว่า กีฬาชนิดนี้เป็นของลูกคนมีสตางค์ เป็นกีฬาเพื่อออกสังคมชั้นสูง 

ทว่าในปัจจุบัน ศาสตร์การขี่ม้า ถูกนำช่วยกลุ่มเด็กพิเศษกันมากยิ่งขึ้น เพราะการเดินของม้าทำให้คนที่อยู่บนหลังม้าต้องมีสมาธิ เช่นน้องที่มีภาวะออทิสติก และ/หรือ สมาธิสั้น  มักเคลื่อนไหวร่างกายตลอดเวลา การนั่งบนหลังม้าช่วยให้เด็กสามารถจดจ่อและพัฒนาเรื่องการทรงตัวไปพร้อมๆ กันได้

นอกจากนี้ คนที่มีปัญหาการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อและข้อต่อ การทรงตัวบนหลังม้าช่วยให้อาการเกร็งของกล้ามเนื้อลดลง เพราะการนั่งบนหลังม้าเสมือนการทำกายภาพบำบัด คล้ายกับว่าร่างกายมีกลไกอัตโนมัติที่พยายามจะรักษาสมดุลของร่างกายไม่ให้ตกลงมาจากหลังม้า

และนี่คือศาสตร์อาชาบำบัดที่ผู้ปกครองของมักให้ลูกไปฝึกกัน 

เจนวัตร ริมปิกุล “คุณมาร์ค” เจ้าของจากโรงเรียน little bit house club บอกเล่าว่า กีฬาการขี่ม้าเป็นกีฬาสำหรับเด็กทุกคน เพราะการขี่ม้าจะทำให้เด็กมีสมาธิที่ดีขึ้น และยังได้ใช้กล้ามเนื้อในส่วนต่าง ๆเช่น ช่วงต้นขา แขน  การเรียนขี่ม้าของเราจะเริ่มได้ตั้งแต่ 3 ขวบจนถึงผู้ใหญ่ และเคสเด็กพิเศษก็มาเรียนกันมาก โดยลักษณะการเรียน เราจะมีครูฝึกม้า 1 คน และพี่เลี้ยงที่ค่อยประกบน้องที่นั่งอยู่บนหลังม้า  การเรียนของเราจะเน้นการเรียนเป็นกลุ่ม โดยเราพยายามให้เด็กทุกคนได้เรียนร่วมกันเพื่อให้เค้ามีสังคม รู้จักกัน ช่วยเหลือกัน ซึ่งจะสร้างให้เด็กๆอยู่ในสังคมส่วนร่วมมากยิ่งขึ้น

 

“เราเข้าใจว่า ปัจจุบันพ่อแม่ที่มีลูกเป็นเด็กพิเศษ อยากให้ลูกมาลองศาสตร์นี้กันมากขึ้น ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี ดังนั้น เราอยากให้พ่อแม่ที่พาลูกมา บอกเราได้เลยว่า อยากให้รู้เรียนรู้อะไรเป็นพิเศษ มีข้อควรระวังสำหรับลูกคุณไหม เพราะสิ่งนี้จะเป็นประโยชน์กับลูกคุณมาก เนื่องจากเราจะได้เตรียมพร้อมในการดูแลที่พิเศษมากยิ่งขึ้น”

การฝึกขี่ม้าบำบัด (อาชาบำบัด) แบ่งกิจกรรมเป็นดังนี้ โดยเริ่มจาก 

“ทำความรู้จักกับม้า” ตั้งแต่ การสัมผัสม้า การขึ้นม้า การนั่งม้า การป้อนอาหาร  จะช่วยให้เด็กกับม้าเกิดความคุ้นเคยกัน ส่งผลให้เด็กสามารถฝึกม้าได้ง่ายขึ้น

จากนั้น เริ่มฝึกออกกำลังกายยืดเหยืยดบนหลังม้า  เช่นหมุนแขน ก้มลงเอามือแตะเท้า เพื่อยืดกล้ามเนื้อ

สาม ฝึกใช้คำสั่งง่ายๆ กับม้า เช่น สั่งให้ม้าเดิน – หยุด สั่งให้วิ่ง – เดิน สั่งให้ย่อขา ฯลฯ  เด็กรู้จักการควบคุมม้า และส่งเสริมให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับผู้อื่น

สี่ ฝึกขี่ม้า ขี่ม้าวิ่งเป็นวงกลม ขี่ม้าข้ามสิ่งกีดขวาง เด็กก็จะได้ใช้เวลากับม้า

สุดท้ายฝึกการดูแลม้ากอด ลูบคอ แปลงขน อาบน้ำม้า ฯลฯ เพื่อพัฒนาทางด้านจิตใจให้เด็กมีความอ่อนโยน รู้จักการดูแลเอาใจใส่ผู้อื่น

ดังนั้นการขี่ม้านอกจากจะช่วยพัฒนาเด็กพิเศษแล้ว ยังช่วยเรื่องสมาธิของลูกหลานเราทุกคนด้วย

ปิดเทอมสร้างสรรค์ จึงลองรวบรวมรายชื่อ โรงเรียนสอนขี่ม้ามาให้ทุกคนลองแวะเข้าไปชมกันก่อน

  1. Little Bit Horse Club จ.ปทุมธานี 
  2. คลินิกอาชาบำบัด ม.มหิดล 
  3. RODEO HORSE RIDING จ.กรุงเทพ 
  4. บ้านคอกม้า จ.สมุทรปราการ  
  5. คอกม้าลุงเหน่ง จ.กรุงเทพ 
  6. ‘คาวบอยฟาร์ม’ จังหวัดอ่างทอง  086-0150245 และ 035-870298 

ฟูมฟักฝันเพส เทศกาลแห่งการเปิดโลกอาชีพ เพราะอนาคตที่ใช้ ต้อง Right Now

วัยมัธยม…เป็นวัยที่ต้องค้นหาตัวเอง

วัยมัธยม..เป็นวัยค้นหาความฝัน

วัยมัธยม..เป็นวัยต้องวางแผน และลงมือสานฝันของตนเองให้เป็นจริง

“ฟูมฟักฝันเฟส” จึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์ปัญหาเหล่านี้

เทศกาลแนะแนวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ จะพาให้คนวัยมัธยมได้รู้กันตั้งแต่เลือกสายการเรียน การสมัครสอบ การเลือกคณะ บรรยากาศการเรียน ความสนุกในการทำงาน หรือแม้กระทั่งปัญหาและอุปสรรคที่ต้องเจอ เป็นสิ่งที่ทำให้วัยรุ่นส่วนใหญ่พบเจอกับความยากลำบากในการตัดสินใจเลือกอาชีพ ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนผ่านที่จะส่งผลกระทบต่อชีวิตของพวกเขาต่อไปในระยะยาว

นรินทร์ จิตต์ปราณีชัย หนึ่งในผู้ก่อตั้งธุรกิจเพื่อสังคม a-chieve “อาชีพที่ใช่ ชีวิตที่ชอบ” บอกเล่าถึงความเป็นมาของเทศกาลนี้และธุรกิจเพื่อสังคม a-chieveว่าเกิดขึ้นเพราะ เราพบเจอว่าเด็กหลายคนต้องซิ่วเมื่อเข้ามหาวิทยาลัย พวกเขาไม่รู้ว่า อยากเป็นหมอแล้ว เรียนอะไรบ้าง ถ้าเลือกเรียนสถาปัตย์ แต่เราไม่เคยรู้เลยว่าสถาปัตย์เรียนอะไรบ้าง เวลาไปทำงานจริงๆ เป็นอย่างไร เราจึงอยากจะช่วยให้เด็กนักเรียนค้นพบสิ่งที่ต้องการในชีวิต

โดยเทศกาลนี้จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27-28 ตุลาคมนี้ ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุม BITEC (บางนา) โดยกิจกรรมประกอบด้วย

เวทีใหญ่ : เราชวนทุกคนมารับแรงบันดาลใจและพบกับวิทยากรชื่อดังที่พร้อมใจกันขนเนื้อหาและประสบการณ์ดีๆมาแชร์ให้น้องๆ ไฟฝันลุกกันเป็นแถบ โดยมีิแขกรับเชิญ อาทิ ทีมทำสารคดี ‘2,215 เชื่อ บ้า กล้า ก้าว’ที่มาเล่าเบื้องหลังการทำงานสารคดี, พี่ไมค์ Google Thailand ที่มาเล่าภาพของอาชีพในโลกอนาคตและสิ่งที่คนรุ่นใหม่ต้องเตรียมตัวพี่อูน ชนิสรา โททอง ผู้ก่อตั้ง Dimond Grains เราจะค้นพบอาชีพที่ใช่ได้ยังไง เป็นต้น

นิทรรศการอาชีพ : ที่ผู้เข้าร่วมจะได้มาเรียนรู้อาชีพต่างๆ กว่า 100 อาชีพ ซึ่งมีทั้งข้อมูลและอุปกรณ์อาชีพให้ได้ลองเล่นกันแบบจัดเต็ม

บูธคลินิกอาชีพ : บูธที่น้องๆ จะได้มานั่งพูดคุยกับเหล่าพี่ต้นแบบอาชีพตัวจริงแบบ ตัวต่อตัว เรียกได้ว่า มีคำถามอะไรคาใจก็มาถามพี่ๆได้จนหมดเปลือกกันเลย ไม่ว่าจะเป็นนักบิน ไกด์ หมอ ช่างภาพ โปรแกรมเมอร์ นักวิเคราะห์หุ้น และอีกมากมาย

Workshop นักเรียน :ใครที่ยังค้นหาตัวเองไม่เจอ ไม่รู้จะเริ่มวางแผนยังไง จะรู้ได้ยังไงว่าคณะนี้ใช่หรือไม่เตรียมตัวสมัครกันให้ว่องเพราะ Workshop ในงานนี้รับจำนวนจำกัด! ตัวอย่างกิจกรรม การวางแผนการเงินเพื่ออนาคตที่ใช่

วิทยากร : KBank ,Life on Board (Game) วิทยากร : ทีมเถื่อนเกม

Workshop ผู้ปกครอง : คุณพ่อคุณแม่ที่อยากเข้าใจลูก อยากช่วยให้ลูกไปถึงฝั่งฝันด้วยตัวเอง อยากรู้วิธีจัดการการเงินที่ช่วยวางแผนอนาคตของลูกได้ ต้องอย่าพลาด Workshop จากผู้เชี่ยวชาญ ที่จะมามอบเคล็ดลับการเป็นหน่วยสนับสนุนให้ลูกๆ เดินไปถึงฝันได้อย่างมั่นคง รวมถึง ทีม a-chieve จะมาแนะคุยกับลูกอย่างเข้าใจ และช่วยลูกยังไงให้เจอทางที่ใช่

ใครสนใจลงทะเบียนออนไลน์แล้วทาง https://foomfukfunfest.com (ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย)

วันจัดงาน : เสาร์ที่ 27 – อาทิตย์ที่ 28 ต.ค. 2561 เวลา 9.00 น. – 17.00 น.

สถานที่จัด : BITEC บางนา Hall EH107 (เดินเชื่อมจากบีทีเอสสถานีบางนาเข้างานได้เลย!)

แล้วเจอกัน 🙂

พิพิธภัณฑ์ดาวเทียม

บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ได้จัดสร้างพิพิธภัณฑ์ดาวเทียม (Satellite Museum) ขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นห้องจัดแสดงความรู้เกี่ยวกับอวกาศ และการสื่อสารผ่านดาวเทียมสำหรับเป็นวิทยาทานแก่บุคคลทั่วไป โดยเปิดให้คณะบุคคลต่าง ๆ สามารถเข้าเยี่ยมชมทัศนศึกษา รวมทั้งเปิดเป็นศูนย์ความรู้ทางดาวเทียม ให้แก่เยาวชนได้มีโอกาสเข้ามาศึกษาหาความรู้ เนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติในทุก ๆ ปี

จิตแพทย์แนะ ให้ลูกลงมือทำงานจิตอาสา ช่วยสร้างทักษะชีวิต

วันนี้เราได้มีโอกาสได้คุยกับแพทย์หญิงถิรพร ตั้งจิตติพร จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ ว่าทำไมเด็กยุคนี้ต้องทำงานจิตอาสา คุณหมอบอกว่า การทำงานจิตอาสาเป็นสิ่งที่ช่วยปลูกฝังให้เด็กมีทักษะชีวิตที่สำคัญ ได้แก่ การเสียสละ การมีน้ำใจ ความขยัน อดทน ความรับผิดชอบ การเข้าสังคม อ่อนน้อมถ่อมตน ลดความเห็นแก่ตัว มีเมตตาต่อกันทำให้สังคมน่าอยู่ยิ่งขึ้น ที่สำคัญคือการเห็นอกเห็นใจและเข้าใจผู้อื่น โดยเฉพาะเด็กยุคนี้ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย การติดต่อสื่อสารกันหรือการเรียนรู้ส่วนใหญ่มักผ่านทางหน้าจอ ทำให้ขาดทักษะที่สำคัญในชีวิตหลายอย่าง แต่ข้อควรระวังคือการทำงานจิตอาสาแล้วถ่ายรูปโพสใน facebook หรือ instagram เพื่อจุดประสงค์ในการให้คนเข้ามาชมหรือคอมเม้นท์ เด็กๆก็จะไม่ได้รับประโยชน์จากงานจิตอาสาที่แท้จริง

งานอาสาที่เหมาะแต่ละช่วงวัย มีอะไรบ้างคะ

คุณหมอ ตอบว่า: สิ่งที่ต้องคำนึงถึงอันดับแรก คือเรื่องความปลอดภัย พัฒนาการ ทักษะของเด็กและความพร้อมให้เหมาะสมกับกิจกรรม

  • วัยอนุบาล: กิจกรรมส่วนใหญ่มักเป็นกิจกรรมที่ทำร่วมกับผู้ใหญ่ เป็นกิจกรรมที่ทำง่ายๆไม่ต้องใช้ทักษะมาก เช่น ช่วยเก็บของหรือจัดเรียงของ ทำความสะอาดง่ายๆ ช่วยทำงานบ้านก็เป็นจิตอาสารูปแบบหนึ่ง แบ่งของเล่นหรือเสื้อผ้าให้ผู้อื่น
  • วัยประถม: เริ่มทำกิจกรรมด้วยตนเองได้มากขึ้น เช่น ทำขนมทำอาหาร เก็บขยะ จัดหรือตกแต่งสถานที่ อ่านหนังสือให้ผู้พิการทางสายตา บริจาคสิ่งของที่ไม่จำเป็นต้องใช้ให้แก่ผู้ที่จำเป็น
  • วัยมัธยม: กิจกรรมที่ทำเพื่อคนอื่นมากขึ้น เช่น ออกค่ายอาสาพัฒนาชุมชน สอนหนังสือให้เด็กๆ ดูแลช่วยเหลือผู้สูงอายุ จัดกิจกรรมช่วยบำบัดผู้ป่วย งานแสดงดนตรีการกุศล

การเตรียมพร้อมลูกก่อนไปทำงานอาสา

คุณหมอได้ให้หลักการไว้ดังนี้ พ่อแม่อาจจะคุยถึงจุดประสงค์ของงานจิตอาสานั้นๆว่าคืออะไร เพราะอะไรเราหรือลูกถึงเลือกทำงานนี้ มีการตระเตรียมร่างกายและจิตใจให้พร้อม และวางแผนการทำงาน ขั้นตอน หรืออุปกรณ์ที่ต้องใช้ในงาน ลองคิดถึงอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้น และวางแผนแก้ไขปัญหาไว้ก่อนเล็กน้อย

พ่อแม่ควรปฏิบัติตัวเมื่อลูกไปทำงานจิตอาสาอย่างไร

คุณหมอ แนะนำว่า งานจิตอาสาที่จะให้เด็กทำควรมีทั้งงานที่พ่อแม่ร่วมทำกับลูกด้วย และเด็กทำร่วมกับเด็กคนอื่นๆ ข้อดีของการทำงานจิตอาสาร่วมกับพ่อแม่คือ การที่เด็กได้เห็นต้นแบบที่ดี เพราะการเรียนรู้ที่ดีไม่ได้เกิดจากการได้ยิน หรือการบอกให้ทำ แต่เกิดจากการได้เห็น และ ได้ลงมือปฏิบัติ รวมทั้งเป็นการสร้างสัมพันธภาพร่วมกันในครอบครัว จะทำให้เด็กๆรู้สึกมีความสุขในการทำงานจิตอาสา นอกจากได้ความสุขจากกิจกรรมยังได้รับความสุขจากพ่อแม่ ( ขณะทำไม่ควรดุ ว่า เด็ก แต่เน้นการรับฟังแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกัน, ไม่ควรช่วยเด็กมากเกินไปเพื่อให้เด็กแสดงศักยภาพของตนเองออกมา เปิดโอกาสให้เด็กได้ลองผิดลองถูก แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น)

เมื่อกลับบ้านแล้วควรทบทวนอะไร

คุณหมอบอกว่า พ่อแม่สามารถพูดคุยถึงความรู้สึกหลังจากที่ได้ทำกิจกรรมเป็นอย่างไร

  • ความประทับใจในกิจกรรมที่ได้ทำ
  • บรรลุวัตถุประสงค์ที่ได้ทำหรือไม่
  • อุปสรรคที่เกิดขึ้น
  • และการแก้ไขปัญหา เมื่อลูกทำงานไม่สำเร็จ ไม่เป็นไร
  • ให้กำลังใจ และทบทวนปัญหา
  • วางแผนในการไปทำงานจิตอาสาครั้งหน้า

การทบทวนถึงสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เด็กเกิดการพัฒนาตนเอง เพิ่มความรู้สึกมีความสุขกับกิจกรรมที่ทำและทักษะการจัดการกับปัญหา โดยเด็กๆอาจมีการบันทึกภาพเก็บไว้ในความทรงจำว่าครั้งหนึ่งเราได้ทำกิจกรรมดีๆเหล่านี้

“การทำงานจิตอาสาเป็นเรื่องที่ดี กายและใจต้องพร้อม หากเด็กใจไม่พร้อม ไม่ควรเป็นการบังคับเด็กถ้าเด็กยังไม่อยากทำกิจกรรมนั้นๆ เพราะการสอนทักษะเด็กจากกิจกรรมจิตอาสา สามารถสอนจากกิจกรรมอื่นๆได้เช่นกัน เราอาจรอให้เด็กพร้อม หรือเลือกกิจกรรมที่เหมาะกับลูก ลูกจะทำด้วยใจที่มีความสุขและสนุกไปกับกิจกรรม การเป็นผู้ให้เป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่กว่าการเป็นผู้รับ ได้ลดความเป็นตัวเอง เพิ่มการเอาใจเขามาใส่ใจเรา”

ด้าน สุธิตา หมายเจริญ “สุกี้” ฝ่ายสื่อสารการตลาดเพื่อสังคม มูลนิธิกระจกเงา ซึ่งเป็นองค์กรที่รับอาสาสมัครที่อาจพูดได้ว่า รับอาสามากที่สุดในประเทศไทย เล่าว่า

ฟันเฟื่องที่สำคัญของกระจกเงาในการทำงาน คือ อาสาสมัครที่เฉลี่ยต่อวันเข้ามาทำงานถึง 30 คนหรือแต่ละปีเราบริหารอาสามากกว่า 10,000 คน โดยหากเราพูดตามทั่วไปจาก 100 % นั้น 70 %เป็นอาสาสมัครที่ต้องมาทำงานอาสาสมัครตามที่โรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาระบุให้ทำเพื่อผ่านเกณฑ์ต่างๆ ส่วนอีก 30% เป็นอาสาสมัครที่มีความตั้งใจมาทำงานโดยเฉพาะ ดังนั้นเราจะทำการแบ่งอาสาสมัครเป็น 2 กลุ่ม โดยมีเจ้าหน้าที่ด้านอาสาดูแลเขาโดยเฉพาะ และนำกระบวนการมาใช้กับเด็กกลุ่มนี้

“ก่อนที่อาสาสมัครจะทำงานในแต่ละวัน เราจะทำการปฐมนิเทศน์เพื่อให้เข้าเห็นคุณค่าของงานที่ทำงาน เช่นกระจกเงา จะเล่ากระบวนการทำงานว่า เรามีงานตามหาคนหาย อาสามาเยี่ยมที่ดูแลคนป่วยติดเตียงที่ยากจน โรงพยาบาลมีสุข ซึ่งงานเหล่านี้ต้องใช้เงินในการทำงาน เงินการซื้อผ้าอ้อม และงานอาสาสมัครที่เด็กมาขนของ เจอฝุ่น เจอสิ่งสกปรก คัดแยกของขาย นี่แหล่ะคือส่วนหนึ่งทำให้งานเดินหน้าได้น้องหลายคนที่เราเอาเข้ากระบวนการ หลายคนเห็นคุณค่าของตัวเองถึงกับร้องไห้ออกมา ว่าเขาสามารถสร้างประโยชน์ได้”

ต่อข้อถามที่ว่า “งานอาสาแท้จริงควรเริ่มที่ไหน”

สุกี้ให้คำแนะนำว่า “บ้าน” พ่อแม่คือด้านแรกค่ะที่ควรปลูกฝังลูก เขาจะเป็นผู้ใหญ่อย่างไร ขึ้นอยู่กับพ่อแม่ และเราคิดว่างานอาสาของที่บ้าน เราสามารถเริ่มจากสิ่งเล็กๆน้อยๆ เช่น ครอบครัวที่ชอบวิ่ง อาจจะพกถุงขยะไประหว่างการวิ่ง พ่อแม่ลูกสามารถวิ่งไป เก็บขยะไปได้ หรือเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เข่นการแบ่งปัน การเอาของไปบริจาคหรือให้คนอื่น ให้เด็กได้เป็นคนเลือกว่าอยากให้อะไรบ้าง

คำว่าให้อะไรบ้าง สุกี้อยากแนะนำอย่างจริงจังว่า

การให้ควรฝึกให้เป็นแบบมีคุณภาพด้วย เช่น ให้เสื้อผ้าควรให้แบบเอาไปใช้ต่อได้จริง อาจจะตั้งคำถามว่า เสื้อตัวนี้สามารถใส่ต่อได้ไหม การให้เฟอร์นิเจอร์ คือสามารถนำไปใช้จริงใช่หรือไม่ เราไม่อยากให้คำว่าการให้ คือการเคลียร์ของในบ้านทั้งหมด ต้องแยกส่วนให้ได้

มีคำแนะนำพ่อแม่ว่าควรวางตัวอย่างไร

พ่อแม่คือส่วนสำคัญ เราอยากให้พ่อแม่รับฟังแนวทางของคนจัดกิจกรรมนั้นๆ เช่น กิจกรรมนี้ต้องการให้พ่อแม่ดูแลลูก อันนี้พ่อแม่ควรดูแลลูกตามที่ผู้จัดร้องขอ แต่บางกิจกรรมที่ระบุให้ลูกทำแบบนี้ เราอยากให้พ่อแม่ปล่อยให้ลูกเป็นอิสระ หลายครั้งเราเจอพ่อแม่มาออกคำสั่งแก่ลูก ซึ่งแบบนี้เราคิดว่าพ่อแม่จะเป็นอุปสรรคต่อลูกด้านการวิเคราะห์ การตัดสินใจและการเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งหากพ่อแม่ถอยหลังมาทำหน้าที่สนับสนุนจะดีกับลูกมากกว่า

พิพิธภัณฑ์มีชีวิต ค่ายวิทยาศาสตร์พื้นบ้าน

พิพิธภัณฑ์มีชีวิตก่อตั้งโดย พ.ต.อ.ไพฑูรย์ เพิ่มศิริวิศาล (สบ 5) ภาควิชาการสืบสวนกองบังคับการวิชาการโรงเรียนนายร้อยตำรวจ จากแนวคิดการรวบรวมของเก่าต่าง ๆ ที่เป็นเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันของชาวบ้านแถบชนบท เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้ศึกษาเรียนรู้วิถีชีวิตแบบชาวบ้าน ในตัวอาคารจะมีการจัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ไม่มีการแบ่งหมวดหมู่สิ่งของถูกวางไว้กับพื้นอยู่ในห้องเก็บของจัดแสดง มีภาพถ่ายสมัยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เสด็จมาประทับยังที่แห่งนี้ ส่วนของค่ายวิทยาศาสตร์นั้นเป็นกิจกรรมที่จัดไว้ให้สำหรับเด็ก ๆ โดยจะแบ่งเป็นฐานการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ มีสิ่งประดิษฐ์ของคนในสมัยก่อนที่มีความคิดในเชิงวิทยาศาสตร์

เว็บไซต์นี้มีการใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายคุกกี้และ นโยบายในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า