‘เอแคลร์ ณภัทร’ สาวน้อยวัย 18 กับความฝันให้คนป่วยทุกคนเข้าถึงการรักษาที่เท่าเทียม

ทั้งเป็นคนป่วย ทั้งเคยได้มีโอกาสร่วมกับโครงการต่างๆ เดินทางไปพบกับผู้ป่วยเด็กหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ทำให้ ณภัทร ศักดิ์พรทรัพย์ หรือ เอแคลร์ สาวน้อยวัย 18 ปีที่เกิดมาพร้อมกับอาการภูมิแพ้อาหาร ภูมิแพ้ทางผิวหนัง และโรคกระดูกสันหลังคด ต้องใช้ชีวิตวนเวียนกับการเข้าออกโรงพยาบาลเพื่อรักษาอาการของตัวเองมาตลอด จนกระทั่งเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ได้เข้าร่วมกับหลายโครงการเพื่อเดินทางไปเยี่ยมผู้ป่วยหลายต่อหลายที่ได้เห็นปัญหาและคิดว่ามันต้องการการแก้ไข

“พอได้ไปเยี่ยมหลายๆ ชุมชนทั่วประเทศไทยแล้ว ทำให้รู้ว่าหนูเป็นคนโชคดีมาก ที่เข้าถึงการรักษามาตลอด ขณะที่หลายคนไม่สามารถเข้าถึงการรักษาแบบนี้ได้ หนูจึงเริ่มศึกษาเกี่ยวกับปัญหานี้และได้พบกับคำว่า Health Equality หรือความเสมอภาคทางด้านสุขภาพค่ะ”

และนั่นเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้เอแคลร์อยากเข้ามาช่วยตรงนี้ให้เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น

“องค์กรอนามัยโลกบอกว่า การเข้าถึงการรักษาในระบบสาธารณสุขนั้นเป็นสิทธิของมนุษย์อย่างหนึ่งซึ่งทุกคนในโลกนี้ควรจะได้รับ”

“ตอนช่วง ม.3 หนูเป็นรองประธานของชมรมที่โรงเรียน ชื่อว่า ‘เดอะ กิฟวิ่ง คลับ’ ค่ะ  เราบริจาคอุปกรณ์ทางการเรียนให้โรงเรียนต่าง ๆ ของ ประเทศไทย ซึ่งก็ทำให้เราเห็นและเข้าใจปัญหาต่างๆ ที่อยู่ในสังคม เช่น มีอยู่ครั้งหนึ่งหนูเอาของไปบริจาค มีน้องคนหนึ่งมาขอบคุณหนูที่มาแจกถุงเท้า คือเขาใส่ถุงเท้าคู่เดิมมาตลอดจนมันแทบจะไม่เป็นถุงเท้าแล้วด้วยซ้ำ เลยรู้สึกว่า ถ้าถุงเท้ายังเป็นขนาดนี้ แล้วการเข้าถึงการรักษาพยาบาลล่ะจะเป็นอย่างไร หนูเลยเริ่มจริงจังกับตรงนี้มากขึ้น”

เอแคลร์เริ่มฝึกงานกับหน่วยงานและบริษัทที่ทำงานเพื่อสังคมต่างๆ หลายที่ รวมทั้งมีโครงการส่วนตัวของตัวเองด้วย

“ที่แรกคือ ‘เทใจ’ ค่ะ ที่ตัดสินใจที่จะมาเรียนรู้ด้วยการฝึกงานที่นี่ก็เพราะว่า ตอนที่เริ่มคิดว่า เอ๊ะ จะช่วยสังคมได้ยังไง ก็คิดว่าเวลาที่เราคิดถึงงานสังคม มันก็จะมีโครงการที่สร้างโดยองค์กรต่างๆ เช่น พวกเอ็นจีโอองค์กรไม่แสวงกำไร หรือพวกโซเชียลเอ็นเทอร์ไพรส์ แล้วเห็นได้ชัดเลยว่า เทใจ เป็นศูนย์รวมของโครงการ เหล่านี้ เป็นพื้นที่สำหรับคนที่อยากสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคม เป็นแพลตฟอร์มที่เราทำให้โครงการพวกนี้เป็นจริงได้ เลยอยากเข้ามาช่วย โดยรับผิดชอบในการสร้างคอนเทนต์ให้หลายๆ โครงการ”

“นอกจาก เทใจ ก็ยังได้ไปฝึกงานที่บริษัทเมติคูลี่ จำกัด เป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีนวัตกรรมทางการแพทย์ เน้นที่ศัลยแพทย์ อย่างเช่นนวัตกรรมการทำเกราะพยุงหลังซึ่งจะเป็นเทคโนโลยีใหม่แต่ราคาที่ทำออกมาจะย่อมเยามาก ก็เป็นการทำเพื่อสังคมในประเทศไทย และเข้าไปช่วยดูแลคอนเทนต์และเป็นคิวเรเตอร์ใน TedEx ดูแลคอนเทนต์ สปีคเกอร์ และบทพูดต่างๆ ด้วย”

ทั้งนี้นอกจากจะดูว่าบริษัทหรือองค์กรที่เราไปฝึกงานนั้นมีการทำงานเพื่อสังคมแล้ว ทุกองค์กรที่ได้เข้าร่วมงานในองค์กรนั้นจะมีคนที่ไฟแรง และสร้างแรงบันดาลใจที่เราจะลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างเพื่อสังคม

“จากการฝึกงานตรงนี้ทำให้ได้พบและพูดคุยกับพี่ๆ หลายคน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของโครงการต่างๆ ทั้งของเทใจ และสปีกเกอร์ต่างๆ ของ TedEx ซึ่งเป็นผู้คนที่ทำประโยชน์ทางสังคมมามากมาย รวมถึงพี่ๆ ในบริษัทเมติคูลี่ ซึ่งสิ่งที่เหมือนกันของพวกเขาคือ มีไฟในตัวเอง มีเป้าหมายที่จะช่วยเหลือสังคม และพวกเขาทำสิ่งเหล่านี้มานานมากแล้ว ทำให้หนูได้ทั้งแรงบันดาลใจในการช่วยเหลือสังคมและได้ความรู้อีกเยอะมาก จนสามารถสร้างโครงการของตัวเองได้”

“เนื่องจากเอแคลร์สนใจ ด้าน health equality โดยเฉพาะ เลยได้นำความรู้และประสบการณ์ที่ได้จากการฝึกงานมาสร้างโครงการ ‘เอาชนะภูมิแพ้ แด่น้องในชุมชน’ ของตัวเองค่ะ จากสถิติของสมาคมโรคภูมิแพ้และอิมมูโนวิทยาแห่งประเทศไทย พบว่า เด็กไทยเป็นโรคภูมิแพ้สูงถึงร้อยละ 38 เราจะแก้ปัญหานี้ได้ เราต้องป้องกันตั้งแต่แรกไม่ใช่รอให้เกิดแล้วถึงค่อยเข้ารับการรักษา เอแคลร์จึงพัฒนาครีมบำรุงผิว ‘Claire’s Choice’ ซึ่งมีคุณสมบัติทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น เพื่อนำไปแจกเด็กๆ ตอนนี้แจกไปแล้วประมาณ 1,500 หลอด ที่โรงพยาบาลศิริราช คริสต์จักรที่สมุทรปราการและราชบุรี รวมถึงโรงเรียนที่จังหวัดกระบี่ด้วยค่ะ

แต่เพื่อให้เกิดความยั่งยืนของโครงการที่ไม่ใช่แค่บริจาคครีมพอหมดก็จบโครงการไป จึงจัดกิจกรรมสอนเด็กๆ เกี่ยวกับโรคภูมิแพ้และสุขภาพโดยรวมด้วย ที่คริสตจักร ICCIW (In Christ Church International Worldwide) เพราะหลายคนไม่มีความรู้เรื่องนี้จึงปล่อยไว้จนเกือบเสียชีวิต เพราะไม่สามารถสังเกตอาการของโรคได้ จึงจัดกิจกรรมนี้ขึ้นมาค่ะ”

ถึงแม้จะเกิดมาพร้อมร่างกายที่เจ็บป่วย แต่เอแคลร์บอกว่า ตัวเองเป็นคนโชคดีที่ได้เข้าถึงการรักษาตั้งแต่ต้น และการทำโครงการต่างๆ ก็ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากทุกคนในครอบครัว รวมถึงการได้พบปะกับผู้คนมากมายที่เธอได้ร่วมกิจกรรมในช่วงฝึกงาน จึงอยากแบ่งปันความโชคดีนี้ให้คนอื่นๆ บ้าง

“Jim Rohn บอกว่า You’re The Average Of The Five People You Spend The Most Time With เรามีนิสัยเหมือนคน 5 คนที่เราได้ใช้เวลาด้วยมากที่สุด แต่เอแคลร์ รู้สึกว่า มันไม่ใช่แค่ห้าคน แต่เราได้ความรู้ นิสัย พฤติกรรมจากทุกคนที่เราได้ทำงาน ได้คุย ได้สัมผัสด้วย และคิดไม่ถึงเลยว่า พอเราเริ่มทำโครงการก็มีคนทั่วไป และเพื่อนๆ ให้ความสนใจเยอะมาก เขาทำให้เราเห็นว่า มีคนอยากทำให้สังคมดีขึ้นเยอะ และเขาก็รู้จากเราว่า การเปลี่ยนแปลงสังคมไม่ใช่เรื่องสำหรับผู้ใหญ่เท่านั้น แต่เยาวชนคนรุ่นใหม่ก็สามารถทำได้เช่นกัน”

“ตอนนี้เอแคลร์กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย ก็คิดว่าจะนำความรู้ที่ได้จากมหาวิทยาลัยมาช่วยสังคมไทยมากขึ้น โดยอาจจะขยายโครงการที่มีอยู่แล้วตอนนี้ให้เข้าถึงชุมชนได้มากขึ้น ช่วยเขาในรูปแบบที่ยั่งยืนมากกว่านี้ และสำหรับน้องๆ ที่มีเป้าหมายที่อยากจะช่วยสังคมก็สามารถลงมือทำได้เลย สิ่งที่ยากที่สุดก็คือ การเริ่ม แต่ถ้ามีเป้าหมายแล้ว ก็สามารถมาคุยกับพี่ๆ ที่เทใจได้ค่ะ เพราะที่นี่ก็เป็นแพลตฟอร์มที่ทำให้เราสร้างโครงการของตัวเองได้ และได้ช่วยสังคมอย่างมีประสิทธิภาพค่ะ”

สามารถร่วมสนับสนุนโครงการเอาชนะภูมิแพ้ แด่น้องในชุมชน ได้ที่ https://taejai.com/th/d/clair_ch/

เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ทุกคนเข้าถึงสุขภาพที่ดีได้อย่างเท่าเทียม

—–

7 ค่ายอาสา เพิ่มทักษะภายนอก พูนทักษะภายใน

หลายครอบครัวอาจจะคิดว่า ปิดเทอมนี้หรือวันหยุดนี้ควรจะให้ลูกๆ เรียนพิเศษอะไรดี แต่รู้หรือไม่ว่า นอกจากเพิ่มเกรดเฉลี่ยในชีวิตวัยเรียนแล้ว การเตรียมตัวสำหรับการใช้ชีวิตนอกสถานศึกษาก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ควรทำไม่แพ้กัน

“จิตอาสา” คือสิ่งหนึ่งที่สามารถปูทางไปสู่การใช้ชีวิตของเยาวชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะนอกจากจะช่วยให้พวกเขาพัฒนาความรู้สึกเห็นอกเห็นใจและความเห็นอกเห็นใจโดยการมีส่วนร่วมกับชุมชนซึ่งจะทำให้เข้าใจความปัญหาที่ผู้อื่นเผชิญและมีส่วนร่วมในการสร้างความแตกต่างในเชิงบวก สิ่งนี้ส่งเสริมการเติบโตส่วนบุคคลและความเข้าใจที่มากขึ้นเกี่ยวกับโลกรอบตัวพวกเขาแล้ว การเป็นจิตอาสายังช่วยเพิ่มความสามารถในการสื่อสาร การทำงานเป็นทีม และความสามารถในการเป็นผู้นำผ่านการทำงานร่วมกับกลุ่มคนที่หลากหลาย ทักษะเหล่านี้เป็นที่ต้องการอย่างมากจากนายจ้างและสามารถเพิ่มประวัติย่อและโอกาสในการทำงานในอนาคตได้ ซึ่งนับได้ว่าเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาทั้งในชีวิตส่วนตัวและในหน้าที่การงาน พวกเขาสามารถปรับปรุง

นอกจากนี้งานจิตอาสายังทำให้ได้สัมผัสกับประสบการณ์และวัฒนธรรมใหม่ๆ มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลจากภูมิหลังที่แตกต่างกัน ส่งเสริมความเข้าใจทางวัฒนธรรม ช่วยพัฒนามุมมองที่เป็นสากลและกลายเป็นบุคคลที่เปิดใจกว้างมากขึ้น ทำให้เป็นคนที่กระตือรือร้นและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม ด้วยการอุทิศเวลาและแรงกายแรงใจให้กับสิ่งที่พวกเขาหลงใหล พวกเขาจะกลายเป็นตัวแทนของการเปลี่ยนแปลงในวงกว้างได้

สำหรับโครงการหรือค่ายอาสาที่เปิดรับสมัครตลอดทั้งปีและมีการจัดการอย่างเชื่อถือได้นั้น มีดังนี้

1. อาสาทำดี ลุยโคลน ปลูกป่าชายเลน 1 วัน  ช่วยเพิ่มป่าชายเลน  ณ.ป่าชายเลน ปากแม่น้ำสมุทรสงคราม

โครงการนี้จัดทำขึ้นโดย ทีมงานบ้านดินไทย หนึ่งในสมาชิกเครือข่ายจิตอาสา ได้จัดกิจกรรมอาสาสมัครช่วยอนุรักษ์ธรรมชาติในหลายกิจกรรมที่ผ่านมา  เช่น  โครงการปลูกป่าสร้างฝายไทยประจัน ราชบุรี  โครงการปลูกป่าให้ช้าง กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ โครงการอาสาช่วยปลูกปะการัง ตามแนวพ่อหลวง ตลอดจนโครงการที่ช่วยเหลือสังคม  เช่น โครงการอาสาสร้างศูนย์เรียนรู้ดินและปลูกปะการัง 

สำหรับโครงการ อาสาทำดี ลุยโคลน ปลูกป่าชายเลน 1 วัน  ช่วยเพิ่มป่าชายเลน  ณ.ป่าชายเลน ปากแม่น้ำสมุทรสงครามนั้น กำลังจะจัดขึ้นในวันที่ วันอาทิตย์ที่ 10 กันยายนนี้ ติดตามรายละเอียดโครงการได้ที่ https://shorturl.at/nyLPX และติดตามโครงการอื่นๆ ของ ทีมงานบ้านดินไทยซึ่งจัดโครงการที่เป็นประโยชน์ทั่วประเทศได้ที่เพจ https://www.facebook.com/bandinthai


2. กิจกรรมพับดาวประดับเทศกาลแห่ดาว จ.สกลนคร รุ่น 2

เทศกาลแห่ดาวคริสต์มาส จัดขึ้นโดย ONE FINE DAY ณ อาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอลท่าแร่บ้านท่าแร่ อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร ในทุกๆ วันที่ 22-25 ธันวาคม ของทุกปี ชุมชนแห่งนี้จะจัด “ขบวนแห่ดาวคริสต์มาส” ที่ อ.เมือง โดยเชื่อว่า “ดาว” เป็นสัญลักษณ์ของการเสด็จลงมาประสูติบนโลกมนุษย์ของพระเยซู ขบวนรถจะตกแต่ง ด้วยดาวขนาดใหญ่ ประดับประดาด้วยดวงไฟวิทยาศาสตร์หลากสีสันอย่างสวยงาม และจะสื่อถึงเรื่องราวการประสูติของพระเยซู ในทุกปีจะมีรถดาวเข้าร่วมขบวนประมาณ 200 คัน ชาวบ้านก็จะตกแต่งโคมไฟรูปดาวไว้ที่หน้าบ้าน จากนั้นเป็นการเฉลิมฉลองในหมู่ชาวคริสต์ มีการร้องเพลงประสานเสียง การประกวดร้องเพลงคริสต์มาส มีการจำหน่ายสินค้าและมีมหรสพทั้งคืน ทั้งนี้จะไม่มีการเชิญชวนให้เปลี่ยนศาสนา หรือชี้ให้เห็นว่าศาสนาไหนดีกว่า แต่เป็นการเรียนรู้การอยู่ร่วมกัน สามารถเข้าร่วมกิจกรรมนี้ได้ทุกศาสนา ติดตามรายละเอียดโครงการได้ที่ https://www.jitarsabank.com/job/detail/8697 และติดตามโครงการอื่นๆ ของ ONE FINE DAY ได้ที่ https://www.facebook.com/onefinedayclub

3. อาสาสมัครซอยด๊อก

มูลนิธิเพื่อสุนัขในซอย (Soi Dog Foundation) องค์กรไม่แสวงหากำไรเพื่อสวัสดิภาพของสุนัขและแมวจรจัด สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่จังหวัดภูเก็ต ได้รับการโหวตในลำดับต้น ๆ บน Trip Advisor ให้เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมในจังหวัดภูเก็ตเปิดรับการมีส่วนร่วมของคนทั่วไปหลายอย่าง ทั้งบริจาคสิ่งของ บริจาคเงิน รับอุปการะสุนัขและแมวจรจัด รวมถึงอาสาสมัครด้วย อาสาสมัครซอยด๊อก มีหน้าที่ใช้เวลากับหมาและแมวของมูลนิธิในคอก รวมถึงพาสัตว์เลี้ยงเดินเล่นเพื่อให้สุนัขและแมวผ่อนคลาย เสริมสร้างพฤติกรรมด้านบวกให้แก่สัตว์ ทำให้สัตว์เลี้ยงมีสุขภาพความเป็นอยู่ที่ดี ดูรายละเอียดและเงื่อนไขการสมัครเป็นอาสาของซอยด๊อกได้ที่ https://www.soidog.org/th/volunteer


4. มหกรรมจิตอาสาภาคใต้ ครั้งที่ 5

จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีสำหรับ แหล่งรวมพลคนอาสาปักษ์ใต้ กับงานมหกรรมจิตอาสาภาคใต้ ครั้งที่ 5 ซึ่งปีนี้มาในธีม “Youth Volunteer Forum: พลังเยาวชนกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ภายในงานมีกิจกรรมน่าสนใจมากมาย อาทิ ปาฐกถาพิเศษ “พลังเยาวชนกับการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน”, Special talk ประสบการณ์งานอาสาสมัครจากอาสาตัวจริงเสียงจริง, workshop เพิ่มทักษะเพื่อชาวอาสา. แลกเปลี่ยนเรียนรู้ในห้องย่อย ที่อัดแน่นไปด้วยพลังอาสาจากหลากหลายประเด็น. รับฟัง รับชม การแสดงสร้างแรงบันดาลใจ จากคณะละครปู๊นปู๊น พร้อมกันนี้ยังได้ลุ้นรับของที่ระลึกสุดพิเศษเพื่อชาวอาสาตลอดทั้งงาน ลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ https://forms.gle/T6xgTY7AMhm19aL96

สำหรับนักเรียนที่เข้าร่วมงานจะได้รับเกียรติบัตรเข้าร่วมงาน โดยจะต้องเข้าร่วมกิจกรรมในห้องย่อยภายในงาน อย่างน้อย 1 ห้องย่อย

กิจกรรมจัดขึ้นในวันที่ 2 กันยายน 2566 ณ ห้อง Conference Hall ศูนย์ประชุมนานาชาติฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี (ม.อ.หาดใหญ่)


5. Uncommon Volunteer

สำหรับใครที่อยากทำงานอาสา มีใจที่จะช่วยเหลือเพื่อนร่วมสังคมให้มีความสุขร่วมกัน Uncommon Volunteer โครงการเล็ก ๆ ที่มีการลงพื้นที่เพื่อช่วยเหลือและพัฒนาชุมชนในโอกาสต่าง ๆ ผ่านรูปแบบการจัดค่ายหรือจัดกิจกรรมให้เยาวชนได้มีส่วนร่วม ล่าสุดมีการปรับเปลี่ยนให้รองรับโครงการออนไลน์ด้วย ทำให้ผู้เข้าร่วมสามารถเข้าร่วมได้ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านทางมือถือ คอมพิวเตอร์ ฯลฯ ด้วย โดยสามารถเข้าไปเลือกชมโครงการต่างๆ ได้ที่

เว็บไซต์ Uncommonunique.com


6. กิจกรรมทำวีลแชร์เพื่อสัตว์พิการ

วีลแชร์เพื่อสัตว์พิการนี้จัดขึ้นทั่วประเทศ โดยจะทำจากวัสดุที่หาได้ง่ายในท้องตลาด ประกอบด้วย ท่อ PVC ข้อต่อ PVC ซึ่งมีข้อดีที่น้ำหนักเบา ราคาไม่แพง หาได้ง่าย ผ้าหนังรับน้ำหนัก ล้อสำเร็จรูป กาวทาหนัง กาวร้อนเชื่อมท่อ PVC ใช้งบประมาณ 500-600 บาทต่อ 1 คัน และใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงเท่านั้น แบ่งเป็น วีลแชร์ 2 ล้อ, 4 ล้อ และวีลแชร์เพื่อการกายภาพบำบัด หรือ รถพยุง โดยในวันที่ 13 ตุลาคมนี้ จะมีการจัดกิจกรรม ทำวีลแชร์เพื่อสัตว์พิการ สัญจรไปยังจังหวัดนครปฐม สามารถอ่านรายละเอียดและลงทะเบียนได้ที่ https://www.jitarsabank.com/job/detail/9085


7. เทใจดอทคอม

สำหรับใครที่มีใจอาสาแต่เวลาไม่เอื้ออำนวย ปัญหานี้สามารถแก้ไขง่ายๆ ด้วยการคลิกที่เว็บ เทใจ https://taejai.com/th/projects/ongoing/   เทใจเป็นเว็บไซต์ระดมทุนให้โครงการเพื่อสังคม ที่รวบรวมโครงการที่จัดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาบางอย่างให้สังคม ดังนั้นก็สามารถชักชวนเด็กๆ ให้รู้จักการบริจาคในโครงการที่ต้องการผ่านเว็บไซต์นี้ หรือจะเป็นผู้ริเริ่มลงโครงการเพื่อขอระดมทุนด้วยตัวเอง แล้วใช้เทใจเป็นตัวกลางในการสนับสนุนโครงการเหล่านั้นก็ได้ บนเว็บไซต์มีหลากหลายโครงการให้คุณเลือกสนับสนุน ครอบคลุมทุกประเด็นเหตุการณ์สังคม

งานอาสาสมัครเปิดโอกาสให้คนหนุ่มสาวพัฒนาความเห็นอกเห็นใจ ได้รับทักษะที่มีคุณค่า เปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้น และกลายเป็นผู้มีส่วนร่วมที่กระตือรือร้นต่อสังคม เป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าที่ไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์ต่อชุมชนที่พวกเขาให้บริการเท่านั้น แต่ยังช่วยให้พวกเขาเติบโตแบบองค์รวมอีกด้วย ดังนั้นหากมีเวลาว่างแม้เพียงน้อยนิด ก็คุ้มค่าที่จะค่อยๆ ปลูกฝังการทำงานเพื่อสังคมให้พวกเด็กๆ

—–

 ตัวเลือกสำหรับคนอยากทำกิจกรรม “ดูหนังกับลูก” ที่ให้ประโยชน์เน้นๆ สำหรับปูพื้นฐานชีวิตเจ้าตัวน้อย

หลายคนคงจะรู้ว่า ไม่ควรปล่อยให้เด็ก ๆ อยู่ตามลำพังกับหน้าจอทั้งหลาย เพราะมีจะมีผลเสียหลายอย่างตามมาหลังจากนั้น

แต่ถ้าเด็กไม่ได้อยู่กับหน้าจอเพียงคนเดียวล่ะ?

หรือถ้าสิ่งที่อยู่ในจอนั้นมันถูกเลือกมาแล้วอย่างดีโดยพ่อแม่ที่มักจะมองหาวิธีที่จะทำให้ลูก ๆ เพลิดเพลินไปพร้อม ๆ กับให้ผลประโยชน์ด้านการศึกษา พัฒนาการ และอีกหลาย ๆ ด้านแก่พวกเขาได้ล่ะ?

การชมภาพยนตร์ คือคำตอบสำหรับที่ดีที่สุดในการช่วยให้เด็กได้เติบโตขึ้นมาอย่างแข็งแรง นอกเหนือไปจากการได้สร้างเสริมความสัมพันธ์ในครอบครัวที่แน่นแฟ้นมากขึ้น

และนี่เป็นเพียงประโยชน์บางประการของการชมภาพยนตร์กับลูก ๆ ของคุณ

1. พัฒนาทักษะทางภาษา

ในระหว่างเพลิดเพลินไปกับการดูภาพยนตร์ เด็ก ๆ จะได้รู้จักคำศัพท์ใหม่ และโครงสร้างประโยคใหม่ ๆ พร้อมกับความหมายของคำและประโยคเหล่านั้ โดยไม่รู้ตัว ซึ่งจะสามารถช่วยเพิ่มความเข้าใจและการใช้ภาษาได้ นอกจากนี้ การชมภาพยนตร์พร้อมคำบรรยายยังช่วยให้เด็ก ๆ พัฒนาทักษะการอ่านอีกด้วย และยังรวมถึงการพัฒนาทักษะภาษาต่างประเทศซึ่งจำเป็นอย่างมากสำหรับเด็ก ๆ ยุคนี้ที่ต้องเติบโตมากับสังคมพหุวัฒนธรรม แต่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้น้อยมากหากว่าไม่มีผู้ปกครองนั่งชมอยู่ด้วยกัน เพราะหากเกิดคำถามในขณะชมภาพยนตร์ พวกเขาก็คงไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร

2. พัฒนาความฉลาดทางอารมณ์

สิ่งแรกที่เรารับรู้ได้ก็คือ การชมภาพยนตร์ช่วยให้เด็ก ๆ ผ่อนคลายได้ แต่นอกเหนือจากนั้น ภาพยนตร์หลายเรื่องมีตัวละครและโครงเรื่องที่สัมพันธ์กัน ซึ่งกระตุ้นให้เด็ก ๆ เข้าใจและเชื่อมโยงกับอารมณ์และประสบการณ์ต่าง ๆ ได้ผ่านการเล่าเรื่องของตัวละครในภาพยนตร์เรื่องนั้น ๆ อันจะช่วยให้พวกเขาพัฒนาความเห็นอกเห็นใจและเข้าใจมุมมองของผู้อื่น และสามารถพัฒนาพฤติกรรมของพวกเขาตามค่านิยมและศีลธรรมที่ปรากฏในภาพยนตร์อีกด้วย

ในทางกลับกัน เด็ก ๆ ยังสามารถเข้าใจอารมณ์ทางด้านลบ ไม่ว่าจะเป็น ความเศร้า ความกลัว หรือความโกรธจากภายนอก ทำให้พวกเขารับมือกับอารมณ์ต่าง ๆ ได้ดีกว่า รวมไปถึงมีความสามารถในการแก้ปัญหาความขัดแย้งเมื่อเผชิญกับสถานการณ์อันไม่ดีไม่งามได้อีกด้วย

3. กระตุ้นจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์

ภาพยนตร์หลายเรื่องมีฉากและตัวละครเหนือจินตนาการ ทั้งแฟนตาซี อะนิเมะ การ์ตูน สิ่งเหล่านี้นำไปสู่การเพิ่มพูนจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขาแบบไม่มีที่สิ้นสุด เรื่องราวในหัวของเขาอาจจะเปลี่ยนไปเลยก็ได้หากเด็ก ๆ ได้เล่าให้คุณฟัง

4. เรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมและประสบการณ์ที่หลากหลาย

การดูภาพยนตร์ที่มีฉากในประเทศต่าง ๆ หรือกับตัวละครที่มีภูมิหลังต่างกัน จะทำให้เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมและประสบการณ์ที่แตกต่างกัน ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาพัฒนาความรู้และความเข้าใจได้กว้างขึ้น ค่อย ๆ สะสมความรู้รอบตัวตั้งแต่อายุยังน้อย

5. เพิ่มทักษะการคิดอย่างมีเหตุผล

เรื่องราวซับซ้อนที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์ แม้จะเป็นภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นมาสำหรับเด็กโดยเฉพาะ มีการต่อสู้ระหว่างฝ่ายธรรมมะและอธรรมอย่างชัดเจน แต่เรื่องราวก็เต็มไปด้วยความสลับซับซ้อนตามฉากต่าง ๆ นั้นกระตุ้นทักษะการคิดวิเคราะห์ของเด็กให้เกิดขึ้นระหว่างการชมเสมอ

ทั้งนี้ต้องย้ำอีกทีว่า ประโยชน์ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นหมายถึง “การดูหนังกับลูก” ไม่ใช่การปล่อยให้ “ลูกดูหนังคนเดียว” เพราะการปล่อยลูกไว้กับหน้าจอเพียงลำพังนั้นสร้างความเสียหายหลายอย่างกับเด็กทั้งร่างกายและจิตใจ อาทิ จะกลายเป็นคนแปลกแยกจากสังคม ทักษะการสื่อสารต่ำ ปวดคอและหลัง หรือได้พบเนื้อหาที่ไม่สมควรในวัยของเขา มีแนวโน้มจะเป็นโรคซึมเศร้า ฯลฯ

และสำหรับใครที่เบื่อการดูหนังอยู่บ้าน วันนี้เรามีที่ดูหนังที่สามารถใช้เวลาคุณภาพกับเด็กๆ ได้มาฝากกัน ซึ่งที่ที่จะเอามาฝากกันนั้น เป็นโรงหนังที่ฉายหนังคุณภาพที่ไม่มีโรงหนังแมสส์นำมาฉาย (หรือมีน้อยมาก) เป็นหนังคลาสสิกที่ขึ้นหิ้ง หรือหนังชนโรงที่คุณภาพคับแก้ว และแน่นอนว่า ต้องเป็นหนังที่เหมาะสำหรับเด็ก

ที่แรกคือ Homeflick

Homeflick ไม่ใช่ชื่อโรงหนัง แต่เป็นชื่อโครงการของ โจ้ ชลัท ศิริวาณิชย์ ที่จะร่วมมือกับสถานที่ต่างๆ เพื่อจัดฉายหนังนอกกระแสที่จังหวัดนครราชสีมา ล่าสุดกำลังจะจัดฉายภาพยนตร์เรื่อง “Return to Seoul คืนรังโซล” ว่าด้วยเรื่อง การกลับ “บ้าน” และการค้นหาตัวตนที่แท้จริงจากภายใน ในวันที่ 9 กรกฎาคมนี้ โดยสามารถ ติดตามรายละเอียดได้ที่ เฟซบุ๊ก Homeflick

2 House Samyan

สำหรับใครที่อยู่กรุงเทพฯ หรือมีธุระจะต้องแวะมาแถวนี้ ชวนคุณลูกคุณหลาน คุณน้องคุณหนูมาดูหนังในสไตล์ “ดูหนังที่บ้าน” ด้วยกัน หนังที่ฉายที่นี่จะมีทั้งหนังชนโรงและหนังที่ไม่ได้เข้าโรงใหญ่ซึ่งอย่างหลังนี้จะมีหนังดีงามมาให้ได้ชมกันอยู่เนืองๆ ใครที่ผ่านไปทางนั้นบ่อย เขามีจองผ่านแอปพลิเคชันแล้วได้โปรโมชั่นสุดพิเศษด้วย

3 Documentary Club

คลับของคนรักงานศิลปะที่นอกจากจะมีหนังสารคดีและหนังดีนอกกระแสเอาไว้ให้คอหนังได้ชมกันแล้ว ยังมีพื้นที่สำหรับโชว์งานศิลปะ วัฒนธรรม อาหาร และหนังสือ ครบถ้วนจบในที่เดียว ติดตามรายละเอียดพร้อมบทความแนะนำหนังดี ๆ ได้ที่ เฟซบุ๊ก  Doc Club & Pub.

4 Lorem Ipsum

ถ้าใครเป็นสายคาเฟ่ อยากชวนเด็ก ๆ เดินชมงานศิลปะจิบเครื่องดื่มชิล ๆ พร้อมชมภาพยนตร์ดี ๆ สักเรื่อง และกำลังใช้ชีวิตอยู่ที่หาดใหญ่ เราแนะนำ Lorem Ipsum คาเฟ่อีกแห่งที่มีตัวตนทางด้านศิลปะอย่างชัดเจน และยังมีหนังดี ๆ มาให้ชมเป็นระยะ สนใจดูรายละเอียดได้ที่ เฟซบุ๊ก Lorem Ipsum

5 บ้านศิลปะครูจูน จ. พิษณุโลก

บ้านศิลปะครูจูน เป็นโรงเรียนสอนพิเศษวิชาศิลปะ ที่มีการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับศิลปะที่หลากหลายมาก อาทิ กิจกรรมเล่านิทาน ประดิษฐ์ของเล่น อ่านหนังสือภาพ สร้างชิ้นงานศิลปะ นิทรรศการโปสเตอร์ และการชมภาพยนตร์ ซึ่งถูกคัดสรรมาเพื่อเด็กอย่างแท้จริง สนใจกิจกรรมไหน สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่เฟซบุ๊ก June Art Home บ้านศิลปะครูจูน

6 พนมนครรามา

พนมนครรามา จัดฉายหนัง นอกกระแสทุกสัปดาห์ และยังมีการนำผลงานของนักเรียนนักศึกษามาให้ได้ชมกันก่อนงานด้วย ดูหนังที่จะฉายในแต่ละสัปดาห์ได้ที่เฟซบุ๊ก พนมนครรามา และดูสถานที่จัดฉายหนังที่ เพจ สามัคคีชุมนม

และเมื่อเห็นแล้วว่า “การดูหนังกับลูก” นั้นให้ประโยชน์มากเพียงใด ครั้งต่อไปที่คุณกำลังมองหากิจกรรมที่สนุกสนานและให้ความรู้กับลูก ๆ ของคุณ ลองพิจารณาดูหนังทั้งในบ้านและนอกบ้าน ให้เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ “ควรทำ”

เพื่อให้ “หน้าจอ” ของลูก พิเศษกว่าที่เคย

————- 

sdfsdf

นักเรียนแลกเปลี่ยน เรียนรู้วัฒนธรรม นำกลับมาพัฒนาตนและประเทศชาติ

ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันในวงกว้างแล้วว่า การเรียนรู้นอกห้องเรียนเป็นกิจกรรมสำคัญที่จะขาดไม่ได้ หลายโรงเรียนนำมันใส่ไว้ในตารางสอน ขณะที่พ่อแม่บางครอบครัวก็ใส่ไว้ในตารางวันหยุดที่ตัวเองและลูกจะได้ทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อเสริมเพิ่มการเรียนรู้และพัฒนาการของเด็ก ทั้งร่างกาย สมอง และสติปัญญา

และแล้ววันหนึ่งเมื่อเด็กๆ โตขึ้นอีกช่วงวัย การเรียนรู้ที่กว้างออกไปก็เริ่มเป็นสิ่งท้าทาย ช่วงเวลานี้เองที่หลายครอบครัวเริ่มทำความรู้จักกับคำว่า ‘การแลกเปลี่ยนภาษาและวัฒนธรรมนานาชาติ’ (Intercultural Learning)

การแลกเปลี่ยนภาษาและวัฒนธรรมนานาชาติ คือการเรียนรู้ผ่านวัฒนธรรมที่แตกต่างออกไปจนทำให้เกิดเป็นความรู้และทักษะที่สนับสนุนความสามารถของผู้เรียนในการทำความเข้าใจวัฒนธรรมและการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนจากวัฒนธรรมที่แตกต่างจากตนเอง

คุณยุฐิษพักตร์ ตะวันนา หรือคุณมิลค์ เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเรียนรู้ระหว่างวัฒนธรรม เอเอฟเอส ประเทศไทย (AFS Intercultural ProgramsThailand) ซึ่งเป็นองค์กรที่ส่งเสริมนักเรียนรุ่นแล้วรุ่นเล่าให้ได้มีโอกาสเดินทางไปแลกเปลี่ยนภาษาและวัฒนธรรมยังนานาประเทศทั่วโลกมากว่า 60 ปีเล่าให้เราฟังถึงประโยชน์ของการเรียนรู้วัฒนธรรมระหว่างประเทศว่า เป้าหมายของ AFS ทั้งโครงการแลกเปลี่ยนระยะสั้นและระยะยาว นอกจากการพัฒนาด้านทักษะการสื่อสารทางภาษาแล้ว สิ่งสำคัญคือการพัฒนานักเรียนให้มีความฉลาดทางวัฒนธรรม สามารถปรับตัวได้เมื่ออยู่ในสังคมและวัฒนธรรมที่มีความหลากหลายอย่างมีความสุข มีความเข้าอกเข้าใจผู้คนที่มีวัฒนธรรม ความเชื่อ ค่านิยม ความคิด ตลอดจนพฤติกรรมที่แสดงออกมาที่แตกต่างกัน  โดยสิ่งนี้จะช่วยหล่อหลอมสู่การเป็นพลเมืองโลกที่มีคุณภาพ ซึ่งก็ได้ผลตอบรับที่เป็นที่พึงพอใจทั้งกับองค์กรเอง และครอบครัวของเด็กๆ ที่ได้เข้าร่วมกับโครงการ

สำหรับค่ายพัฒนาทักษะความฉลาดทางวัฒนธรรมหรือ AFSer Junior Camp เป็นค่ายที่สอนเรื่องของการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรมและการเป็นพลเมืองโลกที่มีคุณภาพ นักเรียนจะได้เรียนรู้ทักษะการใช้ชีวิตในวัฒนธรรมที่แตกต่าง ร่วมแชร์ พูดคุย แลกเปลี่ยนประสบการณ์จากพี่ๆนักเรียนเก่าที่เคยไปแลกเปลี่ยน อีกทั้งนักเรียนจะได้ทำ Project เล็ก ๆ ซึ่งจะได้ลองคิด ลอง Brainstorming กันระหว่างเพื่อนในกลุ่มเกี่ยวกับประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นบนโลก (Global Issues) เพื่อที่จะสร้างเสริมให้เขาเป็นพลเมืองที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมโลก (Active Global Citizen) ส่วนค่ายจอหงวน อันนี้เป็นค่ายภาษาและวัฒนธรรมจีน จะเปิดโอกาสให้น้องม.ต้น ได้เข้ามาเรียนรู้ภาษจีนเบื้องต้น รวมถึงเรียนรู้วัฒนธรรมจีน เช่น การปั้นเกี๊ยว การชงชา การเขียนพู่กันจีน และมีกิจกรรมจากพี่ๆ นักเรียนเก่าที่เคยไปแลกเปลี่ยนที่จีนเข้ามาช่วยสอนภาษาและวัฒนธรรมรวมถึงแลกเปลี่ยนประสบการณ์ให้น้องๆที่ร่วมกิจกรรมได้ทราบ”

สำหรับโครงการระยะยาวที่ต้องใช้เวลาประมาณ 1 ปีนั้น คุณมิลค์เล่าว่า AFS สามารถการันตีได้จริงว่า การได้ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศนั้น ทำให้เด็กๆ มีพัฒนาการทุกด้านอย่างครบถ้วนจริงจากความรู้และทักษะแปลกใหม่ที่ได้รับซึ่งไม่เหมือนที่ประเทศไทย ทั้งนี้เกิดจากการที่เด็กๆ ต้องเข้าไปอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ (Host family) หรือระบบการเรียนการสอนใหม่ๆในประเทศนั้นๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้เด็กๆ เปลี่ยนไปจากวันแรกที่ได้พบกัน และหลายคนก็สามารถใช้ทักษะต่างๆ ที่ได้นี้ไปสร้างอนาคตของตัวเองได้

“พวกน้องๆ จะต่างไปจากวันแรกที่มาสอบข้อเขียนและสอบสัมภาษณ์ เมื่อพวกเขากลับมาจากการไปแลกเปลี่ยน ได้รับความรู้ ประสบการณ์และความสามารถ ทักษะต่าง ๆ ที่เขาไม่เคยได้รับที่เมืองไทย ทำให้พอน้อง ๆ กลับมา น้อง ๆ มีความกล้าแสดงออกมากขึ้น มีความมั่นใจ เพราะก่อนไปน้องไม่กล้าพูดคุยหรือไม่กล้าแสดงความคิดเห็นเลย พอน้องกลับมา เราจะมีกิจกรรมให้น้องทำ เราก็จะได้เห็นพัฒนาการว่า เขามีความเป็นผู้นำในการทำกิจกรรมเพื่อส่งต่อให้รุ่นน้องที่กำลังจะเข้ามาในโครงการมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีความคิดสร้างสรรค์ เพราะเขาไปเจอสิ่งแวดล้อมใหม่แน่นอนว่า เขาจะมีประสบการณ์มีทัศนคติ มีเจตคติใหม่ ๆ ขึ้น เขาจะได้รับสิ่งดี ๆ จากทางนั้นกลับมามีมุมมองต่อโลกที่เปิดกว้างมากขึ้น ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงด้านทัศนคติของเขา ความคิดความอ่านมีการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น ใส่ใจต่อสังคมมากขึ้น”

“มีน้องๆที่ไปแลกเปลี่ยนหลายคน หลังจากที่ได้ไปต่างประเทศ ได้เจอกับความคิดความอ่านหรือการพัฒนาภายในต่างประเทศมีมากกว่าประเทศไทย เขาก็เลยอยากเอาสิ่งตรงนั้นมาปรับปรุงช่วยเหลือสังคมชุมชนที่เขาอยู่ เป็น Change Maker อยากเปลี่ยนอะไรในสังคมที่อยู่ให้ดีขึ้น โดยเริ่มจากกิจกรรมภายในโรงเรียนก่อน แล้วก็ส่งเสริมชุมชนรอบข้างเขาไปด้วย จนกระทั่งปัจจุบันเขาทำงานเป็นอาสามัครช่วยงานกับทาง UN”

อย่างไรก็ตามคุณมิลค์ยังกล่าวด้วยว่า การ ‘แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม’ นั้น ไม่ได้หมายความว่าจะต้องไปเมืองนอกอย่างเดียว ดังเช่นที่ AFS เองก็มีโครงการอบรมทักษะความฉลาดทางวัฒนธรรมรูปแบบออนไลน์ อย่างโปรแกรม Global Up ซึ่งเป็นโปรแกรมออนไลน์ที่คนทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักศึกษา หรือประชาชนทั่วไปสามารถเรียนรู้และเกิดการแลกเปลี่ยนระหว่างวัฒนธรรมได้

“การเรียนรู้และพัฒนาทักษะความฉลาดทางวัฒนธรรมนี้ถือเป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิตค่ะ โปรแกรมGlobal Up จะสอนในเรื่องทักษะการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรมให้กับผู้ที่สนใจไม่เพียงแต่น้องๆมัธยมเท่านั้นแต่ผู้ใหญ่วัยทำงานก็สามารถสมัครเรียน Global Up ได้เช่นกัน เพราะเราคิดว่าจริงๆแล้วในเรื่องของการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรมหรือว่าการใช้ชีวิตที่จะต้องปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมที่แตกต่าง มันไม่ใช่เรื่องไปเรียนที่ต่างประเทศอย่างเดียว ที่เราอยู่ในประเทศไทยเราอยู่ในสังคมเพื่อน การทำงาน สิ่งแวดล้อมรอบข้างเรา เราย่อมจะต้องปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่มันต่างอยู่แล้วไม่เพียงแต่เราจะต้องไปอยู่ต่างประเทศเท่านั้น เพราะฉะนั้นการสื่อสารระหว่างวัฒนธรรมอยู่ในชีวิตประจำวันของเราตลอด ซึ่งถ้าเกิดว่าเรามีความรู้ที่ใช้เครื่องมือตรงนี้ในชีวิตประจำวันได้มันก็จะทำให้เรามีประสิทธิภาพในการสื่อสาร มีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างได้ดีมากขึ้น”

แต่ทั้งนี้ไม่ว่าจะ “แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม” รูปแบบใด คุณมิลค์ซึ่งมีประสบการณ์ด้านนี้มาหลายปีก็เชื่อว่า ประโยชน์ที่ได้มาซึ่งการเรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่างนั้นก็เป็นส่วนสำคัญที่จะสามารถช่วยเปลี่ยนแปลงสังคมให้น่าอยู่มากขึ้น เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้คนในสังคมใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างสันติสุขได้

“เด็ก ๆ กลับมาแล้วเขามีจิตใจที่เปิดกว้างมาก ยิ่งขึ้นทำให้น้องเขามีความเข้าอกเข้าใจในผู้คนมากยิ่งขึ้น ไม่ด่วนตัดสินผู้อื่น ยอมรับความแตกต่างของแต่ละคนได้ เหล่านี้เป็นสิ่งแรก เป็นขั้นแรก ที่ทำให้สังคมน่าอยู่มากขึ้น แล้วหลังจากนั้นความคิดริ่เริ่มที่อยากเปลี่ยนแปลงสังคมทำให้สังคมน่าอยู่ (Change maker) ก็จะตามมา”

จะเห็นได้ว่าการเรียนรู้ระหว่างวัฒนธรรมนั้นยังประโยชน์ให้มากมาย ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ อย่างการใช้ชีวิตประจำวัน ไปจนถึงการเคารพความแตกต่างของผู้คน และพยายามเชื่อมความสัมพันธ์จากผู้คนที่มีภูมิหลังต่างกันให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขได้ นำมาซึ่งความเข้าใจและช่วยขับเคลื่อนประเทศชาติได้อย่างสร้างสรรค์มากขึ้นอีกด้วย เพราะความหลากหลายที่ได้เจอจะทำให้มุมมองต่างๆ เปลี่ยนไป นั่นย่อมทำให้ผลลัพธ์แตกต่างออกไปด้วยเช่นกัน ดังนั้นหากมีโอกาสการให้ลูกได้เรียนรู้ระหว่างวัฒนธรรมบ้าง ก็นับเป็นตัวเลือกที่ดี

7 สถานที่เรียนทำอาหาร เมื่อการเข้าครัวไม่ใช่แค่ทำให้อิ่มท้อง แต่หมายถึงสร้างอนาคตให้ลูกด้วย

เมื่อใดก็ตามที่คุณแม่ผู้ปกครองชวนลูกๆ เข้าครัว เมื่อนั้นขอให้จงรู้ไว้เถิดว่า คุณไม่ได้เพียงพาลูกไปทำขนม หรือทำอาหารกันสนุกๆ แต่กำลังช่วยให้เด็กๆ ได้รับการเสริมสร้างพัฒนาการอย่างครบถ้วนรอบด้าน

สิ่งมหัศจรรย์ของการทำอาหารต่อเด็กตั้งแต่วัยก่อนอนุบาลก็คือ การได้เรียนรู้และฝึกฝนแนวคิดพื้นฐานด้านคณิตศาสตร์ สร้างทักษะด้านภาษา พื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์  ฝึกสมาธิ เรียนรู้เรื่องอาหารที่มีประโยชน์ รายชื่อวิตามิน และทักษะการใช้ชีวิต ผ่านกิจกรรมหรือหน้าที่ต่างๆ ที่คุณพ่อคุณแม่มอบหมายให้เด็กทำ ทั้ง การกวนแป้ง ล้างผัก ซาวข้าว ช่วยเติมส่วนผสมต่างๆ ตวงส่วนผสม ตีไข่ หรืออ่านสูตรอาหารไปด้วยกัน โดยมีคุณแม่สอนศัพท์ใหม่ๆ ให้ และอื่นๆ อีกมากมายตามแต่ทักษะและความสามารถในแต่ละช่วงวัยของเขา

แต่ทั้งนี้ หากว่าทักษะการทำอาหารของผู้ปกครองยังต้องการปรับปรุง

แล้วทำไมไม่จูงมือลูกๆ ไปเรียน พร้อมๆ กันเลยล่ะ?

ถ้ายังไม่รู้จะไปที่ไหน วันนี้เรามีสถานที่เรียนทำอาหารทั้งฟรีและมีค่าคอร์ส ทั้งออนไลน์และออฟไลน์มาให้เลือกตามอัธยาศัย

1 ศูนย์ฝึกอาชีพของภาครัฐ

ศูนย์ฝึกอาชีพของภาครัฐในประเทศไทยนั้นมีหลายหน่วยงานจัดทำขึ้นโดยมีหลายชื่อเรียกขาน สำหรับในกรุงเทพฯ นั้น ก็มี

หรือว่าหากว่าอยู่ต่างจังหวัด ก็สามารถหาที่เรียนได้หลายแห่งซึ่งกระจายอยู่ทั่วประเทศอาทิ ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวซึ่งมีทุกภาคในประเทศไทย ไม่มีค่าใช้จ่าย พร้อมทั้งยังมีที่พักและอาหารฟรีด้วย ยกตัวอย่างเช่น

นอกจากนี้ก็ยังสามารถหารายชื่อศูนย์ฝึกอาชีพตามจังหวัดต่างๆ ที่ท่านสนใจได้อีกด้วย

แต่สำหรับใครที่ไม่มีเวลานานขนาดนั้น เรามีคอร์สออนไลน์ที่ทั้งถูกทั้งดีมาฝากกัน โดยส่วนใหญ่จะมีการแบ่งปันความรู้กันแบบฟรีๆ ในเพจเฟซบุ๊กกันอยู่แล้ว บางที่ก็มีเป็นประจำ แต่สำหรับบางที่อาจจะจัดเป็นอีเวนต์พิเศษที่ต้องรีบลงทะเบียนเข้าร่วมงาน หลังจากนั้นอาจจะมีคอร์สแบบ online หรือ onsite ตามแต่ละที่จะกำหนด

2 เพจ เชฟหมอปุ้ม : Bakery Online Clinic

ที่จะมีไลฟ์สดสอนทำเบเกอรี ทุกวันอังคารและพุธเวลา 19.30 น. สอนแบบละเอียดยิบ ที่นอกจากจะให้คุณลูกได้ฝึกชั่ง-ตวง-วัด แล้วยังสร้างงานสร้างอาชีพให้คุณแม่ได้ด้วย

3 เพจ สถาบันบ้านขนม

ใครที่เป็นสายขนมไทย หรืออยากให้ลูกๆ ได้สัมผัส ใกล้ชิด และฝึกทำขนมไทย แนะนำที่นี่ ครูเปี๊ยกมีคอร์สทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ และยังมีหนังสือสูตรทำขนมอีกด้วย เรียกว่าแวะมาเพจนี้ที่เดียวก็จบครบทุกเรื่องขนมไทย

4 เพจ สอนทำอาหาร by Chef Kwan

เชฟขวัญสอนทั้งอาหารคาว อาหารหวาน แต่ที่เน้นหนักที่สุดคือ คำนวณต้นทุน ดังนั้นหากใครต้องการฝึกฝนคณิตศาสตร์ขั้นแอดวานซ์และการตลาดเบื้องต้น รวมถึงค่าใช้จ่ายสำหรับอาหารแต่ละจาน หรือในทุกๆ มื้อ ก็สามารถกดไลก์เพจนี้ได้ นอกจากนี้เชฟขวัญยังมีช่องยูทูป และติ๊กตอกให้ได้ติดตามกันฟรีๆ อีกด้วย เรียกว่าเหมาะกับทั้งคุณแม่ และลูกๆ ในทุกๆ วัยเลยทีเดียว

5 เพจ มือโปรความอร่อย

สำหรับใครสายฟรี สายว้าว ชอบเรียนสดๆ กับเชฟตัวจริง เพจนี้ขอเชิญคุณมาร่วมกิจกรรมเรียนทำอาหารฟรี กับรายการ ‘Tasty Thursday on Tour ครั้งที่ 2: เมนูไทยสไตล์โมเดิร์น ใครทานต้องว้าว’ กันแบบด่วนๆ เรียนออนไลน์ทำอาหารเมนูสุดสร้างสรรค์ จากเทรนด์อาหารแห่งอนาคตประจำปี 2566 (Future Menu 2023) พร้อมรางวัลและของแจกจัดเต็ม ในวันที่ 30 พฤษภาคม 2566 เวลา 14.00 – 15.00 น. ผ่านเฟสบุ๊คไลฟ์ (Facebook Live) และเว็บไซต์ออนไลน์ ลงทะเบียนและเข้าชมฟรีที่ >> https://bit.ly/ttontour2 ระยะเวลาลงทะเบียนเข้าร่วม: 9 – 26 พ.ค. 2566

6 Deva Recipe

ใครสายอาหารชาววัง แนะนำเพจนี้ เพราะเป็นโรงเรียนสอนทำอาหารโดย เชฟป้อม หม่อมหลวงขวัญทิพย์ เทวกุล นักโภชนาการจากและกรรมการจากรายการมาสเตอร์เชฟไทยแลนด์ กระซิบว่าเชฟป้อมใจดี และมีรายชื่ออาหารสำหรับคอร์สเดือนมิถุนายนเรียบร้อยแล้ว สนใจสามารถติดตามรายละเอียดที่เพจ Deva Recipe ได้เลย

7 ครัวบ้านสวนทวี – Baan Suan Tawee Cooking

สำหรับใครที่เป็นสาย ‘ครัวบ้านๆ’ ต้องบอกว่า ‘ครัวบ้านสวนทวี’ อาจจะเป็นหนึ่งในคำตอบที่ดีในการฝึกทำอาหาร เพราะทั้งสนุกสนาน ส่วนประกอบละเอียดพอๆ กับวิธีทำที่บอกทุกอย่างแบบไม่กั๊ก ถ้าเปิดเพจเฟซบุ๊ก ยูทูปหรือติ๊กตอกของช่องครัวบ้านสวนทวี การทำอาหารของคุณกับลูกก็จะไม่เงียบเหงาอีกต่อไป

ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องที่ต้องทำให้เป็นเรื่องราวใหญ่โตอะไร ขอให้เป็นเพียงกิจกรรมเล็กๆ 5-10 นาทีที่พวกเด็กๆ จะมีสมาธิอยู่กับสิ่งตรงหน้าได้ เพียงแต่ต้องทำให้ช่วงเวลาสั้นๆ นี้สนุกสำหรับเขาให้มากที่สุด เป็นอิสระ และให้เขาได้ใช้ความสามารถในทักษะตามช่วงวัยของเขาให้มากที่สุด โดยพ่อแม่ผู้ปกครองมีหน้าที่ดูแลความต่อเนื่องและความปลอดภัยเท่านั้น แล้วช่วงเวลานี้จะกลายเป็นช่วงเวลาทองที่ร่างกาย สมองและจิตใจจะพัฒนาต่อยอดไปได้ไกลเกินกว่าที่จะนึกถึง

ภาพ: pixabay

ตัวปั๊มโฟม DIY

วัสดุในการทำ

  1. ฝาขวด
  2. โฟมรูปต่างๆ
  3. กาวสองหน้า
  4. หมึกปั๊ม

วิธีทำ

  1. ติดกาวที่ฝาขวด ติดโฟมรูปต่างๆลงไป
  2. นำไปปั๊มกระดาษสวยๆ

ตุ๊กตาเด้งดึ๋ง DIY

วัสดุในการทำ

  1. กระดาษสี
  2. กาวสองหน้า     
  3. กรรไกร

วิธีทำ

  1. ตัดกระดาษสียาว ประมาณ 7-8 นิ้ว ออกมา 2 เส้น ติดกาวไว้ที่มุมบน พับกระดาษทบไปทบเรื่อย ๆ จนสุดและติดกาว ก็จะได้กระดาษที่ดูเหมือนเป็นสปริงเด้งดึ๋งไปมา
  2. วาดรูปต่าง ๆ ตามชอบ
  3. ตัดกระดาษเป็นแผ่นวงกลมเพื่อนำมาเป็นฐานรองเส้นกว้างประมาณ 2 นิ้ว
  4. เมื่อเตรียมแต่ละส่วนเสร็จแล้วให้นำมาประกอบกัน โดยเอาหน้าสัตว์ที่เตรียมไว้นำมาติดกาวแปะไว้ที่ด้านหนึ่งของสปริงกระดาษ

โต๊ะฟุตบอล DIY

วัสดุในการทำ

  1. กระดาษสีี 
  2. กล่องกระดาษลัง
  3. เทปกาว
  4. ไม้หนีบผ้า 
  5. ตะเกียบ 
  6. ลูกปิงปอง 

วิธีทำ

  1. นำกระดาษสี ไปติดตรงฐานกล่องกระดาษลัง เพื่อเป็นสนามฟุตบอลสีเขียว แบบสมจริง ติดเทปแบ่งเขตของสองฝั่ง
  2. ตัดกล่องกระดาษลัง ให้เป็นโกลฟุตบอล โดยตัดด้านกว้างของกล่อง ให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า 
  3. การทำนักฟุตบอล  สามารถเลือกวิธีที่ชื่นชอบได้เลย ไม่ว่าจะเป็นการใช้ไม้หนีบผ้า ที่ไม่ใช้แล้วมาทาเป็นสองสี แบ่งทีมกันแบบชัด ๆ หรือจะใช้ไม้ไอติม มาทาสีแล้ววาดรูปน่ารัก ๆ บนไม้ก็ได้
  4. เจาะรูกล่องกระดาษลัง ให้พอดีกับตะเกียบ หรือก้านลูกโป่ง เสียบไม้ลงไปตามรู และติดกาวกับตัวนักฟุตบอลที่เราทำไว้ได้เลย
  5. ระบายสีลูกปิงปอง ให้เป็นลูกฟุตบอล ทำเสร็จก็พร้อมเล่นแล้ว

3 วิธีง่าย ๆ เปลี่ยนพ่อแม่ให้กลายเป็น “Play Walker”

🤔 พ่อแม่หลายคนเป็นกันบ้างมั้ยน้าาา.. เผลอวางกรอบให้ลูกโดยไม่รู้ตัว ชี้นิ้วสั่งลูก อยากให้ลูกได้ดั่งใจ หรือบางครอบครัวอาจปล่อยปละละเลย ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอยู่ติดหน้าจอมือถือหรือทำงานอื่นๆ จนไม่ได้สนใจลูก

รู้ไหมว่าหากทำแบบนี้ เราจะไม่รู้เลยว่าที่จริงแล้วลูกเราเป็นยังไง ชอบอะไร มีศักยภาพในด้านไหนบ้าง

➡ ดังนั้นวันนี้เราจึงอยากเชิญชวนพ่อแม่ทุกคนมาเปลี่ยนตัวเองด้วย 3 วิธีง่าย ๆ สู่การเป็น Play Worker ผ่านแนวคิด “เล่นอิสระ”

คืนบทบาทการเป็นศูนย์กลางของการเล่นให้กับเด็ก ๆ โดยเฉพาะเด็กอายุ 0 – 6 ปี เพราะนี่คือวัยที่พวกเขาควรจะได้เล่นตามความต้องการของตนเอง

📢 3 วิธีนั้นมีอะไรบ้าง ตามมาดูในโพสต์นี้กันได้เลย

1. เริ่มจากการเชื่อว่าเรื่องเล่นมีประโยชน์กับลูกอย่างแท้จริง

ธรรมชาติของเด็กก็มักจะซุกซนชอบเล่นทุกอย่างตามประสาของเด็ก ดังนั้นการปล่อยให้เด็กได้เล่นอย่างอิสระ เด็กก็จะเล่นอย่างมีความสุข

และเมื่อเด็กมีความสุข ก็จะส่งผลให้พ่อแม่เห็นตัวตนของลูก เห็นศักยภาพที่มีอยู่ในตัวลูกมากขึ้น รู้ว่าเขาชอบ-ไม่ชอบอะไร ถนัดหรือไม่ถนัดด้านไหน ซึ่งจะช่วยช่วยให้พ่อแม่ตั้งคำถาม ชี้แนะ และสนับสนุนให้ลูกได้เดินต่อไปในทางที่เขาต้องการนั่นเอง 🥰

2. เลือกของเล่นให้ลูกอย่างหลากหลาย เพราะ “อะไรก็เล่นได้” 🧸📦

ไม่ว่าจะเป็นการพาออกไปวิ่งเล่นที่สวนสาธารณะ ไปปลูกต้นไม้สร้างสายสัมพันธ์ในครอบครัว และใกล้ชิดกับธรรมชาติ

การจัดมุมของเล่นไว้ในบ้าน เตรียมของเล่นชิ้นส่วนง่าย ๆ ให้เขาได้ลองหยิบจับมาประกอบ

หรืออาจจะเป็นเตรียมของเล่นไม่สำเร็จรูป อย่างเช่นกล่องกระดาษที่ไม่ใช้แล้วไว้ให้ลูกใช้เล่น

รู้ไหมว่าของเล่นที่แสนธรรมดาเหล่านี้ จะช่วยให้เด็ก ๆ ต่อยอดจินตนาการ มองเห็นคุณค่าของธรรมชาติ และสิ่งรอบตัวมากขึ้นได้อย่างดีเลยล่ะ

3. ช่วยลูกประเมินความเสี่ยงกับการเล่นแบบโลดโผน

🛝 เมื่อลูกเลือกที่จะเล่นกิจกรรมโลดโผนที่มีความเสี่ยง เช่น การปีนขึ้นที่สูง/ปีนต้นไม้

เมื่อเห็นลูกปีนสูงขึ้นไปแล้วละล้าละลัง กลัวตก สิ่งที่พ่อแม่หลายคนมักจะทำมีอยู่ 2 อย่าง คือ

❌ กดดันลูก ด้วยการเชียร์ให้ปีนต่อ

❌ ทำให้ลูกกลัว ด้วยการบอกว่าระวัง ให้ลงมาเดี๋ยวนี้

ซึ่ง 2 วิธีนี้จะทำให้เด็กรู้สึกกลัวและขาดคความมั่นใจได้

✔ ดังนั้นสิ่งที่พ่อแม่ควรทำก็คือช่วยลูกประเมินความเสี่ยง ดูว่าเขาพร้อมที่จะไปได้ไกลแค่ไหน เฝ้ามองดูก่อนสักพักเพื่อให้เขาตัดสินใจด้วยตัวเอง แล้วค่อยเข้าไปเมื่อรู้สึกว่าเขาต้องการเรา

เพราะการมีพ่อแม่อยู่เคียงข้างเสมอไม่ว่าเขาจะตัดสินใจแบบไหน จะทำให้ลูกก้าวผ่านความกลัว และมั่นใจในตัวเองได้มากขึ้นนั่นเอง 🥰

5 ประโยชน์ของ “เล่นอิสระ”

ช่วยเสริมพัฒนาการ ที่เป็นพื้นฐานในการเติบโตของเด็ก 🫶

💪 ด้านร่างกาย

ร่างกายแข็งแรง ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อและประสาทสัมผัส

🧠 ด้านอารมณ์

มีความฉลาดทางอารมณ์ ควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ เห็นคุณค่าในตัวเอง

🙋 ด้านสังคม

รู้จักกติกาของสังคม เคารพผู้อื่น

📚 ด้านสติปัญญา

มีเหตุผล รู้จักแก้ไขปัญหา

💡 ด้านความคิดสร้างสรรค์

ฝึกใช้จินตนาการ นำไปสู่การต่อยอดสร้างสิ่งใหม่ ๆ

เพราะการ “เล่น” สำคัญไม่ใช่เล่น รู้แบบนี้แล้ว พ่อแม่คนไหนที่อยากเห็นลูกมีความสุขกับการเล่น อย่าลืมนำเคล็ดลับที่เราแชร์วันนี้ไปทำตามน้า เพื่อพัฒนาการที่ดีของลูกในอนาคต 🥰

ที่มาของข้อมูล

บทความ ชวนพ่อแม่เป็น Play worker   https://www.thaihealth.or.th

ชวนพ่อแม่มาเป็น Play worker เพื่อให้ลูกได้เล่นอิสระ

ผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจเรื่องของการเล่นอย่างแท้จริง และอาจเผลอวางกรอบให้ลูกๆ โดยไม่รู้ตัว เด็กๆ จึงถูกชี้นำตั้งแต่เล็ก ทำให้พ่อแม่ไม่เห็นว่า ที่จริงแล้วลูกเราเป็นยังไง ชอบอะไร มีศักยภาพอะไร เด็กจึงโตไปเป็นเด็กดีของพ่อแม่ เป็นไปตามความต้องการของผู้ใหญ่ แต่ไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง

นั่นจึงเป็นที่มาของแนวคิด “การเล่นอิสระ” ที่ปรับเปลี่ยนหน้าที่ของผู้ใหญ่เสียใหม่ แล้วคืนบทบาทการเป็นศูนย์กลางของการเล่นให้กับเด็กๆ โดยเฉพาะเด็กเล็ก อายุ 0 – 6 ปี เพราะนี่คือวันและวัยที่พวกเขาควรจะได้เล่นตามความต้องการของตนเอง

แล้วพ่อแม่ จะเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็น Play worker ที่ช่วยให้เกิดการเล่นอิสระได้อย่างไร?

“เล่นอิสระ” การเติบโตที่ทรงพลังของเด็ก

เล่นอิสระเป็นหนึ่งในการเติบโตที่ทรงพลังของเด็กๆ การเล่นในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จะเป็นพื้นที่สร้างสุข สร้างประสบการณ์ สร้างความมหัศจรรย์ผ่านการเล่น โดยเริ่มต้นจาก

  1. สิ่งแวดล้อมที่อำนวยให้เกิดการเล่นหลากหลาย ผู้บริหารสนับสนุน จัดพื้นที่เล่นอิสระหลากหลายในศูนย์ ปลอดภัย ปลอดโปร่ง เป็นมิตรสำหรับเด็กๆ ที่จะให้พวกเขาได้กล้า ตื่นตัว ชวนผู้รู้ในชุมชนมาร่วมจัดกิจกรรมการเล่นให้กับเด็ก และมีการบริหารจัดการให้เกิดความต่อเนื่อง
  2. ครูผู้อำนวยการเล่น เป็นหัวใจสำคัญของ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและความสุขของเด็กๆ มีคุณสมบัติสำคัญคือ นักสังเกต รับฟังเด็ก ๆ ด้วยหัวใจ อ่อนโยน สร้างสรรค์ ค้นหาความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ที่จะสร้างสรรค์พื้นที่และมุมเล่นหลากหลาย และท้าทายผจญภัย บนข้อจำกัดทางกายภาพ เน้นการสร้างการมีส่วนร่วม และ กระตุ้นการเรียนรู้ด้วยคำถามปลายเปิด ประเมินความเสี่ยงดูแลความปลอดภัย

เว็บไซต์นี้มีการใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายคุกกี้และ นโยบายในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า