การที่โลกมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว อีกทั้งวิชาการและเทคโนโลยีต่างๆที่มนุษย์สร้างขึ้นทันสมัยและทุกคนต่างรีบเร่งทำชีวิตให้ไปถึงจุดหมายตามที่คาดหวัง มีการแข่งขัน แก่งแย่งชิงดี เพื่อการเป็นที่หนึ่ง การเอาชีวิตรอดทำให้ทุกคนไม่มีเวลาให้กันมากนัก
เมื่อทุกคนต่างอยู่กับตัวเองมากขึ้น ทำให้การพึ่งพาและดูแลกันน้อยลง ครอบครัวไทยในสมัยนี้เป็นครอบครัวที่อยู่กันแบบกระจัดกระจาย พ่อ แม่ ลูก ต่างหากินหาใช้กันเอง ลูกต้องวางอนาคตของตัวเองโดยไม่ต้องการคำชี้แนะจากครอบครัวอีกต่อไป
บางครั้งเด็กๆจึงเลือกเดินทางผิดไปเพราะไม่มีใครชี้ทางให้ อย่างไรก็ตาม อยากให้พ่อแม่ได้ตระหนักว่า หน้าที่ที่สำคัญนอกจากการเลี้ยงดูลูกก็คือการสร้างพื้นฐานเพื่อนำไปสู่อนาคตที่สดใสมั่นคงให้ ผู้เขียนจึงขอแนะนำวิธีที่คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกลูกให้พร้อมสำหรับการเผชิญชีวิตในอนาคตได้อย่างดี ดังนี้
1.สอนมารยาทการเข้าสังคม การเคารพผู้ใหญ่ การกล่าวคำทักทาย คำขอโทษ คำขอบคุณ การพูดมีหางเสียง สอนลูกชายให้เป็นสุภาพบุรุษและลูกสาวให้เป็นสุภาพสตรี สิ่งนี้ต้องฝึกให้ทำจนติดเป็นนิสัย อย่าเมินเฉยหากลูกไม่ปฏิบัติ เพราะจะทำให้เขาคิดว่าไม่สำคัญ แต่จริงๆแล้วมันสำคัญมากในการที่ลูกอยู่ในสังคมและจะเป็นที่รักใคร่เอ็นดูของผู้อื่น และง่ายต่อการเข้าสังคมอีกด้วย
2.สอนลูกให้ทำงาน การให้ช่วยเหลืองานบ้านเป็นการสร้างนิสัยให้มีความรับผิดชอบ ให้เห็นคุณค่าของการทำงาน ให้รู้ว่าการที่จะทำอย่างหนึ่งอย่างใดให้สำเร็จต้องลงมือทำ การอยู่เฉยๆอย่างไร้ประโยชน์จะทำให้ตนเองไม่มีคุณค่า และไม่มีความสามารถที่จะสร้างสรรค์สิ่งใดๆได้ เพราะเคยชินกับการที่ไม่ต้องทำหรือมีคนทำให้แทน จึงอาจทำให้ชีวิตจะต้องพึ่งพาคนอื่นอยู่เรื่อยไป
3.สอนลูกให้เลือกทำในสิ่งที่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี การสอนให้ลูกฉลาดเลือกเป็นสิ่งจำเป็น เพราะชีวิตจะดีหรือไม่ดีอยู่ที่การเลือกของเราทั้งนั้น ลองปล่อยให้ลูกได้เลือกทำในสิ่งที่เขาต้องการ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือไม่ดี แล้วให้เวลาดูผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากสิ่งที่เขาเลือก เมื่อผลลัพธ์นั้นแย่สำหรับตัวเขา เขาจะรู้เองว่าเขาจะต้องไม่เลือกแบบนี้อีก เขาจะได้เรียนรู้จากบทเรียนที่ผิดพลาดนั้นและไม่ทำอีก และจะได้รู้ว่าทางที่ดีที่ควรเลือกทำแล้วจะทำให้ชีวิตดีนั้นคือทางใด
4.การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญ ให้ลูกเห็นความสำคัญของการเรียน ยกตัวอย่างคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ส่วนใหญ่มีเบื้องหลังจากการเรียน มีการศึกษาที่ดี และมีความใฝ่รู้ในสิ่งที่ทำ อย่าให้ลูกติดเทคโนโลยีมากเกินไป ให้รู้จักรับผิดชอบการเรียน การทำการบ้าน การขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติม จัดตารางเวลาสำหรับการเรียนให้ลูกอย่างเหมาะสม ไม่มากไม่น้อยเกินไป
5.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ อย่าอ้างความไม่มีเวลาแล้วเลี้ยงให้ลูกกินแต่อาหารขยะหรืออาหารที่ไม่มีคุณค่า เพราะร่างกายต้องการอาหารที่ช่วยบำรุงสมองและสร้างร่างกายให้เจริญเติบโตแข็งแรง ควรฝึกให้ลูกรู้จักเลือกในการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ครบ5หมู่ สอนให้กินอย่างพอดีในแต่ละมื้อ ไม่ตักหรือซื้อมาจนกินไม่หมดและสอนให้รับประทานทุกอย่างให้หมดอย่ากินทิ้งขว้าง สอนวิธีการถนอมอาหารและการปรุงอาหาร เพื่อให้รู้จักคุณค่าของอาหารแต่ละจาน
6.สอนให้รู้จักการใช้เงิน ควรสอนเรื่องการใช้จ่ายเงินอย่างพอเพียงกับรายได้ที่ได้รับ และการเก็บออมเพื่อสะสมทุนไว้สำหรับการใช้จ่ายในอนาคต ชี้แนะให้เห็นว่าการใช้จ่ายอย่างเหมาะสมจะไม่ทำให้เกิดปัญหาหนี้สิน ซึ่งอาจทำให้เกิดความทุกข์ในชีวิต สอนให้ลูกรู้จักคำว่าพอเพียง คือใช้เท่าที่มี ถ้าไม่มีก็ต้องทำงาน ต้องขยัน เพื่อจะได้มีใช้ และอย่าใช้ในสิ่งที่ฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็นในชีวิตและไม่ต้องอยากมีอยากได้เหมือนอย่างใครๆเขา ถ้าสิ่งนั้นไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์อะไรกับชีวิตของเรา
7.สอนลูกให้รักษาใจตนเอง ให้ดำเนินชีวิตด้วยใจที่ชื่นบาน ใจที่ถ่อม ใจที่เมตตา ใจที่ไม่ร้อนรน ให้รักษาใจเพราะใจคือชีวิต เมื่อเรามีใจที่ดีชีวิตก็จะดี ให้รู้จักการผ่อนคลาย สงบ ทบทวนถึงสิ่งที่ทำในแต่ละวันและเริ่มต้นใหม่ด้วยใจที่ดีในวันพรุ่งนี้ เพื่อทุกๆวันจะเป็นวันที่ดีสำหรับเรา
8.สอนลูกให้รักตัวเอง ดูแลสุขภาพตัวเอง มีความสุขกับตัวเอง ชื่นชมและให้กำลังใจตัวเอง เพื่อว่าในวันที่ลูกต้องเผชิญปัญหา หรือประสบกับความยากลำบาก ลูกจะพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ และจะอยู่ได้ด้วยตัวเองอย่างมีความสุข
9.สอนลูกให้รักษ์โลก ธรรมชาติถูกทำลายไปอย่างมากมาย แต่ทุกชีวิตต่างต้องพึ่งพาธรรมชาติ ดังนั้น เราควรสอนลูกให้รู้จักการรักธรรมชาติ ช่วยกันลดมลพิษ ทิ้งขยะให้เป็นที่เป็นทาง สอนลูกเรื่องการแยกขยะชนิดต่างๆ ช่วยกันลดภาวะโลกร้อน และเมื่อเห็นเศษขยะควรเก็บและนำไปทิ้งในที่จัดไว้ สอนให้ลูกรู้ว่าโลกนี้จะอยู่ไม่ได้หากเราไม่ช่วยกันดูแล
คำสอนที่เราสอนลูกทุกอย่างนี้ จะทำให้ลูกสามารถมีชีวิตอยู่ได้ในโลกที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมั่นคงและมีความสุข เราไม่สามารถอยู่กับลูกได้ตลอดชีวิตของเขา แต่คำสอนที่ดีและการใช้เวลาร่วมกันอย่างคุ้มค่าในทุกๆวินาที จะทำให้ลูกซึมซับถึงความรักและความอบอุ่นเอาไว้เพื่อจะช่วยให้ลูกมีกำลังใจที่จะสู้และดำเนินชีวิตของเขาต่อไปในอนาคตได้อย่างดีแน่นอน
ที่มา : สถาบันราชานุกูล กรมสุขภาพจิต